ลูกหนัง ศีตลา เปิดใจปม #แบนลูกหนัง เผยเหตุผลที่ไปร่วมชุมนุมในวันนั้น

ลูกหนัง ศีตลา เปิดใจปม #แบนลูกหนัง เผยเหตุผลที่ไปร่วมชุมนุมในวันนั้น

เป็นการออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรกของ ลูกหนัง ศีตลา วงษ์กระจ่าง ลูกสาวของ ตั้ว ศรัณยู และ เปิ้ล หัทยา หลังจากที่เกิดดราม่าปม #แบนลูกหนัง เมื่อครั้งที่เธอได้เดบิวต์เป็นไอดอลที่เกาหลี

โดยลูกหนังได้เปิดใจผ่านทางรายการ ON THAT DAY และเล่าถึงช่วงชีวิตที่เจอมรสุมลูกใหญ่ที่หนักหน่วงมาก ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน และโดนเพื่อนขอเลิกคบว่า ซึ่งลูกหนังเริ่มเล่าตั้งแต่ตัวเองรู้ว่าชอบและรักอยากจะทำงานในวงการบันเทิงว่า

ถามมีความฝันอยากเป็นอะไร เมื่อก่อนจะตอบตามเพื่อน แต่มันมีจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าอยากทำงานในวงการบันเทิง เราเติบโตมากับการที่พ่อแม่ทำงานในวงการ เราอยากทำ แต่ไม่กล้าตอบ พ่อบอกว่างานในวงการบันเทิงมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ไม่ใช่อยากทำก็เดินไปทำ ตอนนั้นก็มีคำถามว่าทำไม ก็เห็นที่เป็นดาราเด็กเขาทำก็ดูมีความสุข ได้เอนจอยกับการทำงาน แต่พอจะถามว่าหนังชอบตรงนี้จริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่ทำแล้วไปสร้างความเดือดร้อนให้ในกอง แวบแรกก็งง แต่พอกลับไปนั่งคิดแล้วก็ได้รู้ว่ามันคือเรื่องจริง

เริ่มรู้ว่าชอบและรักก็เป็นตอนที่มาเดินแบบ การที่ทำงานในวงการบันเทิงไทย คนรู้จักว่าเราเป็นใคร เป็นลูกพ่อ บางคนก็คิดว่าเราใช้เส้นมา ก็มานั่งคิดว่า ถ้าเรารักมันก็ควรทำมันด้วยตัวเอง ไม่อยากให้คนอื่นคิดแบบนี้ก็เลยตัดสินใจไปเกาหลี เราอยากลองทำงานตรงนี้เองจริงๆ โดยที่ไม่มีพ่อแม่มาเป็นจุดสนใจของคนอื่น อยากลองทำอะไรด้วยตัวเอง ตอนนั้นเรียนอยู่จุฬาฯ ปี 1 ไม่อยากเสียเวลาก็เลยทำเรื่องโอนย้ายหน่วยกิต ไปคุยกับอาจารย์โดยไม่บอกพ่อแม่ พอได้แล้วถึงมาบอก

ตอนแรกไม่มีใครเห็นด้วย แม่ก็ถามทำไมถึงทำอะไรไม่ปรึกษา แต่บ้านเราจะมีคำว่า เข้าใจ ถ้าเรามีเหตุผลและมันมากพอ สุดท้ายเขาก็เข้าใจ ในเมื่อหนังมีเหตุผลและอยากทำจริงๆ และอยากทำด้วยความรัก พ่อก็สนับสนุนค่ะ ตอนที่ไปไม่มีใครรู้จักเลย ไปในฐานะนักศึกษาคนนึง แต่ก็ไปเพราะอยากทำซึ่งมันก็เสี่ยง เราก็สนุกจนได้ลองไปแคสติ้งงาน และได้เข้าไปทำงานในฐานะนางแบบก่อน ก่อนจะไปเดบิวต์เป็นไอดอล

ตอนนั้นมีหลายความรู้สึกมาก ตอนแรกไม่มั่นใจเลย เพราะเคยทำงานเป็นนางแบบมาก่อน แต่พอไปเป็นเกิร์ลกรุ๊ปมันต้องอยู่ร่วมกับผู้หญิงอีกหลายคน ไม่เคยรู้จัก มาจากคนละประเทศ สื่อสารกันยากลำบากมาก เวลาซ้อมก็ต้องมีการเป็นทีมเวิร์ก และการแข่งขันก็หนักพอสมควร แต่สำหรับหนังเราชอบแข่งกับตัวเอง แต่ที่นั่นเมื่อถูกจับมารวมกันก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องแข่งขันกับคนอื่น ตอนแรกรู้สึกว่าทำไม่ได้ แต่ก็มีน้องคนหนึ่งบอกว่าที่เป็นเด็กฝึกด้วยกัน เขาบอกว่าถ้าไม่ได้เขายอมตาย ทำให้หนังรู้สึกว่าเรารักมันมากจริงๆ มั้ย เราควรให้เขาไปต่อมากกว่าเราไปต่อมั้ย เขาถึงขั้นยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ แต่เราไม่ได้คิดถึงว่าเรายอมตายเพื่อสิ่งนี้ เวลาที่เห็นเพื่อนๆ ไม่ได้ไปต่อ รู้สึกเสียใจมากจนสีหน้าออก แล้วค่ายก็ถามว่าหรืออยากจะออกแทนเขา ซึ่งเราก็เข้าใจ พยายามให้กำลังใจตัวเอง

ระยะที่ต้องฝึกซ้อม 1 ปี ก่อนจะมาเป็น H1-Key เราก็จะเป็นเด็กฝึกธรรมดาก่อน ซึ่งเด็กฝึกธรรมดาและเด็กฝึกที่จะเตรียมเดบิวต์จะต่างกัน เด็กฝึกธรรมดาก็จะเตรียมไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เดบิวต์เมื่อไหร่ แต่คนที่ได้เดบิวต์แล้วก็จะมีความเครียดต่างกัน ต้องซีเรียส ซ้อมทุกวัน ยิ่งใกล้ต้องเดบิวต์คือต้องซ้อมทุกวันไม่มีวันหยุด แต่ละค่ายก็จะมีกฎไม่เหมือนกัน อย่างค่ายที่หนังอยู่ เขาจะควบคุมเรื่องการกิน เรื่องน้ำหนัก เพราะเราเป็นคนชอบกิน แต่เขาให้เรากินแค่พริกหยวก และมันต้มทำได้มั้ย และทุกคนตอบว่าทำได้ เราก็ต้องทำได้ น้ำหนักก็ลดตามที่เขากำหนด และเราก็เหนื่อยมาก

ในระหว่างทางที่เดบิวต์ร้องไห้บ่อยค่ะ หนังไม่ชอบร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น เราอ่อนแอไม่ได้ แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่โทรไปบอกว่าวันนี้มันเหนื่อยนะ มันเป็นอย่างนี้ ไม่อยากทำให้เป็นห่วง การที่ทำให้เขาเป็นห่วง เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร ต่อให้ท้อมากๆ ก็จะไม่โทรไปบอกพ่อแม่เด็ดขาด ตอนที่ใกล้จะเปิดตัวมีความรู้สึกเยอะมาก กดดัน คาดหวัง อยากให้มันออกมาดี บางทีก็ยังไม่เชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ เหรอ เรารู้สึกว่ามันเป็นโมเมนต์ที่เราเหนื่อยมาด้วยกันและตอนนี้กำลังจะได้เห็นผลลัพธ์มันแล้ว เป็นเหมือนเด็กผู้หญิง 4 คนมานั่งคุยกัน

จากที่เราเหนื่อยมาเยอะมากกว่าจะมาถึงความฝันนี้ ตอนแรกตื่นเต้น พอใกล้จะออกความตื่นเต้นหาย เหลือแค่ว่าเราจะต้องทำมันให้ออกมาดี หลังจากนี้จะวางแพลนยังไงกับวงเรา พอค่ายประกาศเดบิวต์ ก็เกิดกระแสที่ไม่คาดคิดในโซเชียล เกิด #แบนลูกหนัง จริงๆ เริ่มค่ายอยากจะเปิดตัวศิลปินที่แตกต่างจากค่ายอื่น ก็เลยจะมีกระดาษแผ่นหนึ่งให้เราเขียนข้อมูลตัวเอง และมีข้อหนึ่งที่เขาถามว่า ใครคือแรงบันดาลใจของเรา เราก็เขียนไปว่าคือคุณพ่อ พอเขาเปิดตัวเรามาก็มีคนไปหาข้อมูลว่า น้องคนนี้คือใคร แล้วเขาก็โฟกัสตรงคำตอบของเราแล้วมันก็เลยเกิดเป็นประเด็นดราม่าขึ้นมา

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่ทราบ เพราะมือถือไม่ได้อยู่กับเรา ตอนที่ค่ายประกาศออกไป เราซ้อมถึงตี 3 กลับบ้านก็นอนเลยจนตื่นขึ้นมา ค่ายโทรเรียกเราคนเดียวให้ไปเจอเขา ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าแม่โทรมาเกือบ 100 มิสคอล ครั้งแรกที่รับโทรศัพท์แม่ร้องไห้ แม่ก็อธิบายให้ฟังว่าเกิดเรื่องแบบนี้ พอทราบข่าวก็เลยเข้าไปดู อ่านทุกๆ อย่าง ถามว่าช็อกมั้ย ช็อก แต่เข้าใจเพราะมันมีเหตุและผลทำไมมันถึงเกิดแฮชแท็กนี้

ตอนแรกเล่นไม่เป็น ก็เลยสมัครเพื่อจะเข้าไปอ่านดู ก็บอกตัวเองต้องตั้งสติ ต้องรับให้ได้ ต้องเข้าไปอ่านด้วยสติ อย่าใช้อารมณ์ อย่าวู่วาม พออ่านแล้วก็เสียใจ มนุษย์ทุกคนไม่ได้อยากได้ยินคำพูดที่มันจะมาทำร้ายหรือบั่นทอนจิตใจอยู่แล้ว แต่ถามว่าเข้าใจมั้ย เราเข้าใจ เพราะเชื่อเสมอว่าทุกอย่างมีเหตุผล สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็มีเหตุผล ไล่ดูทุกอย่างก็เข้าใจว่าคนเรามีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น

เราเข้าใจว่าแอ็กชันที่เราทำในอดีตมันส่งผลให้คนกลุ่มไม่น้อยเขาได้รับผลกระทบ แล้วเรารู้สึกว่าไม่เคยอยากให้การกระทำของเราไปทำให้เสียใจ หรือรู้สึกไม่ดี หรือเจ็บปวด เราไม่เคยอยากให้เป็นอย่างนี้ แต่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ เราทำไปด้วยความคิดที่ว่าเราเข้าใจแบบนั้น แต่สิ่งที่เราเสียใจคือไม่คิดว่ามันจะทำให้ใครหลายคนเขาเสียใจ

ตอนที่ไปร่วมชุมนุมตอนนั้นความเข้าใจและความรู้สึกในเรื่องของการเมือง ในวันนั้นไปเพราะเราเชื่อแบบนั้น และเราแค่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เราไปด้วยความเชื่อแบบนั้น และเราก็เชื่อว่าคนที่ออกไปตอนนั้นก็มีความคิดเหมือนกันว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่เราไม่ได้คิดว่าในอนาคตตอนนั้นมันเป็นแบบนี้ หรือมันไปทำให้ใครเขาเสียใจ

ตอนเด็กๆ เมื่อก่อน จะเป็นคนที่มีความคิดว่า ฉันจะเป็นแบบนี้ ฉันไม่แคร์คนอื่นหรอก แต่พอโตมานิดหนึ่งยิ่งมาทำงานในวงการ ก็ทำให้รู้ว่าต้องคิดให้ละเอียดมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนมองแค่ตัวเอง แต่ตอนนี้ก็มองให้ลึกกว่าเดิม มองรอบๆ มองสังคม และรู้สึกว่าการเมืองมันอยู่กับทุกคน เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกคนเดียว ตอนนั้นไม่คิดว่าจะมีการรัฐประหาร แค่คิดว่ามันน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ถามว่ารู้สึกดีมั้ยก็ไม่ได้รู้สึกดีกับการรัฐประหาร

ถ้ารู้ว่ามันจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นก็คงไม่ทำ แต่มันไม่มีเครื่องย้อนเวลากลับไปแก้ เชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้เพอร์เฟกต์ บางทีเราทำไปก็ไม่ได้รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ก็เลยทำมันลงไป ทำไปเพราะเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนแปลงและมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้น พอผลมันออกมาในแบบที่เราไม่ได้คิด เราก็มานั่งคิดว่ามีเครื่องย้อนเวลาก็คงจะไม่ออกไปทำอย่างนั้น

สิ่งที่อยากจะบอกว่าคือ อยากขอโทษ ขอโทษมากๆ ที่สิ่งที่เราทำไปทำให้เขารู้สึกไม่ดี เสียใจ เรารู้สึกขอโทษจริงๆ ถ้าแก้ได้ก็อยากย้อนกลับไปแก้ ซึ่งมันคือบทเรียนของชีวิต มันทำให้เรารู้ว่าทุกอย่างมี 2 ด้าน ทำอะไรก็ต้องคิดนิดนึงว่าสิ่งที่เราทำจะกระทบกับใครมั้ย แต่มนุษย์ทุกคนไม่มีใครเพอร์เฟกต์ ทุกอย่างมันเป็นสีเทา และเรื่องการเมือง สังคม เปลี่ยนไปตามเวลา เวลาจะทำอะไรก็ต้องคิดมากกว่าตอนที่เราเป็นเด็ก

ถามว่าเคยยอมแพ้ไม่อยากอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปมั้ย เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เลยนะ แต่พอหลังๆ มันก็มีความคิดที่ทำให้กลับมานั่งคิด จากเรื่องดราม่าที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและเซนซิทีฟกับคนรอบข้าง หนังเตรียมตัวกับกระแสลบที่เกิดขึ้น แต่มีจุดหนึ่งที่ทำให้เสียใจเพราะมันไปส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง เพื่อนๆ ไม่อยากเป็นเพื่อนกับเรา มันทำให้หนังดูเป็นคนไม่ดี ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เป็นภาระของคนอื่น เขาบอกว่าขออัลฟอลโลว์นะ เพราะไม่อยากมีปัญหากับคนในสังคม ไม่อยากมีปัญหากับสิ่งที่เธอมี บางคนบอกขอลบรูปที่ถ่ายด้วยกันนะ เพราะมีคนมาพูดไม่ดีกับเขาว่าเป็นเพื่อนลูกหนัง มีถึงขั้นที่บางคนโดนแคนเซิลงานเพราะเรา หรือเพื่อนไปทะเลาะกับคนที่บ้านเพราะเรา ทำให้รู้สึกว่าทำไมเราถึงเป็นคนแบบนั้น เป็นภาระของเขา จนทำให้คิดไม่รักตัวเอง ความมั่นใจมันเริ่มลดลง ความรู้สึกดีกับตัวเองเริ่มลดลง และถามว่า เราไม่ดีเหรอ

หลังจากนั้นค่ายก็บอกว่าหนังจะอยู่ในวงการต่อ ตอนแรกหนังโกรธค่ายนะคะ เพราะรู้สึกว่าเขาแถลงข่าวโดยไม่บอกเรา เขาเป็นคนต่างชาติที่ไม่เข้าใจในประเทศไทย เหมือนที่เขาคิดว่าเราควรออกไปพูดว่าตอนนั้นเรายังเด็ก แม้เราจะไม่เห็นด้วยเลยก็ตาม เขาไม่ได้ปรึกษาเรา แค่บอกว่าค่ายจะจัดการเอง ตอนที่ค่ายแถลง หนังไม่รู้มาก่อน ค่ายไกด์ให้ตอบว่ายังเป็นเด็กไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่คำตอบในใจจริงๆ คืออยากบอกว่าไปแก้อดีตไม่ได้ และผลที่ตามมาเราไม่เคยอยากให้มันไปทำร้ายใคร เราเสียใจและอยากจะขอโทษจริงๆ

หลายคนมองว่าเพราะโดนด่า โดนแบน เลยเลือกที่จะออกมาตอบแบบนี้?

จริงๆ เรื่องด่าเรื่องแบนมันเกิดขึ้นได้อยู่ตลอด เราไม่สามารถให้ใครมารักเรา 100% แต่อย่างที่บอกถ้าการกระทำของเราทำให้คนรู้สึกไม่ดี เรารู้สึกเสียใจ

ความรู้สึกตอนที่ตัดสินใจออกจากวง?

ก็มีดราม่าเกิดขึ้น ซึ่งปฏิเสธยากว่ามันจะไม่กระทบกับคนในวง เราฝึกด้วยกัน เราไม่อยากให้เขาต้องมาได้รับผลกระทบจากเรื่องที่เราทำ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เขามีความฝันที่อยากจะเดบิวต์ และสิ่งที่เราทำในตอนนั้นมันส่งผลกระทบกับน้องๆ เลยเกิดคำถามว่าเราสร้างปัญหาให้น้องหรือเปล่า เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นปัญหาในวง เลยอยากเอาตัวเองออกมาตรงนั้น แต่น้องๆ ก็บอกว่าไม่เป็นไร ปัญหาทั้งหมดเกิดจากเราคนเดียว ค่ายก็โดน ครอบครัวของน้องๆ ในวงด้วย.

คุณกำลังดู: ลูกหนัง ศีตลา เปิดใจปม #แบนลูกหนัง เผยเหตุผลที่ไปร่วมชุมนุมในวันนั้น

หมวดหมู่: ความบันเทิง

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด