ไฟตัดหมอก ตัดหาหxก หรือเพื่อความปลอดภัย อยู่ที่การใช้

ไฟตัดหมอก ใช้ให้เป็นช่วยเพิ่มความปลอดภัย อ่านหน้าที่ของไฟตัดหมอกและการใช้งานที่ถูกต้อง

ไฟตัดหมอก ตัดหาหxก หรือเพื่อความปลอดภัย อยู่ที่การใช้

ไฟตัดหมอก ตัดหาหxก หรือเพื่อความปลอดภัย อยู่ที่การใช้

ปลายฝนต้นหนาว ฤดูหนึ่งที่เหมาะแก่การขับรถเที่ยวชมวิว ในช่วงเวลาอย่างนี้ แม้จะยังมีฝนตกชุก แต่บนทิวเขาอันสวยงามทั้งหลายในประเทศเรา บางแห่งก็จะมีหมอกลงบางๆ โดยเฉพาะท่านที่ชื่นชอบการขับรถออกแต่เช้ามืด ขึ้นดอยไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น บางคนอาจถามว่า ถ้าขี้เกียจตื่นขับรถไปแต่เช้า ทำไมไม่ไปตั้งเต็นท์บนดอยล่ะ แหม ก็บางคนอยากนอนสบาย เตียงดี มีส้วมพร้อมสายฉีดตูดรอต้อนรับการตื่นนอนหรือเปล่าล่ะ?

คนที่ชอบขับขึ้นดอยเช้ามืด หรืออาศัยในเขตหนาวของประเทศ หรือแม้กระทั่งแถวถนนสุวินทวงศ์ยามเช้าตรู่ก่อนหนอนออกจากรู คนเหล่านี้ มีโอกาสขับผ่านหมอกกันทั้งนั้น แล้วรถในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย ก็ใจดีให้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “ไฟตัดหมอก” มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หรือติดตั้งเพิ่มได้ในราคาไม่ฉีกกระเป๋ามากนัก ไฟตัดหมอกนี้ ภาษาอังกฤษเขาจะเรียกว่า Fog Lamp หรือ Fog Light เป็นคนละเรื่องกันกับสปอตไลต์ ที่เอาไว้ฉายแสงเป็นจุดเป็นวงยังบริเวณที่ต้องการ แต่บางครั้งก็มีคนเรียกมั่วๆ ปนกัน

หน้าที่ของไฟตัดหมอก ก็ตามที่ชื่อมันบอกนั่นแหละครับ คือพยายามส่องแสงผ่านหมอกเพื่อให้คุณเห็นทางข้างหน้าได้ไกลที่สุด (ในกรณีที่เป็นไฟตัดหมอกหน้า) หรือพยายามช่วยให้รถคันหลังสามารถเห็นคุณได้จากระยะไกลที่สุด (ในกรณีที่เป็นไฟตัดหมอกหลัง) ไฟตัดหมอกส่วนมากเรียกได้ว่า 90% จะใช้หลอดสีเหลืองนวล ยกเว้นบางท่านที่ไปเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ให้เป็นสีเหลืองมะนาว ที่มันต้องเป็นสีนี้ ก็เพราะว่าสีเหลืองนวล หรือสีโทนนี้ สามารถตัดผ่านม่านหมอกที่หนาได้ดีกว่าไฟสีขาว สีฟ้า หรือสีขาวอมม่วง ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายแล้วในรถยุคนี้ รถบางคัน จะมีไฟหน้าเป็นสีอะไรก็ตาม แต่ไฟตัดหมอกที่ติดตั้งแยกไว้นั้น จะเป็นสีโทนเหลืองเสมอเพื่อความปลอดภัย ใครที่ได้ไฟตัดหมอกเหลืองมาดีๆ แล้วเอาไปเปลี่ยนเป็นหลอดสีฟ้าๆ ขาวๆ ต้องถามก่อนเลยครับ ทำไปทำไมฟระ

การเปิดไฟตัดหมอก..บางท่านที่ขับรถ อาจยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำนะครับว่าตัวเองขับรถโดยเปิดไฟตัดหมอกอย่างไม่จำเป็นมาตลอดชีวิต สวิตช์ไฟตัดหมอกของรถญี่ปุ่นส่วนมาก มักจะรวมอยู่บนก้านไฟเลี้ยว ก้านเดียวกับที่คุณเปิดไฟหน้านั่นแหละครับ แต่จะอยู่เลยเข้ามาทางโคนก้านมากกว่าสวิตช์ไฟหน้าหลัก ส่วนรถยุโรปบางรุ่น จะเป็นปุ่มแยกอยู่บนแดชบอร์ด อย่างพวกเบนซ์รุ่นเก่าๆ นั้น สวิตช์ไฟหน้าจะอยู่บนแดชบอร์ดใต้ช่องแอร์ขวา และใช้ไฟตัดหมอกโดยการดึงสวิตช์ไฟหน้าเข้าหาตัวหลังจากเปิดไฟหน้าก่อน

ถ้ายังหาไม่เจอ ก็ต้องเอาให้ชัวร์ก่อนนะครับ ว่ารถคุณนั้นมีไฟตัดหมอกหรือเปล่า มันมักจะถูกติดตั้งไว้ที่ตอนล่างของกันชน ยกเว้นบางรุ่นที่ผนวกรวมไปในไฟหน้า เรื่องนี้คุณสามารถโทรถาม Call Center ของบริษัทรถยนต์ที่คุณใช้แล้วฝากคำถามให้เขาตอบมาทีหลังก็ได้ (Call Center ส่วนมาก คนตอบไม่ได้ชำนาญสเปกรถครับ ให้เวลาเขาไปถามคนที่รู้สักหน่อย) หรือไม่ก็ลองถามเพื่อนคุณ คนที่ดูน่าจะบ้ารถหน่อย พวกนี้เห็นปราดเดียวก็จะตอบได้เกือบหมด

ถ้าชัวร์แล้วว่ารถมีไฟตัดหมอก ให้มองหาสัญลักษณ์ครับ ซึ่งในระบบภาษาภาพแบบสากล ไฟตัดหมอกหน้า จะมีสัญลักษณ์เป็นรูปครึ่งวงกลม ด้านที่ตัดตรงจะอยู่ทางซ้าย มีขีดสามสี่ขีดในลักษณะเฉียงและมีเส้นตรงคั่น เส้นตรงนี่ก็คือ “หมอก” ในภาษาสัญลักษณ์เขาครับ ส่วนไฟตัดหมอกด้านหลัง ครึ่งวงกลมมันจะหันด้านที่ตัดตรงไปทางขวา มีขีดสามสี่ขีดเหมือนกัน แต่มันจะเป็นแนวนอนตรงๆ ไม่ใคร่เฉียงเหมือนไฟตัดหมอกหน้า แน่นอนว่ามีเส้นตรงคั่นเหมือนกัน

ในหลายครั้ง คุณจะสับสนว่า อันไหนคือไฟตัดหมอกหน้าหรือหลังฟระ วิธีจำง่ายๆ คือ “ตัดหมอกหน้าเฉียงลง ถ้าเส้นตรงคือตัดหลัง” ซึ่งก็มาจากรูปแบบของสัญลักษณ์และธรรมชาติการใช้งาน ซึ่งไฟตัดหมอกหน้าที่มีความเข้มของแสงสูงมาก ถ้าส่องไปข้างหน้าตรงๆ อานุภาพทำลายสายตารถที่สวนมาจะไม่แพ้ไฟสูงเลย บริษัทรถจึงต้องปรับไฟตัดหมอกให้ส่องลงต่ำหน้าพื้นรถ บางทีก็จะส่องไกลแค่ 3 ช่วงคันรถเท่านั้น ส่วนไฟตัดหมอกหลัง มักจะไม่ส่องลงพื้น แต่ส่องตรงๆ ไปข้างหลัง เพราะเขาต้องการให้รถคันข้างหลัง เห็นคุณได้จากระยะไกล และมักจะมีสีแดง

เมื่อคุณหาสวิตช์ไฟตัดหมอกเจอแล้ว ก็ต้องมาคำนึงถึงวิธีใช้ วิธีที่จำง่ายที่สุดก็คือ “เห็นหมอกไหม?” ถ้าไม่มีหมอก ก็ไม่ต้องเปิดครับ หรือถ้าฝนตกในลักษณะที่ทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายจริงๆ ก็ค่อยเปิด

แล้วคำว่าทัศนวิสัยเลวร้าย ยังไงคือเลวร้าย? เอาเป็นว่า ถ้าคุณยังวิ่ง 120 กม./ชม. อยู่ มันจะมีทางเป็นไปได้สองอย่างคือ ทัศนวิสัยไม่ได้เลว ไม่ก็คุณนั่นแหละบ้า ถ้าเป็นอย่างกฎหมายการสัญจรทางบกของอังกฤษ เขาจะมีวิธีจำง่ายๆ ว่า ถ้าคุณมองไปข้างหน้ารถคุณเป็นระยะยาวประมาณ 1 สนามฟุตบอลแล้วคุณ “มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น” นั่นคือสภาพทัศนวิสัยที่เลวร้ายในความคิดของเขา ซึ่งตามกฎหมายบ้านเขา เมื่อหมอกลงจัดขนาดนั้น คุณจะต้องเปิดไฟตัดหมอกครับ อันที่จริง ประเทศเขาเฮียบหนักกว่านั้นอีก คือถ้าหากคุณขับรถฝ่าสายหมอก โดยไม่เปิดไฟตัดหมอกแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น มันอาจเป็นสาเหตุ หรือเหตุผลให้บริษัทประกัน ไม่รับเคลมรถคุณได้ แต่ส่วนมากมักจะยอมหยวนๆ กันเพื่อรักษาฐานลูกค้าเอาไว้

เกณฑ์ในการใช้ ก็มีเท่านั้นแหละครับ! ถ้าคุณมองเห็นได้ไกลเกินสนามฟุตบอล โดยที่คุณเป็นคนมีสมรรถภาพร่างกายปกติ สายตาปกติ คุณไม่มีความจำเป็นต้องเปิดไฟตัดหมอกเลย บางคนชอบเปิดเพราะบอกว่า หน้ารถมันสว่างขึ้น มองเห็นได้ดีขึ้น ก็จริง แต่ถ้าคุณขับมา 100 กม./ชม. ต่อให้เห็นสิ่งใดทันในระยะที่ไฟตัดหมอกส่องถึง คุณก็ไม่มีทางเบรกทันหรอกครับ ส่วนแสงที่ส่องสว่างขึ้นนั้น มันก็เป็นลำแสงที่มีความเข้มสูง รบกวนสายตารถที่สวนมา ในรถคันที่มีไฟตัดหมอกท้ายยิ่งแล้วใหญ่ รถที่ขับตามหลังด่าบุพการีไปกี่ยกแล้วไม่รู้ ลองนึกดูสิครับว่า เวลารถติด คุณกดเบรกค้างไว้ มันแสบตารถคันหลังเท่าไร ไฟตัดหมอก อานุภาพลำแสงแทบจะคูณสองหรือสามเท่าของไฟเบรก ถ้าไม่จำเป็นก็ปิดมันเสีย

ถ้าหากจะเปิดไฟตัดหมอกโดยที่ไม่มีหมอกลง หรือสภาพอากาศไม่ได้เลวร้าย มันก็มีอยู่โอกาสเดียวก็คือ คุณจอดนิ่งกับที่และเปิดเพื่อตรวจสอบว่ามันยังทำงานปกติ นอกจากนั้นไป เปิดไปก็ไม่ได้เท่ครับ อาจจะเท่ในความคิดคุณ แต่ไม่ได้เก๋ในสายตาคนอื่นแม้แต่น้อย คุณก็จะมีค่าพอๆ กับคนที่ชอบขับรถไปตามอุทยานแห่งชาติที่ทุกคนมาเพื่อหาความสงบ แล้วเปิดเพลงดังๆ สามทุ่งแปดทุ่งนั่นแหละ คือมันเท่แค่ในสายตาคุณคนเดียว เปิดไปก็เปลืองกำลังไฟรถ อีกหน่อยพอเข้ายุครถ EV คุณเปิดไฟโดยไม่จำเป็น พิสัยทำการรถก็สั้นลง แถมหลอดก็เสื่อมโดยไม่จำเป็น...ถึงถามไงครับว่า แล้วจะทำไปทำไม?

ในการขับรถฝ่าสายหมอกจริงๆ นั้น เราไม่ได้พยายามประเคนลำแสงทุกอย่างที่มีในรถแล้วขับเร็วเหมือนปวดขี้หาห้องน้ำนะครับ แต่เราต้องขับด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติ เปิดไฟตัดหมอกก็จริง (ไม่ต้องเปิดไฟฉุกเฉินนะ) แต่ก็ต้องขับเร็วพอเท่าที่ระยะไฟส่องถึงแล้วเบรกทันเวลามีเหตุฉุกเฉิน บางคนชอบขับตามไฟรถคันหน้า ก็เป็นเทคนิคที่ผมใช้เช่นกัน แต่คุณต้องโฟกัสที่สภาพแวดล้อมโดยรวมด้วยครับ เพราะคันหน้าก็อาจพาคุณลงทุ่งได้ถ้าเขาไม่ชำนาญทาง นอกจากนี้ เวลาหมอกลง ผมจะชอบขับแบบแง้มกระจกซ้ายขวาไว้ เพราะบางครั้ง ในเวลาที่ทัศนวิสัยจำกัด คุณจะไม่รู้ตัวเมื่อขับมาถึงทางแยก การเปิดกระจกไว้ อาจช่วยให้คุณได้ยินเสียงรถที่กำลังวิ่งมา แม้จะไม่ชัดนัก แต่ก็ดีกว่าการปิดกระจก เปิดเพลงกรอกหูในเวลาที่ไม่ควร

ที่สำคัญคือ เมื่อพ้นเขตหมอกหนาแล้ว ถ้าคุณรู้ตัวว่า ทัศนวิสัยดี มองเห็นได้ไกล ใช้ความเร็วเกิน 60 กม./ชม. ได้แล้ว อาจจะแปลว่าคุณปิดไฟตัดหมอกได้แล้วเช่นกัน ก็อย่าลืมปิดเสียล่ะครับ โดยเฉพาะคนที่ชอบขับรถเที่ยวแถบยุโรป เวลาคุณเปิดไฟตัดหมอกในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็น พี่ตำรวจอาจจะเรียกนะครับ จากนั้นจะปรับหรือตักเตือนก็แล้วแต่บุญที่คุณทำมา

นี่ล่ะครับ การใช้ไฟตัดหมอก ซึ่งไม่ได้ยากเลยถ้าจะจำ เมื่อใช้ถูกวิธี เราจะเซฟตัวเองจากอุบัติเหตุที่ไม่จำเป็น และในขณะเดียวกัน ก็ช่วยเซฟคนอื่นบนท้องถนนได้ด้วยครับ เป็นของราคาหลักพันบาทที่เมื่อใช้ดีๆ สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เสียเงินแสนได้เลยทีเดียว.

Pan Paitoonpong

คุณกำลังดู: ไฟตัดหมอก ตัดหาหxก หรือเพื่อความปลอดภัย อยู่ที่การใช้

หมวดหมู่: เคล็ดลับยานยนต์

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด