รีวิว Honda BR-V 1.5 EL ใหม่ กว้างสบาย ขับสนุกได้ ในราคาที่เอาเรื่อง

ทดสอบ Honda BR-V 1.5 EL รุ่นใหม่ อเนกประสงค์ มินิเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง ราคา 915,000-973,000 บาท..

รีวิว Honda BR-V 1.5 EL ใหม่ กว้างสบาย ขับสนุกได้ ในราคาที่เอาเรื่อง

“สมมตินะไปป์ ถ้าพี่ออกทริปกับเพื่อนๆ ที่ทุกคนล้วนใช้แต่รถ 7 ที่นั่งขนาด 1.5 ลิตรเบนซินที่มีขายในไทยตอนนี้ แล้วก็..สมมติอีกทีว่า พี่เป็นคนมักง่าย ไปยืนถ่ายเบาริมพุ่มไม้ข้างทาง แล้วที่ยิ่งชั่วไปกว่านั้นสมมติอีกรอบว่า มันมีงูกะปะกำลังนอนหลับสบายอยู่ตัวนึง พอสายน้ำหล่นโดนกระบาลงู แล้วมันตกใจ พุ่งสวนทางน้ำขึ้นมากัดพี่ แล้วพี่มีรถ 7 ที่นั่ง 1.5 ลิตรอยู่ 4 คัน ไอ้รถคันที่พี่เลือกจะเอาซิ่งไปโรงพยาบาลเพื่อโอกาสสุดท้ายในการรักษาอวัยวะพี่ มันก็คงเป็น BR-V นี่แหละวะ”

แน่นอน ทุกสิ่งข้างบนเป็นเหตุการณ์สมมติ และงูตัวนั้นก็ยังนอนฝันหวานถึงเหยื่อมื้อต่อไปของมันอยู่ ผมแค่ใช้วิธีเปรียบเทียบอย่างที่ชอบทำประจำ แล้วเล่าให้เพื่อนร่วมเส้นทางของผม คุณพลพัต สาเลยยกานนท์ ผู้สื่อข่าว PPTV 36 ฟัง ตอนที่เราพยายามช่วยกันมองหาข้อดีของรถคันนี้ ว่าทำไมใครสักคนถึงจะยอมจ่ายเงินเพิ่มเกือบแสนบาทจาก Toyota Veloz รุ่นท็อป เพื่อมาซื้อเจ้า BR-V 1.5 EL ที่วางราคาไว้สูงถึง 973,000 บาท ส่วนรุ่น 1.5 E ตัวรองนั้นก็ยังถือว่าโหดอยู่ดีกับค่าตัว 915,000 บาท

ในตลาดรถกลุ่ม 7 ที่นั่งขนาดตัวกำลังน่ารักในงบไม่แหกกระเป๋าตอนนี้ เรามีผู้เล่นอยู่ 4 ตัว คือ Toyota Veloz, Mitsubishi Xpander, Suzuki XL-7 และเจ้า BR-V นี้ รถทุกคันมีคุณสมบัติหลักที่เกือบเหมือนกันตรงที่ เป็นรถตัวไม่ใหญ่ หาที่จอดไม่ยาก ขับเข้าเมืองคล่องตัว มีการออกแบบเน้นพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง สามารถรองรับผู้โดยสาร 7 คนได้เมื่อจำเป็น ความสูงใต้ท้องรถมากกว่ารถเก๋งแต่ยังไม่เท่าพวก SUV ตัวโตๆ เพราะต้องการวางสมดุลระหว่างการลุยน้ำท่วม กับการออกแบบที่ทำให้คนชรายังสามารถขึ้นลงได้ง่ายอยู่ แต่สิ่งอื่นๆ จากจุดนี้ไป แต่ละค่ายต่างปรุงแต่งรสชาติ อัดอุปกรณ์ อัดราคาตามใจตัวเอง

BR-V เป็นรถที่ประกอบส่งมาจากอินโดนีเซียเหมือนคู่แข่งรายอื่นๆ แต่คนของ Honda ในประเทศไทยก็เป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนารถคันนี้ให้มีจุดเด่นยิ่งขึ้น เราไม่มานั่งเถียงกันนะครับว่าไทยหรืออินโดฯ เจ๋งกว่า แต่พูดแบบแฟร์ๆ คือ ชาวอินโดนีเซีย ใช้รถสมบุกสมบันกว่าบ้านเรา ประเทศเขาใหญ่โตกว่าเรามากแต่ความที่กระจัดกระจายเป็นหลายเกาะ นอกเมืองจาการ์ตาไป ถนนดีๆ มีน้อยมาก ชาวอินโดฯจึงเน้นการทำรถที่ทน ในขณะที่ทีมไทยนั้นรู้วิธีว่าทำอย่างไรให้รถขับสนุก ตอบสนองดี และยังมีเรื่องการจัดการพื้นที่ การวางตำแหน่งการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ต่างคนต่างมีความถนัดไม่เหมือนกัน แต่พอเอาสมองมารวมกันแล้วเป็น 1+1 ได้มากกว่า 2

การออกแบบภายนอกนี่ ต้องบอกว่า BR-V ถ่ายรูปไม่ค่อยขึ้น พอมาเห็นตัวจริงโดยไม่ผ่านเลนส์กล้อง สัดส่วนของรถดูสมส่วนหน้า/หลัง มีความกลมกลืนผสานกันแบบทุกเส้นสายมีที่มาที่ไป เรื่องความสวยนี้แล้วแต่คนชอบ ส่วนตัวผมชอบเส้นสายที่ล้ำสมัยอย่างกล้าหาญของ Xpander มากที่สุด ตามมาด้วย BR-V ที่แม้จะจืดแต่ก็ยังแอบหล่อ ในขณะที่ Veloz นั้นดูทีละส่วนแล้วสวย แต่ดูทั้งคันแล้วกลับดูหักข้องอก้นแปลกๆ ในขณะที่ XL7 นั้นดูดุ แต่ก็ไม่ค่อยเด่นไม่ว่าจะส่วนไหน

BR-V คันที่เราลองขับนี้ ได้ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED โดยที่มีแต่หลอดไฟเลี้ยวกับไฟถอยที่ยังเป็นหลอดไส้คลาสสิกอยู่ ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว กับยางโตถึง 215/55 ขอบ 17 เป็นยาง Bridgestone Turanza T005A ซึ่งถ้ารถขายจริงให้ใส่ยางรุ่นนี้ต้องนับว่า Honda ใจป้ำ เพราะ T005A ไม่ใช่ยางถูกๆ และประสิทธิภาพของยางก็บาลานซ์ได้ดีระหว่างความเงียบ ความนุ่ม ความทนทานต่อการใช้งาน ดีกว่ายางติดรถรุ่นอื่นๆที่ Honda มักเลือกใช้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา

ก้าวเข้ามาดูภายใน แดชบอร์ดออกแบบมาดูแล้วมีความเป็น CR-V ปนอยู่ จอกลางมีขนาด 7 นิ้ว ซึ่งถือว่าเล็กกว่าคู่แข่งทุกรุ่น (XL-7 10 นิ้ว Xpander และ Veloz 8 นิ้ว) ส่วนหน้าปัด ก็มีมาตรวัดความเร็วกับวัดรอบที่เป็นเข็มแบบดั้งเดิม มีจอข้อมูลตรงกลางขนาด 4.2 นิ้วเป็นแนวตั้ง ตรงนี้ถือว่าไม่ได้ดีไปกว่าเพื่อนร่วมกลุ่ม มีเพียง Veloz ที่ใช้จอข้อมูลขนาดโตกว่าใคร บวกกับตัวเลขความเร็วเป็นแบบดิจิทัล แสงสีและลูกเล่นหน้าปัดจึงทำได้มากกว่าใครเพื่อน

ระบบปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ แต่ไม่มีฮีทเตอร์สำหรับสร้างความอุ่นเวลาวิ่งขึ้นเขาหน้าหนาว จุดนี้ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ของรุ่น เพราะมีแค่ XL-7 ที่เป็นแอร์ออโต้เต็มระบบพร้อมฮีทเตอร์ ส่วน Xpander นั้น ให้แอร์จอดิจิทัลมาก็จริงแต่ไม่ได้มีระบบปรับความเย็นแบบอัตโนมัติมาให้ สำหรับการตกแต่งห้องโดยสาร ดูแล้วรู้ว่าทีม Honda พยายามรักษาเอกลักษณ์ของค่ายเอาไว้ สวิตช์ต่างๆ จัดวางให้ใช้ง่ายเป็นมิตรแบบที่ไม่ต้องเปิดคู่มือก็พอเดาได้ว่าอะไรคืออะไร แม้ว่าในรถระดับนี้ Xpander จะให้ภายในที่ดูด้วยตาแล้วอลังการ จับด้วยมือแล้วนุ่มสุดในหลายจุด แต่ Honda ก็ตามมาติดๆ ด้วยการพยายามทำงานประกอบให้ดูแน่นหนาเท่าที่จะทำได้

จุดเด่นในด้านอุปกรณ์ติดรถ คือจุดหนึ่งที่อาจจะช่วยทำให้ราคาเก้าแสนปลายดูสมเหตุผลขึ้น BR-V ได้รับการติดตั้งระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน Honda SENSING มาด้วย ซึ่งรวมไปถึง ไฟสูงแบบปรับลำแสงหลบรถสวนมาโดยอัตโนมัติ ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบเบรกช่วยอัตโนมัติ ระบบเตือน

เมื่อรถเป๋ออกนอกเลน และชักพวงมาลัยกลับ กับระบบรักษารถให้อยู่กึ่งกลางเลน ซึ่งอย่างหลังนี้จะมีสวิตช์แยกมาอยู่บนก้านพวงมาลัยด้านขวา และเด็ดสุดคือ BR-V เป็นรถรุ่นเดียวในคลาส ที่มีระบบ Adaptive Cruise Control มาให้ รวมถึงระบบสตาร์ทรถเปิดแอร์ล่วงหน้าผ่านรีโมตจากระยะไกล และระบบตั้งล็อครถอัตโนมัติเมื่อเดินออกห่าง

เหมือนเขาพยายามให้ของมาในระดับที่ลูกค้าจะไม่คิดเยอะเมื่อเห็นราคา ทว่าเราพูดตามความจริง ก็ต้องบอกว่าระบบ ACC ยังทำงานได้แค่ช่วงความเร็ว 30 กม./ชม. ขึ้นไป ไม่มีระบบ Stop & Go และตามวิสัย Honda ก็คือ ไม่มีกล้องรอบคัน มีแค่ระบบ Lane Watch ซึ่งเป็นกล้องส่องมุมอับด้านซ้าย และกล้องมองหลัง ที่ตกม้าตายแบบสุดๆ คือ พี่แกยังให้เบรกมือแบบคันโยกธรรมดา ซึ่งอาจจะโอเคสำหรับรถกระบะหรือรถประเภทเน้นขับมันขับสนุก แต่สำหรับรถครอบครัวโดยเฉพาะราคาใกล้ล้านขนาดนี้ ผมไม่ปลื้มเท่าไรที่ไม่มีเบรกมือไฟฟ้ากับ Auto Brake Hold อย่างที่ควรมีเช่นใน Veloz กับ Xpander แทนที่จะพูดได้ว่าอุปกรณ์เหนือชั้น กลับกลายเป็นไล่เลี่ยกันกับ Veloz โดยต่างคนต่างขาดบางอย่าง แต่ภาพรวมถือว่าเยอะทั้งคู่

ทีนี้ มาดูรายละเอียดทางด้านวิศวกรรมบางส่วนกัน

ระบบเบรก ยังไม่ใช่ดิสก์เบรก 4 ล้อ..ตรงนี้แหละที่บางคนด่าแน่นอนว่ารถราคาเกือบล้านทำไมยังใช้ดรัมเบรกหลัง ทั้งที่ความจริง ในรถที่ไม่ใช่ Performance Car การใช้ดรัมเบรกหลังไม่ได้บาปขนาดนั้นและ Xpander กับ XL-7 ก็ยังใช้เบรกดรัมหลังเหมือนกัน ดรัมเบรกน่ะจริงๆ ให้ประสิทธิภาพห้ามล้อดีนะครับ ถ้าขนาดโตเท่ากัน ดรัมเบรกชนะดิสก์เสมอ แต่มันระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าดิสก์เบรกเมื่อใช้งานหนักหน่วง รถแรงๆเขาเลยไม่ใช่กัน แต่บางครั้งผมก็งงเหมือนกันว่า คนที่ชอบพูดว่า “ม้าเยอะแยะจะเอาไปใช้ที่ไหน” หรือ “แรงยังไงก็ไปได้แค่ 120” มักจะเป็นกลุ่มที่อยากได้ดิสก์หลังกัน

เบรกหน้าของ BR-V มีการปรับปรุงขนาดของคาลิเปอร์ให้โตขึ้นกว่ารุ่นเดิม ส่วนจานเบรกยังเป็นขนาด 282 มม. และขนาดผ้าเบรกยังเท่าเดิมอยู่ ส่วนช่วงล่างนั้นมีการปรับปรุงใหม่ เปลี่ยนสปริงและโช้คอัพเพื่อเน้นการขับขี่ที่มั่นคงขึ้น ในขณะเดียวกัน ยางแท่นเครื่อง ก็เปลี่ยนเป็นแบบ Dynamic Damper ซึ่งสามารถช่วยลดความสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านไปยังห้องโดยสารได้มากกว่ารุ่นเดิม

หัวใจแห่งการขับเคลื่อน คือเครื่องยนต์ L15ZF พอคุณเห็นเลขรหัสเครื่อง อย่าเพิ่งคิดว่า Honda รีไซเคิลเครื่องเก่าจากรุ่นที่แล้วมาใช้นะครับ เจ้า L15ZF นี้ เปลี่ยนฝาสูบใหม่ไปเลย เป็นเครื่องทวินแคม ในขณะที่รุ่นที่แล้ว กับ Jazz ยังเป็นเครื่องแคมชาฟท์เดี่ยวอยู่ มีระบบแปรผันจุดเปิด/ปิดวาล์วมาให้ที่ฝั่งไอดี ปรับองศาแคมชาฟท์ให้รับอากาศเข้าได้มากขึ้น และจูนขนาดความยาวท่อไอดีใหม่ ผมสรุปให้สั้นๆว่า งานนี้ ทีม Honda ไทยแลนด์โคตรซน ซนจนได้ตัวเลข 121 แรงม้า กับ 145 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดารถ 7 ที่นั่ง 1.5 ลิตรทั้งหมด แล้วยังไม่พอ เขาไปซนกับเกียร์ CVT ใหม่ จากเดิมที่เวลากดคันเร่งมิดเพื่อแซง เกียร์จะคารอบสูงคงที่ วิ่งผ่านทีนึกว่าเรือหางยาวแสนแสบ เขาไปปรับให้มันมีการไล่รอบเวลากดคันเร่งเต็ม การไล่เสียงไล่รอบทำให้คุณได้อรรถรสคล้ายเกียร์ 6-7 สปีดแบบดั้งเดิม

ผมลองขับ โดยมีน้องไปป์ พลพัต PPTV นั่งไปด้วย เราทั้งสองคนต่างมาพร้อมกระเป๋าใบเขื่องๆ ตามประสาสื่อฯรถยุคนี้ ไปไหนก็ต้องแบก Laptop กับเครื่องมือสำหรับการถ่ายทำคลิปไปด้วย น้ำหนักบรรทุกโดยรวมน่าจะเท่าผู้ใหญ่ไซส์ปกติ 3 คนกับไซส์เล็กอีกหนึ่ง เพราะตาไปป์ก็ตัวสูงโย่ง 185 ซม. ไม่ได้จัดว่าเป็นคนตัวเล็ก ส่วนผมก็นะ..แบกน้ำหนักเท่าผู้ใหญ่ตัวโตสองสามคนให้แล้ว

แม้จะมีเงื่อนไขอย่างนี้ Honda BR-V ยังสามารถทำอัตราเร่งแซง 80-120 กม./ชม. จบใน 8.5 วินาที ในขณะที่คู่แข่งรายอื่นๆ จะป้วนเปี้ยนแถว 10 วินาที บางคนอาจจะบอกไม่เยอะ แต่ในโลกการเทสต์รถ 1.5 วินาทีนี่คือต่างกันแบบชัดเจนนะครับ ส่วนอัตราเร่ง 0-100 ก็จบใน 12.5 วินาที ซึ่งเร็วกว่าคู่แข่ง 1-2.5 วินาทีเช่นกัน อารมณ์ตอนขับยิ่งคนละเรื่องกับคู่แข่ง ผมขับรถคันอื่นๆที่เป็น 7 ที่นั่ง 1.5 ลิตร รู้สึกว่าพลังเครื่องให้มาแค่พอลากตัวถังไปไหนมาไหนได้ แต่ BR-V นี่ดุดันผิดวิสัยเพื่อน มันอยากจะพุ่ง พุ่ง พุ่ง ลากรอบชนขีดแดง แว๊ด แว๊ด แว๊ด เสียงเครื่องตอนขยี้เต็มๆ 6,000 รอบ แผดลั่นแบบร้ายเอาเรื่อง ไม่ได้ร้องขอชีวิตสั่นเทิ้มเหมือนคู่แข่งเจ้าอื่น

ผมรู้ว่า นิสัย Honda ชอบเครื่องรอบจัดมาแต่ไหนแต่ไร แค่ว่าผมไม่คาดว่า BR-V รถครอบครัว พาพ่อไปตกปลา พาย่าไปซื้อของ มันจะมีนิสัยอย่างนี้ ..อาจเป็นไปได้ว่า คืนหนึ่ง..ในขณะที่ทีมวิศวกรอินโดฯ กลับบ้านไปหมดแล้ว วิศวกร Honda ไทยรวมหัวกัน ใส่หมวกไอ้โม่งแล้วลอบเข้าไปแก้ข้อมูลสเปกเครื่องกับจูนกล่องเสียใหม่ Save ทับของเดิมแล้วตบมือ High Five กันก่อนย่องกลับบ้าน

ช่วงล่างและเบรก ก็มีลักษณะเป็นวัยรุ่นมากที่สุดในกลุ่มเช่นเดียวกัน พวงมาลัยของ BR-V อาจจะไม่ได้ตอบสนองแบบรถซิ่ง แต่กะน้ำหนักได้ง่าย ใช้งานที่ความเร็วต่ำเบาสบาย และเพิ่มน้ำหนักการหน่วงอย่างเป็นธรรมชาติที่ความเร็วสูง ช่วงล่างเซ็ตมาไม่ใช่แบบคนแก่ใช้ แต่มีนิสัยเป็นวัยรุ่นที่พยายามจะเอื้อเฟื้อคนแก่อยู่บ้าง ความสะเทือนจึงมากกว่ารถของคู่แข่ง

แต่คำว่ามากนี่ ก็ยังนุ่มกว่าช่วงล่างสเปกมาตรฐานของ Toyota Fortuner รุ่นธรรมดาสุดนะครับ ทางที่ดี คุณอาจจะต้องไปลองนั่งสัมผัสเองว่าเนียนก้นพอหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องการมุดซ้ายป่ายขวา การยิงเข้าโค้งออกโค้ง ผมลองให้แล้วกล้าพูดว่า BR-V ทำได้ดี ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาเหมือนตอนคุณเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ การย้วยเอียงของตัวถังน้อยกว่ารถของคู่แข่ง เบรก กดลงไปนิดเดียว ผ้าเบรกก็หนีบจานสร้างแรงหน่วงได้ชัดเจน เบาและกัดจานเร็ว นิสัยเป็นวัยรุ่นจริงๆ ครับ คนที่ขับเร็วจะชอบบุคลิกลักษณะนี้ แต่ถ้าคุณอยากได้รถที่ช่วงล่างหนักแน่น นุ่มนวล และเก็บเสียงลมเสียงใต้ท้องรถได้ดี คำตอบมันจะไปตกที่ Mitsubishi Xpander มากกว่า ซึ่งการเซ็ตรถในสไตล์ของมิตซูฯนั้น เอาใจผู้ใหญ่มากกว่า สบาย เรียบ เงียบเสียงกว่า แม่ยายนั่งเล่นเกมเบาะหลังน่าจะยิ้มได้กว้างกว่า

ปัญหาที่เราเห็นก็คือ BR-V ดูเป็นรถที่สร้างมาสำหรับกลุ่มลูกค้าประเภท “ลูกยังเล็ก แต่เลือดยังร้อน” ซึ่งมันจะมีสักกี่คนกันที่ยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้รถแบบนี้ ลูกค้าที่อยากได้รถ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก ส่วนมากเท่าที่ผมสังเกตจากยอดขาย จะพบว่ากลุ่มนี้ ไม่ได้เน้นการซื้อรถที่ถูกที่สุด ถ้าลูกค้าเน้นอยากจ่ายน้อยสุดแต่ได้มากเกือบเท่าคนอื่น XL-7 ก็น่าจะเป็นรถที่ขายดีสุด แต่ผลออกมาก็คือ Xpander กลับสร้างตัวเลขยอดขายได้ดี ทั้งๆที่อุปกรณ์ความปลอดภัยติดรถมานั้นแทบไม่ต่างกับ XL-7 ที่ถูกกว่ากันราวแปดหมื่นบาท แต่มันเป็นรถที่รูปทรงดูดี ประโยชน์ใช้สอยสูง และมีการขับขี่ที่สบาย ภายในทำมาสวย คนที่ซื้อรถแบบไม่อ่านโบรชัวร์ จะโดน Xpander ตกอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ Veloz ซึ่งเป็นรถขายดีเช่นกันนั้น สมเหตุสมผลมากในราคา และยังยัดอุปกรณ์ให้ในแบบที่ “ตกใจที่ Toyota ให้ของแบบนี้ในราคานี้” แม้ว่าเราจะเห็นการลดราคาได้จากวัสดุและการเก็บงานของตัวรถก็เถอะ

รถทั้งสองคันที่กล่าวไป น่าจะสะท้อนความต้องการหลักของกลุ่มลูกค้า 7 ที่นั่งพิกัดเล็กได้ดี คือถ้าไม่ใช่ว่าคุณทรงสวยน่าใช้ ก็ต้องให้ของเล่นแบบแพรวพราวในราคาที่เอื้อมถึงง่าย BR-V เป็นรถที่มีรูปทรงขายได้ เรื่องอุปกรณ์ยิ่งขายได้ แต่พอเจอกับค่าตัวที่แพงจนบางคนเห็นแล้วอยากขอเป็นหนี้เพิ่มแล้วขยับไปหารถอย่าง Isuzu MU-X หรือ Nissan Terra รุ่นล่างล้านต้นๆ ดังนั้น ถ้าคิดว่าคุณเอง ไม่ชอบรถใหญ่ อยากได้รถเล็กแต่ 7 ที่นั่ง และมีเรี่ยวแรงจริง ขับสนุกจริง แบบไม่ต้องนับลูกประคำช่วยเสริมศรัทธาตอนแซงสิบล้อ ค่าตัวที่แพงกว่าของ BR-V ก็เปรียบได้กับการเอา Veloz มาตัดอุปกรณ์ 2-3 อย่าง เพิ่มของอื่นๆ 2-3 อย่าง แล้วบวกเรื่องพลังเข้าไป

แต่ถ้าคุณไม่ได้สนเรื่องพละกำลังเลยแม้แต่น้อย และคุณโอเคกับการประกอบและวัสดุของ Veloz ก็ต้องบอกว่า ถ้ามาแนวนี้ Toyota น่าจะตอบโจทย์ได้ตรงกว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดายพลังการสร้างสรรค์อันสุดติ่งของวิศวกรที่ Honda ลงมือทำไป แหม ถ้าราคาลงมามากกว่านี้หน่อย รับรองว่าบรรดาเซลส์ขายรถได้ง่ายขึ้นเยอะ แต่เหนืออื่นใด เราลองให้เวลา 1 ปีนับจากนี้เป็นตัวพิสูจน์ดูครับ ว่าจะสร้างยอดขายได้ 3,000 คันใน 12 เดือน ตามที่ทาง Honda ตั้งเป้าไว้หรือไม่.

Pan Paitoonpong


คุณกำลังดู: รีวิว Honda BR-V 1.5 EL ใหม่ กว้างสบาย ขับสนุกได้ ในราคาที่เอาเรื่อง

หมวดหมู่: รีวิวรถใหม่

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด