25 ปี ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ครบรอบ 25 ปี ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ฝรั่งเศสผงาดคว้าแชมป์โลก 1998 บนแผ่นดินของตัวเอง
ฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 1998
ท่ามการกระแสก่อนแข่งสุดร้อนแรง
เมื่อสื่อในบ้านตัวเองบอกว่าเป็นทีมชุดที่ขี้ขลาด
และเลือกนักเตะโดยโค้ชที่มือไม่ถึง
นี่คือเรื่องราวการสร้างทีมแชมป์โลกจากทีมที่จับตรงไหนก็พัง
มีเรื่องให้ต้องซ้อมทุกจุดในเวลา 5 ปี ของทัพ เลส์ เบลอส์
ทุกคำด่า ทุกดราม่า ถูกกางปีกรับโดยโค้ชทีชื่อว่า เอเม ฌาคเกต์
ชายผู้ถือคัมภีร์แชมป์โลกในวันที่ใครหลายคนส่ายหัวให้กับเขา
ทุกวันนี้เชื่อว่าแฟนบอลทุกคนน่าจะเข้าใจตรงกันอย่างไร้ข้อโต้แย้งว่า
ฝรั่งเศสคือหนึ่งในชาติที่เอกอุที่สุดในด้านฟุตบอล
นักเตะคุณภาพมากมายเกิดขึ้นคนแล้วคนเล่า และในรอบ 20 ปี
พวกเขาสามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 2 ครั้งและแชมป์ยุโรปอีก 1 หน
ทว่าในช่วงต้นยุค 1990s ทัพตราไก่
คือทีมที่พยายามตะเกียกตะกายอย่างหนักเพื่อชัยชนะแต่ละเกม
และเมื่อถึงแมตช์ที่ชี้เป็นชี้ตาย
พวกเขากลับบ้อท่าไม่สามารถคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการได้
หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "ล้มเหลวในตอนจบ" ได้อย่างเต็มปาก
สิ่งยืนยันจากคำกล่าวข้างต้นคือ
ฝรั่งเศสคือทีมที่ไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 1990 ในอีก
2 ปีต่อมาพวกเขาก็ตกรอบแบ่งกลุ่มในศึกยูโร 1992 ความล้มเหลว 2 ครั้ง 2
คราทำให้พวกเขาตั้งใจกับฟุตบอลโลก 1994 เป็นอย่างมาก
และตั้งเป้าหมายว่าจะต้องไปเล่นในรอบสุดท้ายของเวิลด์คัพฉบับอเมริกาให้ได้
เริ่มต้นจากการจ้าง เชราร์ อุลลิเยร์ ที่พาทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง
คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในปี 1986 เข้ามาเป็นเฮดโค้ช
เพื่อดูแลทีมที่สื่อในประเทศเรียกว่า "กลุ่มนักเตะยุคทอง" นำโดย 2
ดาวยิงที่ยิงกันระเบิดระเบ้อแห่งยุคนั้นอย่าง เอริค คันโตน่า และ ฌอง
ปิแอร์ ปาแป็ง รวมถึงปีกที่ได้ฉายาว่า "นักฆ่า" อย่าง ดาวิด ชิโนลา
นอกจากนี้ทีมยังประกอบด้วยแข้งดาวรุ่งที่กำลังพัฒนาเป็นกำลังหลักอย่าง
ดิดิเยร์ เดส์ชองส์, เอ็มมานูเอล เปอตีต์ และ มาร์กแซล เดอไซญี่ โดยมี
โลรองต์ บลองก์
หนึ่งในนักเตะที่ถูกเรียกว่ากองหลังที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสเป็นผู้นำในเกมรับ
จากรายชื่อที่กล่าวมา
งานของพวกเขาคงไม่น่าจะเป็นเรื่องอยากอะไรกับการแค่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอล
เพราะทีมที่่ร่วมกลุ่มในรอบคัดเลือกประกอบด้วย สวีเดน, บัลแกเรีย,
ออสเตรีย, ฟินแลนด์ และ อิสราเอล
ซึ่งหากจะมองว่ามีทีมไหนแข็งที่สุดก็น่ามีแค่ 2 ทีมคือ สวีเดน
ที่นำโดย มาร์ติน ดาห์ลิน และ โทมัส โบรลิน ขณะที่อีกทีมหนึ่งคือ
บัลแกเรีย ที่มี ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ จาก บาร์เซโลน่า และ คราซิเมียร์
บาลาคอฟ เป็นตัวชูโรง ...
แต่ถึงแม้อย่างนั้นฝรั่งเศสก็ยังมีหน้าเสื่อที่แข็งกว่าอยู่ดี
อย่างไรก็ตามความล้มเหลวของทีมชุดนั้นคือแม้จะมีสตาร์แถวหน้าของโลกลูกหนัง
แต่ฝรั่งเศสกลับไม่สามารถรวมทีมให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
เรื่องเริ่มจาก ดาวิด ชิโนลา ที่กำลังท็อปฟอร์ม ณ
เวลานั้นออกมาวิจารณ์เพื่อนร่วมทีมอย่าง คันโตน่า และ ปาแป็ง
ว่าไม่เหมาะสมที่จะถูกเลือกเป็นตัวจริงก่อนหน้าเขา
จุดนี้ต้องขอเท้าความว่ามันเป็นเรื่องบาดหมางกันมาตั้งแต่สมัยเล่นให้กับสโมสร
เพราะ คันโตน่า และ ปาแป็ง นั้นเคยเล่นให้ โอลิมปิก มาร์กเซย
ซึ่งเป็นคู่ปรับโดยตรงกับ เปแอสเช ที่ ชิโนลา สังกัดอยู่ ซึ่งการที่
ชิโนลา วิพากษ์ทั้ง 2 คนผ่านสื่อทำให้แฟนบอลของเปแอสเชคล้อยตาม
ซึ่งทุก ๆ เกมที่ฝรั่งเศสลงเล่นใน ปาร์ค เดอ แพรงส์
ที่เป็นสังเวียนเหย้าของเปแอสเช
แฟนบอลกลุ่มหนึ่งจะตะโกนโห่ใส่คันโตน่าและปาแป็งตลอดเวลา
ซึ่งทำให้ทีมสปิริตนั้นย่ำแย่
และนักเตะในแนวรุกที่เป็นตัวความหวังของทีมต้องเล่นกันแบบต่างคนต่างไปพึ่งตัวเองมากกว่าจะเชื่อใจกัน
"ตอนเราเล่นที่ ปาร์ค เดอ แพรงส์
นักเตะของมาร์กเซยจะโดนโห่เราตลอดทั้งเกม ยิ่งในวันที่ ชิโนลา
เริ่มวิจารณ์ ปาแป็ง และ คันโตน่า
ว่าไม่ได้เก่งและไม่ได้เหมาะกับตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติ
ทุกอย่างก็แทบจะพังทีมไปเลย
สำหรับผมชิโนลาคือไอ้สารเลวที่ก่อเรื่องวุ่น ๆ ทั้งหมดขึ้น เขาทำให้
ปาแป็ง และ คันโตน่า
โดนโห่และกดดันจากแฟนบอลของตัวเองในทุกสัมผัสที่อยู่ในสนาม" อุลลิเยร์
ผู้ล่วงลับกล่าวในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาที่ชื่อว่า 'Secrets de
Coaches'
แม้จะเป็นการเปิดเผยหลังเหตุการณ์ผ่านไปหลายปี
แต่หลายสิ่งที่อุลลิเยร์บอกก็สะท้อนความน่าจะเป็นในแคมป์ทีมชาติฝรั่งเศส
ณ เวลานั้นได้ นักเตะที่เป็นพี่ใหญ่แตกคอกันเอง มีการแบ่งแยกเป็น 2
ฝั่งในห้องแต่งตัว แม้กระทั่ง ชิโนลา กับ อุลลิเยร์
ก็ยังมีความบาดหมางที่ซ่อนอยู่ภายในใจของทั้งคู่ ไม่ใช่แค่นั้นตัวของ
อุลลิเยร์
ไม่ได้มีปัญหาแค่กับนักเตะแต่เขายังเล่าภายหลังว่าเขาถูกเลื่อยขาเก้าอี้จากมือขวาของเขาที่ชื่อ
เอเม ฌาคเกต์ อีกด้วย
"ผมพยายามจะจัดการเฉดหัวชิโนล่าออกจากทีมตั้งแต่ปัญหาเริ่มขึ้น
แต่เอเมปกป้องเขาและไม่ให้ผมลงมือทำสิ่งนั้น ...
นั่นคือข้อผิดพลาดที่ผมยอมรับ
ผมควรจะไล่เขาออกจากตำแหน่งเสียตั้งแต่แรกก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โต"
อุลลิเยร์ กล่าว
จากข้อมูลดังกล่าวทีมสปิริตของฝรั่งเศสพังไม่เป็นท่า
พวกเขาพึ่งความสามารถส่วนตัวสำหรับชัยชนะในแต่ละเกม
ทว่าฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม และทีมอื่น ๆ
ในสายก็รู้ว่าเมื่อต้องเจอฝรั่งเศสที่มีทั้ง ชิโนลา, คันโตน่า และ
ปาแป็ง พวกเขาจะต้องเล่นอย่างไร วิธีง่าย ๆ ก็คือการตั้งรับและสวนกลับ
เพราะเกมรุกที่ไร้รูปแบบจะนำมาซึ่งช่องโหว่ในเกมรับแบบปฏิเสธไม่ได้
พวกเขาออกสตาร์ทย่ำแย่ แพ้ บัลแกเรีย
ที่เป็นคู่ต่อสู้ในการชิงตั๋วกันโดยตรงในเกมที่ 2
จากนั้นตามด้วยการเสมอทีมแข็งในสายอย่าง สวีเดน
แม้จุดนี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่หากฝรั่งเศสสามารถเก็บทีมเล็ก ๆ
ทีมอื่นในสายได้หมดพวกเขาก็จะมีโอกาสเข้ารอบสูง
เพราะบัลแกเรียและสวีเดนก็ทำแต้มตกหล่นไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ตามหายนะเริ่มขึ้นเมื่อสิ่งที่คาดไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง
ฝรั่งเศสลงเล่นเกมนัดรองสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเปิดบ้านเจอ
อิสราเอล ทีมบ๊วยของสาย ทว่าในเกมนั้นนักเตะฝรั่งเศสประมาทถึงขีดสุด
พวกเขาออกนำไปก่อน 2-1 ในครึ่งแรก
และผ่อนคันเร่งเพื่อปิดสกอร์เน้นผลตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง
ปัญหาเกิดจากตรงนี้ พวกเขาไม่ใช่ทีมที่เล่นเกมรับดีนักเป็นทุนเดิม
และการตั้งรับคือปัญหาใหญ่ อิสราเอลรวมใจกลับมาสู้
และทำในสิ่งที่เหลือเชื่อด้วยการยิง 2 ลูกใน 7 นาทีสุดท้ายของเกม
พลิกชนะฝรั่งเศส 3-2 ที่ปาร์ค เดอ แพรงส์
ซึ่งเกมนี้นี่แหละที่อุลลิเยร์บอกว่า "ชิโนลา คือไอ้สาวเลว"
ถ้าฝรั่งเศสชนะพวกเขาจะเข้ารอบทันที
แต่เมื่อแพ้งานหนักก็มาเยือนในเกมสุดท้ายกับบัลแกเรียที่บ้านของตัวเอง
ซึ่งโจทย์ก็ไม่ได้ยากอะไร พวกเขาต้องการแค่ผลเสมอเพื่อเข้ารอบ
แต่เมื่อลงสนามจริงบัลแกเรียที่รู้จุดอ่อนของฝรั่งเศสก็วางเกมรับให้แน่นที่สุด
และสุดท้ายฝรั่งเศสก็ตายน้ำตื้นจริง ๆ
อุลลิเยร์ เก็บตัวปัญหาอย่าง ชิโนลา ไว้ข้างสนาม เลือก คันโตน่า และ
ปาแป็ง ลงก่อน นั่นทำให้บรรยากาศกองเชียร์ในสนามมาคุ แม้ คันโตน่า
จะยิงนำไปก่อนในนาที่ 31
แต่เมื่อฝรั่งเศสเริ่มตั้งเกมรับทุกอย่างก็พัง เอมิล คอสตาดินอฟ
ยิงตีเสมอให้ บัลแกเรีย 1-1 ในนาทีที่ 37
จากนั้นบัลแกเรียก็รู้ว่าพวกเขามีโอกาสเข้ารอบ
หากใช้แทคติกเดิมที่ฝรั่งเศสแพ้ทาง
นักเตะฝรั่งเศสเสียขวัญ เพราะหากเสียอีกประตูเดียวพวกเขาจะตกรอบ
ขณะที่บัลแกเรียฮึกเหิมสุด ๆ เพราะไม่มีอะไรจะเสีย
มันคือสถานการณ์ที่นักเตะฝรั่งเศสที่เหนือกว่าตอนก่อนเริ่มเกมตัวเล็กลง
ขณะที่นักเตะมวยรองอย่างบัลแกเรียกลับตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเวลาผ่านไป
"พวกฝรั่งเศสเริ่มออกอาการกลัวและประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาเหมือนกับคนที่ท่องอยู่ในใจว่า เดี๋ยวเราโดนยิงแน่
เดี๋ยวเราโดนแน่ถ้าปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ
ในหัวพวกเขาคิดแต่เรื่องการจะเล่นเพื่อผลเสมอแล้ว ณ ตอนนั้น
พวกเขากลัว ไม่กล้ามองไปที่ชัยชนะทั้ง ๆ ที่คุณภาพพวกเขาเหนือกว่า ...
ขณะที่พวกเรานั้นแตกต่าง
เรารู้ดีว่าฝรั่งเศสชุดนี้ไม่สมควรที่จะผ่านเข้ารอบ
เรารอเวลาและเราจะตีก้นพวกเขาให้สุดแรง
ให้พวกเขาเจ็บปวดที่สุดในตอนสุดท้าย" สตอยช์คอฟ จอมทัพของ บัลแกเรีย
กล่าว
มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ฝรั่งเศสออกอาการที่เรียกว่า "ลน"
พวกเขาได้เตะมุมท้ายเกมและไม่กล้าที่จะโยนยาว ชิโนลา
ที่โดนเปลี่ยนลงมาแทน ปาแป็ง พยายามจะเล่นสั้นกับ คันโตน่า แต่เขาพลาด
... บัลแกเรียตัดบอลจังหวะนั้นและวางยาวจังหวะเดียวให้ คอสตาดินอฟ
หลุดเข้าไปยิง
ก่อนที่ดาวยิงคนเดิมจะใช้โอกาสอันแสนคุ้มค่าซัดแสกหน้าเป็นประตูชัยในนาทีที่
90 ส่งให้ชาวฝรั่งเศสช็อกกันทั้งประเทศ
"นอกจากชิโนลาจะเป็นคนก่อระเบิดในแคมป์แล้ว
เขายังเป็นคนเสียบอลลูกนั้น หากไม่มีเขาสักคนเราคงผ่านเข้ารอบไปแล้ว"
อุลลิเยร์ กล่าวย้อนความ และหลังจากนั้นเขาก็โดนไล่ออกจากตำแหน่ง
โดยคนที่มาแทนคือไม้เบื่อไม้เมาของเขาอย่าง เอเม ฌาคเกต์ นั่นเอง
ซ่อมใหม่ อะไรที่เคยพัง
หลังจากฝรั่งเศสพลาดการไปเล่นฟุตบอลโลกปี 1994
พวกเขาก็ต้องรีบลืมความผิดหวังและกลับมาเตรียมตัวสำหรับฟุตบอลโลกปี
1998 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ
สื่อฝรั่งเศสทุกเจ้าเห็นจุดอ่อนของทีมชุด 1994
พวกเขาเจาะลึกถึงเหตุผลมากมาย ยิ่งเวลาผ่านไปข้อมูลก็โผล่มาเยอะขึ้น
บ้างก็บอกว่า อุลลิเยร์ เอานักเตะไม่อยู่ นอกจากนี้ยังบอกว่า ปาแป็ง
เป็นนักเตะที่ไม่มีวินัยเรื่องการรักษาความฟิต ขณะที่ คันโตน่า
ก็ขี้โมโหเกินไปจนสร้างความไม่พอใจให้กับเพื่อนในทีม
สิ่งเหล่านี้ ฌาคเกต์ ที่เป็นกุนซือใหม่รู้และเห็นด้วยตัวเองมาตลอด
เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเพื่อทำงานนี้ ทว่าสื่อในประเทศคิดว่าเขา
"มือไม่ถึง" ... แต่คิดจะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง ฌาคเกต์
เริ่มทำงานของเขาแล้ว โดยงานชิ้นแรกคือการถ่ายเลือดใหม่
และสร้างทีมสปิริตซึ่งเป็นสิ่งที่ฝรั่งเศสไม่เคยมี
จนกระทั่งโดนสื่อในประเทศกระแนะกระแหนว่าเป็นพวกทีมแฟชั่นโชว์
ฌาคเกต์เปลี่ยนนักเตะใหม่และลองผิดลองถูกในช่วงคัดเลือกยูโร 1996
เขาเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่การแต่งตั้งกัปตันทีมใหม่โดยเลือกมดงานผู้มีวินัยอย่าง
เดส์ชองส์ เป็นกัปตันทีม เรียกนักเตะหลายคนที่ไม่เคยติดทีมชาติอย่าง
ฟรองก์ เลอเบิฟ, ลิลิยอง ตูราม, ซาบรี ลามูชี่, ฟาเบียน บาร์กเตซ,
ยูริ จอร์เกฟฟ์ และเหนือสิ่งอื่นใดคือสุดยอดจอมทัพคนใหม่แห่งยุคอย่าง
ซีเนดีน ซีดาน ที่ตอนนั้นเล่นให้กับบอร์กโดซ์
นักเตะกลุ่มที่กล่าวมาคือนักเตะที่ ฌาคเกต์
เลือกแล้วว่าพวกเขามีทัศนคติที่ดี ไม่พังห้องแต่งตัว
และเหนือสิ่งอื่นใดคือความยืดหยุ่นที่จะสามารถเล่นตามแทคติกของเขา
เขาเริ่มให้ความสำคัญกับเกมรับมากขึ้น ขันหลังบ้านให้แน่น
และใช้บอลทะลุทะลวงเป็นอาวุธหลักในการเข้าทำ
แนวคิดดังกล่าวทำให้ทีมมีสมดุลมากขึ้น
ฝรั่งเศสจบรอบแบ่งกลุ่มด้วยการไม่แพ้ใครเลย ขณะที่รอบ 8 ทีมสุดท้ายและ
4 ทีมสุดท้าย พวกเขาไม่เสียประตูให้กับทั้ง เนเธอร์แลนด์ และ เช็ก
เพียงแต่โชคร้ายที่ไปแพ้จุดโทษให้เช็กในรอบตัดเชือก
ซึ่งนั่นก็สร้างความไม่พอใจให้กับสื่ออีกครั้ง
เพราะเชื่อว่าทีมควรจะเล่นเกมรุกมากกว่านี้
อย่างน้อยก็ควรผ่านเช็กไปให้ถึงรอบชิง
ฌาคเกต์ไม่เคยออกมาเถียงกับสื่อมากนัก
แต่คนที่ออกมาโต้แย้งแทนเขาคือกลุ่มนักเตะของเขาที่โดนด่าพอ ๆ กัน
นักเตะทุกคนชื่นชอบความเป็นผู้นำของฌาคเกต์และเชื่อมั่นว่าโค้ชคนนี้คือคนที่ใช่
ตลอดเวลานับตั้งแต่รับงานตั้งแต่ปี 1994 จนฟุตบอลโลก 1998
ฌาคเกต์ลองนักเตะใหม่ ๆ ไปกว่า 40 ราย และ 5
ปีแห่งการหาส่วนผสมที่ดีที่สุดสำหรับฟุตบอลโลกที่บ้านของตัวเอง
เขาก็ได้ 22 นักเตะที่เขาคิดว่าดีที่สุด
แม้สื่อในประเทศจะสงสัยเรื่องที่ทีมให้ความสำคัญกับกองหลังและมีมิดฟิลด์ตัวรับมากเกินไปก็ตาม
การทดลองหานักเตะที่ใช่ทำให้ฌาคเกต์ได้แข้งหน้าใหม่มาอีกเพียบหลังจากยูโร
1996 และคนที่หลุดมาจนถึงฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายก็คือ ปาทริก วิเอร่า,
เธียร์รี่ อองรี, ดาวิด เทรเซเกต์, สเตฟาน กีวาร์ช และ โรแบร์ ปิแรส
... ฌาคเกต์ปกป้องนักเตะทุกคนที่โดนวิจารณ์ในช่วงก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม
มีไม่บ่อยนักที่เขาออกสื่อ
แต่ที่เขายอมทำเช่นนั้นก็เพื่อต้องการลดความกดดันและให้เด็ก ๆ
ของเขาสามารถโฟกัสกับเกมฟุตบอลโลกที่รออยู่ได้โดยไม่ไขว้เขว
โดยเฉพาะในรายของกองหน้าอย่าง กีวาร์ช นั้น เขาซึ้งใจมากกับเรื่องนี้
เพราะเขาเป็นคนที่โดนหนักที่สุด
เนื่องจากเป็นกองหน้าที่สื่อมองว่าช้าและไม่เฉียบขาดพอสำหรับตำแหน่งของหมายเลข
9
"ผลงานของทีมไม่ค่อยดีเลยในช่วงก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม
ผมโดนวิจารณ์เยอะมาก แม้ผมจะไม่ค่อยกล้าอ่านบทความของสื่อ
แต่ก็รู้ดีว่าผู้คนคิดกับทีมของเรายังไง ... มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน
ฌาคเกต์บอกว่าคำวิจารณ์ทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้นเสมอ
พวกเราจะต้องเจอและทำความคุ้นเคยกับความกดดันให้ได้
ฌาคเกต์จัดทีมที่เต็มไปด้วยผู้นำที่เป็นแบบอย่างกับพวกเราหน้าใหม่
การได้เห็นรุ่นพี่อย่าง บลองก์, เดส์ชองส์ และ เดอไซญี่
สงบสติอารมรณ์กับสิ่งรอบตัวและทำงานหนักในสนามฝึกซ้อม มันยอดเยี่ยมมาก
มันทำให้คุณเหลือโฟกัสเพียงแค่สิ่งเดียว
นั่นคือต้องพยายามเป็นให้ได้อย่างพวกเขาด้วยการตั้งใจซ้อมเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกนี้ให้ได้"
กีวาร์ช กล่าว
ขณะที่ บิเซนเต้ ลิซาราซู แบ็กซ้ายของทีมก็ยอมรับว่า ฌาคเกต์
ทำให้นักเตะโฟกัสกับฟุตบอลเพียงอย่างเดียว
เหนือสิ่งอื่นใดคือการวางตัวเป็นผู้ใหญ่ เป็นหัวหน้าที่น่าเคารพ
ทำให้ทุกคนในทีมพร้อมที่จะเชื่อฟังทุกคำสั่งของเขาจากใจจริง
"ฌาคเกต์เริ่มออกมารับแทนพวกเราทั้งหมดในแง่ของคำวิจารณ์
เขาทำมันเพื่อที่จะแน่ใจว่าเราจะมีสมาธิกับสิ่งเดียวคือการแข่งขัน
เขาเป็นคนมีเกียรติอย่างที่สุด
เขาวางเป้าหมายชัดเจนและมีแผนการที่ไม่โลเล
ไม่ว่าจะโดนกระทบกระทั่งจากอะไร เขาจะอยู่บนแผนของเขาเสมอ
พวกเรารวมใจและตั้งใจกันซ้อมที่ศูนย์ฝึกแกลร์ฟ็องแต็งที่ห่างไกลจากทุกสิ่ง
เราถูกฝึกให้ปล่อยวางไม่สนใจโลกภายนอก
และยิ่งเวลาผ่านไปเราก็รู้ดีว่าการแข่งขันครั้งนี้พวกเรามีโอกาสจะไปถึงจุดสูงสุดจริง"
แบ็กจอมบุกกล่าว
เล่นทัวร์นาเมนต์ให้เป็น
ทัวร์นาเมนต์ ฟรองซ์ 98 เริ่มขึ้น
ฝรั่งเศสชุดนี้มาด้วยความสมบูรณ์ที่สุดในแง่ของภาพรวม
พวกเขามีนักเตะที่เข้าใจวิธีการ
มีกองหลังที่หนาแน่นในแบบที่จำเป็นสำหรับการแข่งทัวร์นาเมนต์
มีมดงานในแดนกลางที่ผลัดเปลี่ยนกันลงสนามได้ตลอดทัวร์นาเมนต์ทั้ง
วิเอร่า, คริสติยอง การอมเบอ, เปอตีต์, แบร์กนาร์ ดิโอเมต และ อแล็ง
โบโกซิยง
นักเตะกลุ่มนี้ถูกเลือกมาเพื่อเป็นกำแพงชั้นแรกก่อนบอลจะถึงกองหลัง
ขณะที่เกมรุก ซีดาน คือพระเอกของงาน
เขาเป็นนักเตะที่สามารถบันดาลความมหัศจรรย์ได้ในจังหวะเดียว
โดยตัวรุกอื่น ๆ
แม้จะไม่ใช่ตัวทีเด็ดแต่ทุกคนก็มีหน้าที่ที่ชัดเจนในแบบของตัวเอง
อองรี และ ปิแรส คอยเล่นเกมสวนกลับและยืนริมเส้น
ใช้ความเร็วในเกมที่ต้องดวล 1-1, กีวาร์ช เป็นตัวเก็บบอล วิ่งทำทาง
และเปิดโอกาสการทำประตูให้กับทีม ขณะที่ จอร์เกฟฟ์ และ คริสตอฟ
ดูการ์รี่ จะเป็นตัวสอดแทรกเข้ามาเล่นในกรอบเขตโทษ
จะเห็นได้ว่าฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับแนวรับมากกว่าที่พวกเขาเคยทำมาตลอด
20 ปีหลัง ขณะที่เกมรุกว่ากันตามตรง นอกจากซีดานแล้ว
ไม่มีนักเตะคนไหนที่เรียกว่า "ท็อปคลาส" ได้เต็มปากเลย ณ ตอนนั้น
แต่เรื่องแบบนี้มันอยู่ในแผนการที่เตรียมมา ฝรั่งเศสเก็บ 9
แต้มเต็มในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเสียเพียงแค่ประตูเดียวให้ เดนมาร์ก ..
และยิงได้ถึง 9 ลูก
สำหรับทีมที่ถูกวิจารณ์ว่าเกมรุกน้อยเกินไปนี่คือสกอร์ที่ทำให้เสียงด่าเริ่มกลับมาเป็นเสียงชม
แม้แต่นักเตะอย่าง กีวาร์ช ที่ยิงประตูไม่ได้ทั้ง ๆ
ที่เป็นกองหน้าตัวเป้าก็กลายเป็นคนสำคัญในการขึ้นเกมรุกของทีมอย่างแท้จริง
แม้ในรอบแบ่งกลุ่ม ซีดาน จะโดนใบแดงในเกมกับ ซาอุดีอาระเบีย
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ฝรั่งเศส ใช้เกมรับเป็นตัวนำทาง
และใช้เกมรุกเป็นอาวุธลับ เมื่อมีโอกาสพวกเขามักยิงประตูได้
สิ่งเหล่านี้ ปิแรส ให้สัมภาษณ์หลังจบทัวร์นาเมนต์ว่า
มันเกิดจากการซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนกระทั่งทุกคนมาเข้าฝักเอาในตอนสถานการณ์จริงพอดี
ทุกคนจำหน้าที่ของตัวเองได้ พวกเขาก็แค่ทำเหมือนที่ซ้อม
ส่วนเรื่องโชคชะตานั้น ปิแรส ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพูดเพียงว่า
"มันเกี่ยวแค่เล็กน้อย" เพราะมันมาจากการทำงานหนักอย่างมีแบบแผนมาตลอด
5 ปีก่อนหน้านี้
ในฟุตบอลโลกรอบนั้น มีเพียง เดนมาร์ก และ โครเอเชีย
เท่านั้นที่เจาะประตูของฝรั่งเศสได้
ส่วนเกมรุกพวกเขามีนักเตะที่ยิงประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ได้ถึง 9 คน
โดยมีเพียง อองรี คนเดียวที่ยิงได้ 3 ประตู
ที่เหลือเป็นหน้าที่ของคนอื่น ๆ แม้กระทั่งกองหลังอย่าง ตูราม,
ลิซาราซู และ บลองก์
ยังมีประตูจากการสอดเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษเลยด้วยซ้ำ
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีทีมเวิร์กที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
เรื่องราวที่ ฌาคเกต์ เปิดเผยภายหลัง
คือทีมชุดนั้นเป็นทีมที่เขาแทบไม่ต้องสอนอะไรในช่วงพักครึ่งเลย
เขาปล่อยให้กลุ่มผู้นำอย่าง เดส์ชองส์ และ บลองก์ จัดการได้
ยกเว้นเกมเดียวกับ โครเอเชีย ในรอบ 4
ทีมสุดท้ายที่เขาต้องแทรกแทรงเพราะนักเตะในทีมสติเริ่มหลุด ขาดสมาธิ
จนเกิดเป็นความประมาท โดยเฉพาะ ตูราม
ที่เป็นคนพลาดทำให้ทีมเสียประตูนั้นเกิดอาการเสียขวัญ
ซึ่งการแทรกแซงนั้นเขาไม่ได้บอกว่าเขากระตุ้นอย่างไร
แต่ใบ้เพียงว่าเขาใช้คำที่ดุดันและรุนแรงมาก ๆ
เพราะนั่นคือก้าวสุดท้ายก่อนถึงนัดชิงแชมป์โลกแล้ว
"โครเอเชียเป็นทีมที่ดีมากจริง ๆ มีจิตใจแข็งแกร่ง มุ่งมั่น เทคนิคดี
ร่างกายยอดเยี่ยม พวกเขาเล่นงานเราจนเราเป็นทีมที่แย่มากในครึ่งแรก
ผมเลยต้องออกโรง ผมจวกพวกเขาไปชุดใหญ่
และหลังจากกลับมาลงสนามเราก็ได้ประตู
จังหวะนั้นผมหันไปหาผู้ช่วยของผมแล้วบอกว่า 'สงสัยจะจัดหนักไปหน่อย'
แต่มันไม่สำคัญอะไรหรอก
คำพูดทำให้คุณสั่นคลอนได้ก็ทำให้คุณตื่นได้เหมือนกัน
ช่วงครึ่งหลังฝรั่งเศสตื่นขึ้นและกลายเป็นทีมที่มหัศจรรย์อีกครั้ง"
ฌาคเกต์ กล่าว
ความมั่นใจและแผนการที่เตรียมพร้อมสำหรับการรับมือทุกสถานการณ์คือปัจจัยหลักของทีมชุดนี้อย่างแท้จริง
แม้กระทั่งในนัดชิงชนะเลิศกับเต็ง 1 อย่าง บราซิล
ฝรั่งเศสที่เป็นรองเรื่องเทคนิคก็เอาชนะด้วยวิธีการ พวกเขาได้ 2
ประตูจากลูกเซ็ตพีช และอีก 1 ลูกจากการสวนกลับที่ตัวรับอย่าง เปอตีต์
หลุดเดี่ยวเข้าไปยิง
ฝรั่งเศสชุดนั้นเป็นชุดที่จะถูกประกบแมนมาร์กไม่ได้เลย
เพราะพวกเขามีวิธีการเข้าทำที่หลากหลายและรวดเร็วที่แค่ไม่กี่จังหวะก็เปลี่ยนเป็นประตูได้
"พวกเราไม่กลัวใครแม้กระทั่งบราซิล เราเดินทางไปยัง สตาด เดอ ฟรองซ์
(สังเวียนนัดชิง) ด้วยความมั่นใจ แม้ผมจะได้ยินข่าวว่า โรนัลโด้
มีอาการป่วยและอาจจะไม่ได้ลงเล่น
แต่ผมเรียนตามตรงว่าต่อให้เขาจะลงหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน
เรามีแผนของเราที่ซ้อมมาเพื่อเกมแบบนี้โดยเฉพาะ เรารู้สึกพร้อม
เข้มแข็ง และกล้าหาญมากพอที่จะเจอกับอะไรก็ได้ที่เกิดขึ้น" ปิแรส
กล่าว
ฌาคเกต์เองก็พูดถึงการเดินลงสนามนัดชิงว่าทีมของเขาปลุกใจกันให้ช่วยกันวิ่งช่วยกันไล่
ห้ามใจลอยหรือสติหลุดเหมือนกับเกมที่พบกับโครเอเชียเด็ดขาด
และนักเตะก็ตอบสนองเขา ฝรั่งเศสจับตายตัวรุกของบราซิล
ปลิดชีพด้วยลูกตั้งเตะ และปิดเกมด้วยเกมรับในแบบที่เล่นด้วยกันทั้ง 11
คน
"เรารู้ดีถึงวิธีการเล่น
หลายสิ่งที่เราเตรียมไว้ถูกจัดวางอย่างเรียบง่าย
เราพยายามทำให้พวกเขาอยู่ไกลประตูของเราที่สุด
พวกเขาสร้างความยากลำบากให้เราได้
แต่เราก็รอดมาได้เพราะการมีอยู่ของกันและกัน
ทุกคนจะต้องช่วยกันเล่นเกมรับ และนั่นนำมาสู่ชัยชนะที่แข็งแกร่ง
คุณต้องเล่นให้ได้ตามมาตรฐานของคำว่าเพอร์เฟ็กต์หากคิดจะคว่ำทีมอย่างบราซิล"
ฌาคเกต์ กล่าวทิ้งทาย
การเปลี่ยนแปลงภายในเวลา 5 ปี หากให้สรุปความคือ ฌาคเกต์
ทำลายอีโก้ของทีมชุดปี 1993 ออกจนสิ้น
เขาเลือกนักเตะที่ถูกต้องและตอบโจทย์กับแทคติกบอลทัวร์นาเมนต์
สร้างนักเตะให้อยู่กับสมาธิ มีความมั่นใจในการเล่น
และท้ายที่สุดฝรั่งเศสก็คว้าแชมป์โลกสมัยแรกที่รอคอย
ก่อนจะต่อยอดไปถึงยูโร 2000 อย่างยิ่งใหญ่โดย โรเช เลอแมร์
นี่คือเรื่องราวของยอดคนผู้ยืนรับเสียงวิจารณ์ตลอด 5 ปี
เพื่อผลลัพธ์ที่หอมหวานที่สุด
ที่ทำให้เขาและลูกทีมทุกคนในชุดนั้นคือตำนานอย่างแท้จริง
คุณกำลังดู: 25 ปี ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์
หมวดหมู่: ฟุตบอลต่างประเทศ