เปิดตำนานเพชรมหึมา Van Cleef & Arpels จากสุดยอดรัตนชาติสู่ไฮจิวเวลรีโลกต้องจำ

เปิดตำนานเพชรมหึมา Van Cleef & Arpels จากสุดยอดรัตนชาติสู่ไฮจิวเวลรีโลกต้องจำ

ประวัติศาสตร์หน้าแรกของ “แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์” (Van Cleef & Arpels) เริ่มต้นจากการแต่งงานระหว่าง “เอสแต็ลล์ อาร์เปลส์” ธิดาตระกูลพ่อค้าอัญมณี กับ “อัลเฟร็ด แวน คลีฟ” บุตรชายช่างเจียระไนและนายหน้าค้าเพชร นำไปสู่การก่อตั้งเมซงระดับตำนานในปี 1906 ณ อาคารเลขที่ 22 จัตุรัส ว็องโดม ใจกลางกรุงปารีส โดยใช้เวลาไม่นานก็สร้างชื่อไปทั่วยุโรปในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง ก่อนขึ้นแท่นเป็นไฮจิวเวลรีแบรนด์โปรดของพระราชวงศ์และบุคคลสำคัญๆระดับโลก

แม้เวลาจะผ่านไปข้ามศตวรรษ แต่การเดินทางของ “แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์” ไม่เคยหยุดนิ่ง ล่าสุด ได้สร้างตำนานบทใหม่ ผ่านการรังสรรค์ไฮจิวเวลรีให้โลกจำ คอลเลกชันตำนานเพชร “Legend of Diamonds” โดยนำก้อนเพชรดิบตำนานเลโซโท ขนาดถึง 910 กะรัต ซึ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก และมีคุณภาพสมบูรณ์แบบ มาผ่านกระบวนการแยกย่อยเจียระไนออกมาเป็นเพชรเม็ดงามหลากหลายรูปทรง จำนวน 67 เม็ด น้ำหนักรวม 441.75 กะรัต เพื่อถ่ายทอดเป็นสุดยอดผลงานไฮจิวเวลรีแห่งยุค

นับเป็นโชคดีของนักสะสมชาวไทยและมหาเศรษฐีทั่วฟ้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีโอกาสได้ยลโฉมคอลเลกชันตำนานเพชรอย่างใกล้ชิด ณ ศาลาริมน้ำ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โดยถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการเผยโฉมคอลเลกชัน “เพชรน้ำหนึ่ง” (White Diamond) ซึ่งเป็นองค์ที่สองของ “Legend of Diamonds” ถัดจากองค์แรกที่เมซงนำเสนอคอลเลกชัน “25 ไอคอนเครื่องประดับซ่อนหนามเตย” (25 Mystery Set Jewels) อวดการใช้เทคนิคฝังอัญมณีแบบซ่อนหนามเตยที่เป็นเอกลักษณ์

จุดเริ่มต้นของตำนาน “Legend of Diamonds” องค์แรก เกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อบริษัทตัวแทนจำหน่ายเพชร “ตาเช่” (Taché) นำเพชรดิบน้ำหนัก 910 กะรัต “Lesotho Legend” มานำเสนอ “แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์” โดยขุดพบในเหมือง “Letseng” ประเทศเลโซโท เป็นเพชรที่มีขนาดใหญ่สุดอันดับ 5 ของโลก ทั้งในแง่ของขนาดและคุณภาพ สีจัดอยู่ในระดับ D และมีความบริสุทธิ์สูงสุดเชิงเคมีระดับ 2A ซึ่งการได้พบอัญมณีก้อนมหึมาที่ยังคงรายละเอียดทุกแง่มุมตามธรรมชาติครบครัน สร้างความสะเทือนอารมณ์อย่างมาก

“แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์” ได้รับความช่วยเหลือจาก “ดามกัด” (Diamcad) ผู้นำด้านการเจียระไนเพชรในเมืองแอนท์สเวิร์ป ประเทศเบลเยียม ในการวางแผนรูปทรงสำหรับดำเนินการเจียระไน รวมถึงคำนวณตำแหน่งหน้าตัดกับเหลี่ยมมุมบนอัญมณีแต่ละเม็ด โดยขั้นตอนนี้ต้องอาศัยระบบซอฟต์แวร์ 3 มิติ ในการสร้างภาพแสดงให้เห็นเพชร ซึ่งจะถูกเจียระไนแต่ละเม็ดจากก้อนเพชรดิบ เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่ทีมนักอัญมณีศาสตร์ใช้สายตาเฉียบคมร่วมกับวิทยาการล้ำสมัย เพื่อวิเคราะห์หารูปแบบที่สมบูรณ์โดยไม่ต้องเฉือนเพชรแยกชิ้นก่อน จึงช่วยจำกัดการสูญเสียวัสดุและลดปริมาณการเสียเปล่า

เมื่อวางรูปแบบและตำแหน่งเพชรแต่ละเม็ดได้แล้ว เพชรดิบจะถูกตัดเลื่อย แบ่งออกเป็นขนาดแยกย่อยสำหรับเข้าสู่กระบวนการเจียระไน ขั้นตอนนี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ท้าทาย เพราะเพชรเป็นแร่แข็งแกร่งที่สุด และเต็มไปด้วยรอยแยกอยู่ภายในโครงสร้างเนื้อเพชร อันเป็นผลจากแรงดันใต้พื้นโลกระหว่างกระบวนการก่อตัวของเพชร ซึ่งกินเวลานับล้านๆปี ตลอดจนแรงกระแทกที่ทำให้เพชรหยาบก้อนนี้แยกตัวแล้วเลื่อนหลุดออกมาจากแหล่งกำเนิดแรกเริ่ม ดังนั้นจึงต้องใช้เทคนิคแยกชิ้นส่วนตามระนาบรอยแยกด้วยธรรมเนียมดั้งเดิม จากนั้นจึงจะใช้เครื่องเจียระไนทำงานกับเพชรดิบแต่ละเม็ดที่ถูกเฉือนแยกชิ้นออกมา ในที่สุดเพชรดิบขนาด 910 กะรัต ก็ผ่านกระบวนการแยกย่อยเจียระไนออกมาเป็นเพชร 67 เม็ดรวม 441.75 กะรัต โดยมีสุดยอดเพชรน้ำงามขนาด 79.35 กะรัต เป็นดาวเด่น ตามด้วยเม็ดน้ำหนักรองลดหลั่น นั่นคือ 51.14, 31.24 และ 25.06 กะรัต ซึ่งมีทั้งเพชรรูปไข่, ทรงหยดน้ำ, ทรงเหลี่ยมมรกต และทรงอาสเชอร์

ความท้าทายยังไม่หมดเท่านี้ เมื่อถึงขั้นตอนการออกแบบเครื่องประดับ...“6 เดือนแรกของขั้นตอนการออกแบบคอลเลกชันนี้ เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแรงกล้า ไม่ว่าจะเป็นความฝัน, ความมุ่งมั่น, ความปรารถนา และความคาดหวังอันเปี่ยมล้น”...“โธมัส ปอซกาอี” ผู้อำนวยการ แผนกออกแบบ “Design Studio” ของเมซง บอกเล่าถึงความตื่นเต้น

งานนี้ ทีมออกแบบทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทีมนักอัญมณีศาสตร์ และแผนกผลิตงานเครื่องประดับชั้นสูง เพื่อพัฒนาตัวเรือนควบคู่ไปกับการนำเทคนิคล้ำค่าสำหรับใช้ฝังอัญมณีขึ้นโครงสร้าง ผสานด้วยเทคนิค “Mystery Set” ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของเมซงตั้งแต่ปี 1933 โดยนำมาใช้กับเครื่องประดับทุกชิ้นทั้งคอลเลกชันเป็นครั้งแรก เทคนิคนี้แตกต่างจากการฝังกดเนื้อโลหะลงบนอัญมณีตรงที่จะไม่เห็นเนื้อโลหะ ทำให้อัญมณีเปล่งประกายเต็มที่ เคล็ดลับอยู่ที่รางทองคำรองรับการฝังสอดอัญมณีเจียระไนรูปทรงพิเศษอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งต้องเซาะร่องในส่วนฐานทรงกระบอกของเพชรหรือพลอยแต่ละเม็ด เพื่อเอื้อต่อการสอดเลื่อนไปตามโครงสร้างโลหะได้พอดี

ผลงานองค์แรกทั้ง 25 ชิ้น ผสานแรงบันดาลใจจากสไตล์อาร์ตเดโคและกูตูร์ ทอประกายงดงามด้วยเพชรระดับตำนาน เคียงข้างทับทิม, แซฟไฟร์ และมรกต โดยดาวเด่นของคอลเลกชันยกให้ “สร้อยคอ Atour Mystérieux” ประดับเพชรรูปไข่ น้ำหนักถึง 79.35 กะรัต ดีไซน์อ้างอิงจากเครื่องประดับ 2 ชิ้นในประวัติศาสตร์ของเมซงคือ “สร้อยคอปกเสื้อ Collerette Necklace” ที่ออกแบบไว้เมื่อปี 1938 กับ “สร้อยคอเพชรคู่บารมีสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์” ที่รังสรรค์ไว้เมื่อปี 1939 ตัวเพชรเม็ดกลางล้อมด้วยโมทิฟจี้ฝังทับทิมซ่อนหนามเตย ตัวเรือนเอกเทศล้อมเพชรสำหรับสลับสับเปลี่ยนกับจี้เพชรเม็ดกลาง สามารถปลดจี้ออกเพื่อนำไปร้อยกับสายโซ่อีกเส้นได้ ซึ่งการดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้ถือเป็นเอกลักษณ์ของเมซง

สำหรับองค์ที่สองของคอลเลกชันตำนานเพชร ตั้งใจเชิดชู “White Diamond” ซึ่งเป็นเพชรน้ำหนึ่งให้เปล่งประกายเหนือกาลเวลา โดยนำเสนอมนตร์เสน่ห์ของเพชรขาว สัญลักษณ์ความเป็นนิรันดร์ คัดสรรเฉพาะเพชรที่ได้มาตรฐานชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นทรงกลม, ทรงบาแก็ตต์, ทรงมาร์คีส์, ทรงเหลี่ยมกุหลาบ และทรงหยดน้ำ เพื่อนำมาร้อยเรียงเป็นผลงานชั้นเลิศ ด้วยแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์โลกตั้งแต่ยุคต้นศตวรรษที่ 20 เรื่อยมาถึงทศวรรษ 1970 ผสานเข้ากับมรดกตกทอดของเมซง ไม่ต่างไปจากการถักทอและร้อยเรียงเหตุการณ์แต่ละช่วงประวัติศาสตร์ สะท้อนเรื่องราวผ่านแต่ละหน้าตัดและเหลี่ยมมุมเจียระไนของเพชร ผลงานเด่นประจำคอลเลกชันยกให้ “สร้อยคอ Roaring Twenties” ได้แรงบันดาลใจจากสไตล์สร้อยคอเส้นยาวแมตช์กับชุดกระโปรงแฟล็ปเปอร์ของสุภาพสตรีชั้นสูงยุคทเวนตี้ส์

ส่วน “ตุ้มหู Chrysler” อินสไปเรชันจากตึกระฟ้าอันโด่งดังของนิวยอร์ก เจ้าของฉายาอัญมณีระฟ้า และเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมยุคอาร์ตเดโค อีกหนึ่งไอคอนรวมถึง “สร้อยคอ Fabulous Fifties” พาหวนคิดถึงยุคทองของฮอลลีวูด ที่เพชรระยับสุกสว่างกลางจอภาพยนตร์ขาวดำ และ “เข็มกลัดวงซ้อนปรัศวภาควิโลม Face à face” งานออกแบบ จำลองลีลาเรียงแถวเป็นวงล้อมก่อนแยกครึ่งโค้งออกจากกันของเหล่านักเต้นระบำปลายเท้าในบัลเล่ต์สามองก์เรื่องดัง “Jewels” ของ “จอร์จ บาลองชีน” เปิดแสดงรอบปฐมทัศน์เมื่อปี 1967 เสน่ห์อยู่ที่ภาพเงาสะท้อนในกระจกที่กลับซ้ายเป็นขวาโดยมีระยะภาพเท่ากับระยะวัตถุทุกประการ ผ่านการจัดสัดส่วนสมมาตรทั้งในแง่รูปทรงและสีสัน ขณะที่ “กำไลเพชรกุสุมาลย์ FLORAISON DE DIAMANTS” ตัวเรือนทองคำขาวฝังเพชร ได้แรงบันดาลใจจากสร้อยข้อมือจำลองแบบแถบคาดศีรษะ (bandeaux bracelets) ซึ่งเป็นเครื่องประดับยอดนิยมในช่วงทศวรรษ 1920.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

คุณกำลังดู: เปิดตำนานเพชรมหึมา Van Cleef & Arpels จากสุดยอดรัตนชาติสู่ไฮจิวเวลรีโลกต้องจำ

หมวดหมู่: แฟชั่น

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด