แจก 5 เส้นทางเที่ยวไทยฉบับโลว์คาร์บอน พร้อมที่พัก CF-Hotels ที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน
แจกลิสต์ 5 เส้นทางเที่ยวไทยฉบับโลว์คาร์บอน พร้อมที่พักสมาชิกในโครงการ CF-Hotels ซึ่งใส่ใจเรื่องความยั่งยืนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
Focus
- CF-Hotels คล้ายกับการเข้าโปรแกรมตรวจสุขภาพ มีช่องให้กรอกและตรวจวัดเป็นรายการๆ ซึ่งผู้ประกอบการโรงแรมทั่วไปสามารถทำความเข้าใจได้เองและลงมือทำได้เอง
- เทรนด์ “รักษ์โลก” ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเหตุผลของการเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวรวมทั้งที่พัก เช่นเดียวกับที่พักและแหล่งท่องเที่ยวทั่วไทยที่เราขอแจกพิกัดครบ 5 ภูมิภาค
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ “รักษ์โลก” ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเหตุผลของการเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวรวมทั้งที่พัก ยิ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงขึ้น ก็ยิ่งบอกเป็นนัยว่าการดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่จะรอช้าไม่ได้ และสำหรับนักเดินทางสายกรีนที่กำลังมองหาที่เที่ยว ที่พัก ที่ใส่ใจต่อโลกและสิ่งแวดล้อม Sarakadee Lite ขอแจกลิสต์ 5 เส้นทางเที่ยวไทยฉบับโลว์คาร์บอน พร้อมที่พักสมาชิกในโครงการ CF-Hotels ซึ่งใส่ใจเรื่องความยั่งยืนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การันตีความเที่ยวสนุก พักสบาย แถมยังจัดเต็มเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้น สายกรีนเซฟลิสต์และเก็บกระเป๋าออกเดินทางได้เลย
01 เอนกายใน Eco Hotel แล้วออกไปลิ้มรสอาหารถิ่นตะวันออก
ภาคตะวันออกโดยเฉพาะ “จันทบุรี” นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองแห่งอาหารที่นักชิมต้องปักหมุดไปให้ได้สักครั้ง จุดเด่นของรสจันท์นั้นโดดเด่นด้วยเรื่องวัตถุดิบที่บรรจบกันระหว่างผืนป่า ไร่สวน และท้องทะเล ทำให้เมืองนี้มีความหลากหลายของวัตถุดิบที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลสดใหม่ ผลไม้เมืองร้อนอย่างสละ ระกำ ทุเรียน หรือวัตถุดิบติดก้นครัวอย่าง เคยตาดำ ไปจนถึงพืชสมุนไพรอย่างขิงแฮ่ง เร่วหอม ใบชะมวง กระวาน พริกไทย ทั้งหมดทำให้ “รสจันท์” มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่แตกต่างจากเมืองอื่นในภาคตะวันออก
Stay : ก่อนจะไปตะลุยกินที่จันทบุรี เราขอพาไปเช็กอินในที่พักรักษ์โลกที่กำลังฮอตฮิตเป็นอย่างมากนั่นก็คือ The Motifs Eco Hotel โรงแรมน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดได้ 3 ปี ทว่าใส่รายละเอียดเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมแบบจัดเต็มตั้งแต่แรกสร้าง ซึ่งมาจากไลฟ์สไตล์ของผู้ร่วมก่อตั้ง “ไอยรีลดา จิรโชคชยานันทร์” ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวสายอีโค ชอบเดินป่า ออกไปใช้ชีวิตเรียนรู้ธรรมชาติ ต่อเมื่อมีโอกาสได้เปิดโรงแรมที่พัก เธอจึงไม่ลังเลที่จะใส่เรื่องความยั่งยืนเป็นหนึ่งในส่วนผสมของความผ่อนคลาย
“โจทย์คืออยากได้โรงแรมที่มีรูป รส กลิ่น เสียง
ที่เป็นอาคารประหยัดพลังงาน
แต่ก็สามารถผสานกับไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางได้ด้วย
การออกแบบจึงวางแผนตั้งแต่กายภาพตัวอาคาร อากาศถ่ายเท ระบายกลิ่น
ตัวตึกใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติได้เต็มที่ทั้งเช้า กลางวัน บ่าย
มีกรีนวิวให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย
ส่วนในห้องพักก็ไม่มีการใช้ขวดพลาสติก
สิ่งของเครื่องใช้เน้นย่อยสลายได้ ซึ่งนอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อม
เรื่องชุมชนก็เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ
เพราะเราเป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้ชุมชนริมน้ำจันทบูร
แรงบันดาลใจในงานดีไซน์จึงมาจากบรรยากาศของชุมชนริมน้ำเก่าแก่แห่งนี้”
นอกจากการออกแบบโครงสร้างที่ลดการใช้พลังแล้ว
ทางโรงแรมยังใส่รายละเอียดไปถึงการจัดซื้อที่เลือกสินค้าจากชุมชนในระยะไม่เกิน
30 กิโลเมตรจากโรงแรมเป็นหลักเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่ง
พร้อมสนับสนุนแบรนด์ไทย สินค้าไทยภายในประเทศ
รวมทั้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเพื่อลดการใช้เคมี เช่น sleeper
จากชุมชนบางสระเก้า หมอนจากชุมชนหัตถกรรมในภาคเหนือและอีสาน
กลิ่นเฉพาะของโรงแรมออกแบบโดยแบรนด์ไทยภูตะวัน
ที่สำคัญทางโรงแรมยังหมุนเวียนเสิร์ฟเมนูซิกเนเจอร์ประจำชุมชนต่างๆ
ในจันทบุรี
เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าได้ออกเดินทางไปลิ้มรสในสถานที่จริง
และความยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการจัดการขยะหลังบ้าน ซึ่งทาง The Motifs Eco Hotel มีการชั่งขยะอินทรีย์ เก็บข้อมูลในทุกวันเพื่อวางแผนให้เกิดปริมาณขยะอินทรีย์ให้น้อยที่สุด ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง 1-2 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น พร้อมการแยกขยะพลาสติกอื่นๆ สำหรับนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป เรียกว่ามาเช็กอินปุ๊บก็ได้ดูแลสิ่งแวดล้อมในทันที
Don’t Miss : มาถึงจันทบุรีแล้วต้องได้ลิ้มรส “รสจันท์” ที่ชูวัตถุดิบตามฤดูกาลประจำถิ่น เริ่มต้นที่ ชุมชนริมน้ำจันทบูร ชุมชนเก่าแก่ที่ตั้งขนานริมน้ำจันทบุรีและไม่ไกลจากตลาดค้าพลอย ไฮไลต์ของชุมชนไม่ใช่แค่เพียงอาคารยุโรปโคโลเนียลเก่าแก่กว่า 100 ปี สลับกับห้องแถวไม้เท่านั้น แต่ตลอดสองข้างทางยังมีอาหารถิ่นร้านดั้งเดิมให้ได้เลือกกินตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ว่าจะเป็น ขนมไข่ ไอศกรีมโบราณตราจรวด ปลาหวานย่าง กุ้งต้มหวาน ข้าวตังโบราณที่ทำร้อนๆ ในกระทะให้ได้เห็น เลยมาไม่ไกลคือ ตลาด 100 ปี เป็นตลาดเล็กๆ ตั้งอยู่ด้านหลังโบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมลที่เป็นแลนด์มาร์กจังหวัด ตลาดแห่งนี้จะเปิดเฉพาะเช้าตรู่ในวันเสาร์-อาทิตย์ ทว่าอัดแน่นด้วยเมนูพื้นถิ่นจันท์โดยเฉพาะเมนูซีฟู้ดและขนมไทยโบราณหากินยาก เช่น ขนมโบ๋ ข้าวเกรียบทรงเครื่องหน้ามะพร้าว ขนมดอกแค หรือเส้นจันท์ผัดปูก็มีให้ลิ้มรสเช่นกัน
สำหรับสายกินตัวจริง ถ้ามาเที่ยวจันทบุรีและไม่ได้เช็กอินที่ ชุมชนขนมแปลก ถือว่ายังมาไม่ถึง เพราะที่นี่เป็นทั้งชุมชนเก่าแก่และตลาดอาหารที่รวมอาหารถิ่นเมืองจันท์ทั้งคาว หวาน ครบจบในแห่งเดียว ในด้านประวัติศาสตร์ชุมชนก็น่าสนใจตรงที่มีโรงงานหีบอ้อยเก่าแก่ซึ่งเป็นจุดกำเนิดความหอมหวานของอาหารและขนมในจันทบุรีตั้งอยู่ด้วย ส่วนซิกเนเจอร์เมนูประจำชุมชนขนมแปลกก็มีชื่อแปลกสมชื่อ ได้แก่ ขนมควยลิง, ขนมติดคอ, ขนมตังก๊วย, น้ำเยี่ยววัว ส่วนเมนูพื้นถิ่นห้ามพลาดก็ต้องเป็นหอยพอกตัวใหญ่ย่างร้อนๆ ปิดท้ายด้วย ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง หอมเครื่องเทศสมุนไพรเอกลักษณ์เฉพาะจันทบุรี ก่อนจะไปปิดท้ายด้วยสวนทุเรียนอินทรีย์ ปัถวีโมเดล ที่ขอเป็นอีกกระบอกเสียงลุกขึ้นมายืนยันว่าไม่ต้องใช้สารเคมีก็สามารถปลูกทุเรียนคุณภาพดีหวานหอมได้
02 ผจญภัยในป่าฝนภาคกลางของไทย
“เคยเห็นหมอกมีชีวิตไหม” ถ้าใครยังไม่เคย เราขอท้าให้มาพิสูจน์ที่ กาญจนบุรี ดินแดนแห่งการผจญภัยในผืนป่าภาคกลางสุดเขตประเทศไทยที่สวยงามและเขียวฉ่ำในฤดูฝน ที่กาญจนบุรีนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากธรรมชาติกว้างใหญ่ พร้อมหมอกฝนที่ลื่นไหลหยอกล้อกับผืนป่า สามารถเลือกระดับความท้าทายได้ตามกำลังขาของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเทรกกิ้งระยะสั้นในเส้นทางประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ชุ่มฉ่ำกับน้ำตกนับสิบแห่ง โปรแกรมล่องแพชิลๆ หรือถ้าจะอยากท้าทายความสามารถ ที่สุดของการผจญภัยที่รวมทั้งล่องแพ เดินป่า ค้นพบความมหัศจรรย์ของถ้ำขนาดใหญ่ก็มีให้เลือกเช่นกัน
Stay : มือใหม่หัดเป็นนักผจญภัย The Legacy River Kwai Resort คือที่พักรักษ์โลกที่เราอยากแนะนำ ด้วยบรรยากาศที่มีให้เลือกทั้งห้องพักแบบท่อนซุงแต่งด้วยปีกไม้กับแคมป์ปิ้งท่ามกลางธรรมชาติในสวนเขียวกว่า 300 ไร่ริมแม่น้ำแคว จุดเด่นของที่นี่คือ การจัดเต็มเรื่องกิจกรรม ทั้งฟาร์มทัวร์เรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ ไปจนถึงเรียนรู้วิถีช้าง พายซับ ล่องแพไม้ไผ่ หรือใครที่สนใจฟังเสียงธรรมชาติด้วยการอาบป่า ที่นี่ก็มีให้เลือกเช่นกัน
อีกหนึ่งโรงแรมสมาชิก CF-Hotels ที่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ได้แก่ โรงแรมมิตรพันธ์ กาญจนบุรี ที่นี่นอกจากจะชูจุดเด่นเรื่องความกว้างขวางสะดวกสบายของห้องพัก และพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้กว่า 17 สายพันธุ์ให้ได้ผ่อนคลายบนเนื้อที่รวม 30 ไร่แล้วทางโรงแรมยังขอลดการใช้พลังงานด้วยการเปลี่ยนมาใช้โซลาร์เซลล์ พร้อมลดการใช้พลาสติกครั้งเดียวทิ้งด้วยการเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์แบบหมุนเวียนหรือบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ โดยมีปลายทางคือการเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวยั่งยืน
Don’t Miss : ใครที่ชอบผจญภัยกลางผืนป่า กาญจนบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น อุทยานแห่งชาติ น้ำตก ถ้ำ แม่น้ำ ให้ได้เลือกท่องเที่ยวหลากหลายระดับความท้าทาย และถ้าจะเก็บลิสต์ให้ครบจริงๆ บอกเลยว่าหนึ่งเดือนก็เที่ยวเมืองกาญฯ ไม่หมด สำหรับไฮไลต์ห้ามพลาด แน่นอนว่าเมื่อนึกถึงเมืองกาญฯ ภาพจำ คือ กิจกรรมล่องแพ แต่เดี๋ยวนี้แพเมืองกาญฯ เปลี่ยนไป จากแพติดเครื่องยนต์ ก็เริ่มมี แพไม้ไผ่ แพยาง ซับบอร์ด คายัก ให้บริการ ส่วนเส้นทางเดินป่านั้นนอกจากเส้นทางประจำอุทยานแล้ว ยังมีเส้นทาง ช่องเขาขาด เป็นไฮไลต์ที่เชื่อมระหว่างเส้นทางเดินธรรมชาติและเรื่องราวประวัติศาสตร์เข้าด้วยกัน แต่ก่อนที่จะเดินเท้าตามหาช่องเขาขาด เราแนะนำให้แวะส่วนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ด้านหน้าเสียก่อน จากนั้นค่อยออกเดินทางตามรางรถไฟเก่าและเรื่องเล่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเราขอยกให้ที่นี่เป็นเส้นทางเดินประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของไทย
ขยับเข้าใกล้ธรรมชาติอีกนิดกับการกางเต็นท์ตามล่าทางช้างเผือกที่ อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ที่นี่นอกจากจะมีน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น 7 ชั้นที่สวยติดท็อปของประเทศแล้ว ยังมีลานกางเต็นท์กลางผืนป่าที่ไม่มีแสงไฟจากเมืองมารบกวนจนทำให้สามารถเก็บภาพความสว่างไสวของดวงดาวได้เต็มฟ้า หรือถ้าอยากจะเที่ยวแบบวันเดย์ทริปเน้นสโลว์ทราเวลยังมีทริปรถไฟถ้ำกระแซไปถึงน้ำตกไทรโยคน้อย หรือจะเลือกที่เที่ยว iconic อย่างน้ำตกไทรโยคใหญ่ และอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ก็ยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติไว้ได้อย่างครบถ้วน
หรือใครตามหาความเอ็กซ์ตรีมขั้นสุด เส้นทางการผจญภัยที่กำลังมาแรงในตอนนี้คือ ลำคลองงู ครบรสตั้งแต่เดินป่า ปีนป่าย ลอยคอ กระโดดน้ำตก ท่ามกลางบรรยากาศของป่าดิบชื้นและสายน้ำเย็นฉ่ำที่ไหลลอดโถงถ้ำซึ่งต้องใช้เวลาถึง 2 วันถึงจะเที่ยวได้ครบ และอีกเส้นทางน้องใหม่ที่ต้องปักหมุดคือ ชุมชนบ้านช่องสะเดา ชุมชนท่องเที่ยวที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของชาวชุมชนที่ต้องการพลิกฟื้นผืนป่าชุมชนที่เคยเสื่อมโทรม ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 6 ปี ดังนั้นการมาเที่ยวชุมชนช่องสะเดาจึงไม่ใช่แค่การเรียนรู้วิถีชีวิต แต่ยังเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจในการดูแลรักษาธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วว่าคนธรรมดาคนหนึ่งก็สามารถทำได้
03 เช็กอินกลิ่นอายล้านนา แล้วออกไปเรียนรู้วิถีธรรมชาติ
เชียงใหม่ ยังคงยืนหนึ่งในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของภาคเหนือที่ครบรสทั้งเรื่องความสมบูรณ์ของธรรมชาติป่าต้นน้ำที่สำคัญของไทย และวัฒนธรรมล้านนาที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะและยังคงได้รับการสืบสานจากรุ่นสู่รุ่น เสน่ห์ของเชียงใหม่ คือ การผสมผสานความเป็นเมือง วัฒนธรรม และธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสามารถสัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่น วัฒนธรรมล้านนา ไลฟ์สไตล์ความเป็นเมือง เส้นทางอาหาร แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถตื่นมาพบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้ในทันที
Stay : ข้อดีของโรงแรมในเชียงใหม่คือการมีที่พักให้เลือกหลากไลฟ์สไตล์และหลายราคา สำหรับโรงแรมสมาชิก CF-Hotels ที่เราชวนไปปักหมุดเริ่มจาก IMM Hotel Tha Pae โรงแรมซิตี้โฮเทลที่จริงจังในนโยบายการลดใช้พลังงานและลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง เช่น การใช้น้ำประปา การใช้ไฟฟ้า กระดาษ น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซหุงต้ม รวมทั้งชวนลูกค้าให้ออกไปปั่นจักรยานทัวร์แบบโลว์คาร์บอนกับทีม Co Van Kessel ที่จะพาซอกแซกย่านช้างคลานอย่างคนท้องถิ่น
ต่อด้วย dusitD2 Chiang Mai ที่นอกจากเรื่องความผ่อนคลายแล้วก็ยังเน้นย้ำเรื่องการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบออร์แกนิกจากชุมชนในเชียงใหม่ พร้อมด้วยการแยกขยะและส่งต่อไปสู่กระบวนการรีไซเคิล เพิ่มเติมด้วยโปรแกรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เรียนรู้เรื่องช้างที่แม่แตง ปางช้างที่เลี้ยงอย่างอิสระ เยือนหมู่บ้านออนใต้ที่เด่นเรื่องการทอผ้าโดยใช้สีธรรมชาติ และดื่มด่ำธรรมชาติที่บ้านโป่งงาน เป็นต้น
อีกโรงแรมที่มีทั้งสายวัฒนธรรมพลัสด้วยสิ่งแวดล้อม ห้ามพลาดเช็กอิน RatiLanna Riverside Spa Resort โดดเด่นด้วยการนำสถาปัตยกรรมแบบล้านนาดั้งเดิมมาเป็นต้นแบบในการออกแบบอาคารประหยัดพลังงานเน้นความโปร่ง โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก เปิดรับแสงธรรมชาติ ทั้งยังวางพื้นที่สีเขียวเสริมความฉ่ำเย็นที่พัดพามาจากแม่ปิง นอกจากนี้ในห้องพักยังลดการใช้พลาสติกจนเป็นศูนย์ พร้อมจัดถังแยกขยะอย่างชัดเจนเพื่อให้แขกได้มีส่วนร่วมในการรักษ์โลกทันทีที่เข้าพัก ไม่เพียงเท่านั้นทางโรงแรมยังส่งเสริมหัตถกรรมชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเลือกใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลจากชุมชนในเชียงใหม่เป็นหลัก ที่สำคัญยังไม่ลืมที่จะใส่วัฒนธรรมล้านนาเข้าไปทุกรายละเอียดของการเข้าเช็กอินอีกด้วย
Don’t Miss : เชียงใหม่มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติ และยอดดอยให้ได้เลือกเที่ยวหลากหลายมาก แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามี 2 เส้นทางที่ไม่ใช่แค่เส้นทางเดินป่าเรียกเหงื่อ ทว่ายังใส่ความเข้าใจในธรรมชาติ ความสำคัญของระบบนิเวศและชุมชนไว้อย่างละเอียด จนกลายเป็นคลาสเรียนเรื่องสิ่งแวดล้อมที่สนุกมาก เริ่มต้นด้วย เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ป่าโบราณในม่านเมฆหนึ่งเดียวในไทยที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังหลงเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์จริงๆ โดย เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาถือได้ว่าเป็นปลายทางของเทือกเขาหิมาลัยที่ย้อนอายุไปได้ราว 4,300 ปี มีลักษณะเป็นป่าพรุภูเขาที่หนาวเย็นตลอดปีจนต้นไม้ต้องถูกห่มคลุมด้วยมอสส์ เฟิร์น
ต้นไม้เด่นของที่นี่คือ ข้าวตอกฤๅษี ฮีโรที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับระบบนิเวศป่าพรุพิเศษ ไม่เพียงเท่านั้นตัวเส้นทางยังเดินง่าย มีป้ายความรู้ด้านระบบนิเวศเป็นไกด์ตลอดเส้นทาง ที่สำคัญกระบวนการออกแบบสร้างทางเดินศึกษาธรรมชาติยังคำนึงถึงระบบนิเวศพิเศษของป่าพรุภูเขา เป็นการทำงานระหว่างนักออกแบบและนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้ทางเดินศึกษาธรรมชาติส่งผลกระทบต่อรากไม้และแหล่งน้ำในป่าพรุภูเขาในพิกัดพิเศษบนยอดดอยที่สูงที่สุดในไทย
อีกเส้นทางสีเขียวที่นักท่องเที่ยวสายกรีนต้องไปให้ได้สักครั้งคือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติผาดอกเสี้ยว ที่นี่แตกต่างจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นอื่นตรงที่นำภูมิปัญญาการดูแลผืนป่าของชุมชนชาวปกาเกอะญอซึ่งอยู่อาศัยร่วมกับผืนป่าแห่งนี้มาช้านานผสมผสานอยู่ในเส้นทางเดินป่า โดยนักท่องเที่ยวทุกคนที่จะเดินทางเข้าไปต้องมีไกด์ชุมชนนำทาง ระหว่างทางก็จะมีการสื่อสารความหมายด้านสิ่งแวดล้อมจากทั้งชาวชุมชนและป้ายความรู้อยู่ในจุดสำคัญ ไฮไลต์คือน้ำตกผาดอกเสี้ยวที่มีการสร้างสะพานจากสถาปัตยกรรมปกาเกอะญอดั้งเดิมซึ่งใช้ไม้ไผ่ในชุมชน การผูกเงื่อน และการเข้าสลักไม้โดยไม่ต้องใช้ตะปูแต่อย่างใด ปลายทางของเส้นทางธรรมชาติแห่งนี้คือนาข้าวขั้นบันได ต้นกาแฟอินทรีย์ในผืนป่า และชุมชนชาวปกาเกอะญอที่ใส่ใจเรื่องการดูแลป่าและนำเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวิถีวัฒนธรรมมาช้านาน
04 เที่ยวพังงาฉบับกรีนซีซั่น
พังงา เมืองชายทะเลที่ไม่ได้มีดีแค่หาดทราย เกาะแก่ง และโลกใต้ทะเล พังงายังมีความเขียวฉ่ำใจของผืนป่าเขตศูนย์สูตรที่ตัดกับเฉดสีฟ้าครามของทะเลได้อย่างลงตัว และครั้งนี้เราจะพาไปท่องเที่ยวพังงาในบรรยากาศของกรีนซีซั่นที่มีทั้งความชุ่มฉ่ำใจและห้องเรียนธรรมชาติ เชื่อมโยงจากชายฝั่งสู่ชายหาดที่เกาะยาวน้อย เกาะเล็กๆ กลางทะเลอันดามันที่ติดลิสต์จุดหมายปลายทางสายรักษ์โลก ครบทั้งจังหวะความเนิบช้าของการท่องเที่ยว วิถีชีวิตท้องถิ่นที่ยังคงได้รับการสืบสาน ความชุ่มฉ่ำของผืนป่า นาข้าวกลางเกาะ และการดูแลสิ่งแวดล้อมให้สมบูรณ์คู่เกาะยาวน้อยต่อไป
Stay : นอกจากการเลือกพักแบบโฮมสเตย์แล้ว เกาะยาวน้อยยังมีรีสอร์ตในแบบลักชัวรีขึ้นมา ทว่ายังสามารถกลมกลืนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างแนบเนียน นั่นก็คือ Paradise Koh Yao Resort และ Tree House Villa Koh Yao โดยในส่วนของ Paradise Koh Yao Resort ตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะ มีทั้งแบบพูลวิลลาและสตูดิโอให้ได้เลือก ด้วยความที่รีสอร์ตซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผืนป่าสีเขียว การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน โดยเฉพาะการดูแลนกเงือกซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของธรรมชาติที่สำคัญของเกาะยาวน้อย ทางรีสอร์ตจึงได้จัดตั้งโปรเจกต์ Hornbills watch หรือ สายตรวจนกเงือก ที่จะคอยวางแผนสื่อสารกับลูกค้าในการดูแลนกเงือก ซึ่งจะบินมาทักทายเป็นประจำที่หน้าห้องพัก นอกจากนี้ยังจริงจังในเรื่องจัดการขยะ ลดใช้พลาสติกเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อนกเงือก สิ่งแวดล้อมทั้งชายฝั่งและใต้ทะเล ไปจนถึงวิถีดั้งเดิมของชาวชุมชนเกาะยาวน้อย
สำหรับ Tree House Villa Koh Yao โดดเด่นด้วยการออกแบบพูลวิลลาในลักษณะของบ้านต้นไม้ เน้นวัสดุจากไม้และธรรมชาติเป็นหลัก อีกไฮไลต์คือ Koh Yao Culinary นำเสนอวัตถุดิบสดใหม่จากชุมชนประมงในเกาะยาวน้อย ทั้งยังลดการขนส่งที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอน ที่ขาดไม่ได้คือโปรแกรมทัวร์ที่จะพาไปรู้จักชุมชนเกาะยาวน้อยให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติตามรอยต้นตะเคียนยักษ์ หรือจะเป็นจักรยานเสือภูเขาสำรวจเกาะแบบโลว์คาร์บอนก็มีให้บริการเช่นกัน
Don’t Miss : นอกจากการล่องเรือดำน้ำตามเกาะแก่งต่างๆ แล้ว ไฮไลต์ท่องเที่ยวเกาะยาวน้อยที่แท้จริงคือการได้ออกไปสัมผัสวิถีชุมชนที่ยังคงเอื้ออาศัยอยู่กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทุ่งนาอินทรีย์กลางเกาะยาวน้อยที่ปลูกแบบปลอดสารเคมีมาตั้งแต่บรรพบุรุษและปัจจุบันก็ยังคงใช้ควายในการไถนา ออกไปล่องเรือชมการเลี้ยงปลาในกระชังที่เป็นเหมือนธนาคารปลาธรรมชาติของชาวประมงท้องถิ่น เวิร์กช็อปการทำผ้าบาติกสนับสนุนสินค้าชุมชน ไปจนถึงรู้จักนกเงือกที่อนุรักษ์โดยชมรมอนุรักษ์นกเงือกประจำเกาะยาว
ออกจากเกาะยาวมุ่งสู่ฝั่งจังหวัดพังงา นอกจากการเล่นเซิร์ฟที่เป็นกิจกรรมโลว์คาร์บอนที่กำลังได้รับความนิยมแล้ว พังงายังมีกิจกรรมสายกรีนที่ทั้งชุ่มฉ่ำและโลว์คาร์บอนให้เลือกอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำพุงช้าง Unseen พังงาที่ตั้งลึกลงไปใจกลางภูเขาต้องนั่งเรือยางและแพของชุมชนล่องเข้าไปจึงจะเห็นความสวยงามของโถงถ้ำหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตาที่สมบูรณ์มาก อีกกิจกรรมโลว์คาร์บอนที่จะได้สัมผัสป่าเขาจังหวัดพังงาคือ ล่องแพไม้ไผ่วังเคียงคู่ ที่ท้ายเหมือง ในระยะทาง 3กิโลเมตร เป็นแพไม้ไผ่ที่มีความปลอดภัยสูงเพราะระดับน้ำที่ล่องไปไม่ลึกทว่าจะได้ผ่อนคลายกับผืนป่าสีเขียวก่อนจะไปกระโดดน้ำใสเย็นเล่นที่ปลายทาง
กรีนซีซั่นฉบับพังงาจะขาด คลองสังเน่ห์ ไปไม่ได้กับฉายา “Little Amazon” เพราะมีบรรยากาศความเขียวครึ้มของต้นไม้สองฝั่งคลองคล้ายป่าแอมะซอนแห่งบราซิล ไฮไลต์ของที่นี่คือการล่องเรือพายผ่านอุโมงค์ต้นไม้ต้นไทรอายุนับร้อยปีที่ทิ้งรากลงระผิวน้ำ ระหว่างทางอาจมีนกหลายชนิดมาทักทาย เช่น นกเด้าดิน นกกระเต็นที่มารอกินปลา แต่สัตว์ที่ทุกคนรอจริงๆ คือ งู ซึ่งมีจำนวนมากและเห็นได้ง่ายตามต้นไม้สองฝั่งคลอง ไม่ว่าจะเป็น งูเขียว งูเหลือม และ งูปล้องทอง งูพิษอ่อนที่มีลวดลายสวยงาม พบได้เฉพาะป่าริมน้ำและริมทะเลในภาคใต้ของไทย ช่วงกลางวันงูจะนอนตามกิ่งไม้ คนขับเรือจะชะลอเรือให้ชมใกล้ๆ เรียกว่างูและป่าแห่งนี้เป็นห้องเรียนสิ่งแวดล้อมที่ชี้วัดความกรีนของพังงาได้อย่างชัดเจนมาก
05 หัวหิน เมืองตากอากาศที่ให้มากกว่าความผ่อนคลาย
หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ เมืองตากอากาศริมทะเลสุดคลาสสิกที่ยังคงมีมนต์ขลังมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นอกจากเดินทางง่ายเหมาะกับทริปผ่อนคลายสุดสัปดาห์แล้ว ชายหาดหัวหินยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเงียบสงบ ทั้งยังสามารถฮ็อปปิ้งไปสู่ที่เที่ยวใกล้เคียงอย่างอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอใกล้เคียงในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อย่างอำเภอปราณบุรี สามร้อยยอด ได้อย่างสะดวกมาก ครบทั้งสายกิน พักผ่อน ธรรมชาติ ท่องเที่ยวชุมชน และนั่นจึงไม่แปลกใจที่หัวหินจะกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เมืองท่องเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์
Stay : หัวหินเป็นชายหาดที่มีทั้งโรงแรมเชนขนาดใหญ่ โรงแรมบูติคขนาดย่อม ไปจนถึงบ้านพักสไตล์บังกะโลวิลลาให้ได้เลือกเยอะมาก สำหรับโรงแรมที่โดดเด่นในเครือสมาชิก CF-Hotels ที่ชวนไปเช็กอินนั้นได้แก่ บ้านทะเลดาว, Loligo Resort Hua Hin และ Let’s Sea Hua Hin Al Fresco สำหรับ บ้านทะเลดาว ที่นี่ถือเป็นที่พักคลาสสิกตกแต่งด้วยบรรยากาศไทยโมเดิร์นใต้ความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ดั้งเดิมทั้งมะขาม ตะแบก ตะโก พะยอม ปีบ มะค่าแต้ และหางนกยูงฝรั่ง ที่ทางบ้านทะเลดาวยังคงรักษาไว้ จนกลายเป็นสวนป่าริมทะเล นอกจากนี้ทางบ้านทะเลดาวยังมีแปลงผักปลอดสารเคมีชื่อ “สวนรักษ์ทะเล” ที่นำผลผลิตมาใช้ทำอาหารในโรงแรมอีกด้วย
ต่อกันที่ Let’s Sea Hua Hin Al Fresco ที่พักสุดโรแมนติกแบบฉบับ Pool Access ที่มีสระว่ายน้ำ 120 เมตร ทอดยาวด้านหน้าห้องพักที่บูติคเพียง 40 ห้อง ทุกห้องสามารถเปิดประตูห้องแล้วกระโดดลงสระว่ายน้ำได้ทันที นอกจากดีไซน์เรียบง่ายแต่โมเดิร์น สิ่งที่ทาง Let’s Sea ได้ใส่ลงไปในงานออกแบบคือการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยการดึงแสงธรรมชาติและอากาศให้หมุนเวียนในรีสอร์ต พร้อมแคมเปญสิ่งแวดล้อม Eco-chic กระตุ้นให้ลูกค้าได้สนุกกับแคมเปญสิ่งแวดล้อมที่โรงแรมหมุนเวียนจัดขึ้น และที่จะขาดไม่ได้คือการสนับสนุนชุมชนหัวหินด้วยการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีจากท้องถิ่น รวมทั้งมีจุดพลังงานสะอาดทั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และจักรยานให้บริการ
ปิดท้ายด้วย Loligo Resort Hua Hin ที่นำเรื่องราวของหมึกซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมืองหัวหินมาผสมกับลายเส้นของศิลปินไทยในการออกแบบความน่ารักให้รีสอร์ต พร้อมการออกแบบอาคารที่ตั้งใจออกแบบโครงสร้างเพื่อการลดใช้พลังงาน การลดใช้กระดาษที่เริ่มตั้งแต่เช็กอิน ไปจนถึงการจัดการขยะหลังบ้านที่มีทีมดูแลอย่างจริงจัง มากกว่านั้นคือการส่งเสริมวัตถุดิบในชุมชนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่ง หรือเรื่องเล็กๆ อย่างการใช้ผ้าขาวม้าทอมือสีธรรมชาติของไทยมาแทนผ้าเช็ดตัวที่สระว่ายน้ำ ก็เป็นการจุดประกายด้านสิ่งแวดล้อมให้ผู้เข้าพักได้แล้ว
Don’t Miss : อย่างที่บอกว่าหัวหินเป็นเมืองตากอากาศที่เชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยวได้ตั้งแต่ชะอำ ปราณบุรี ไปจนถึงสามร้อยยอด เริ่มจากรอยต่อหัวหินชะอำกับ ชุมชนประมงบางควาย เพชรบุรี ที่นี่นอกจากจะเป็นจุดจอดเรือและแหล่งอาหารทะเลสดใหม่แล้ว เราจะได้เห็นกรรมวิธีการทำปลาทูนึ่งแบบดั้งเดิม พร้อมร้านลับ Chef’s table ท้องถิ่นที่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นจึงจะได้กิน ร้านชื่อ “ครัวลมฉิว” โดย “เชฟปลา-สุชาติ จิตต์ซื่อ” ลูกหลานชาวประมงชุมชนบางควายที่เก็บเกี่ยววิชาครัวมาจากการทำงานโรงแรมแล้วมาเปิดร้านแบบเชฟส์เทเบิลที่เชฟจะออกแบบเมนูจากวัตถุดิบที่ชาวเรือในชุมชนจับมาได้ซึ่งแตกต่างกันไปตามฤดูกาลของท้องทะเลอ่าวไทย (จองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน โทร 084-362-5564) และอีกพิกัดห้ามพลาดที่กำลังมาแรงในเขตชะอำคือ สวนเลมอนชะอำปลอดสารเคมีเนื้อที่ 30 ไร่ Fresh-1 Lemon Farm ตั้งอยู่ที่ดอนขุนห้วย มีต้นพันธุ์และเลมอนแปรรูปให้ได้เลือกชิม
จากชะอำข้ามไปปราณบุรีสายจักรยานโลว์คาร์บอนสามารถนำจักรยานมาปั่นเลียบริมทะเลได้อย่างปลอดภัยกับเส้นทางจักรยานริมชายหาด ส่วนสายกินก็ต้องแวะช็อปหมึกแดดเดียวที่ตากกันให้เห็นตลอดชายหาดหัวหิน ปราณบุรี และสำหรับสายธรรมชาติยังมี วนอุทยาน ปราณบุรี แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นจุดหมายที่จะพลาดไม่ได้ หรือจะเลยไปไกลอีกนิดที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของไทย อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ก็มีทั้งบึงบัว แหล่งดูนก จุดชมวิวยอดเขาแดง ให้เลือกเที่ยวได้หลากหลายมาก ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถฮ็อปปิ้งวันเดย์ทริปจากหัวหินได้สะดวกมากเช่นกัน
Fact File
สำหรับโรงแรม รีสอร์ต ไม่ว่าจะขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก
ที่ต้องการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในการดูแลสิ่งแวดล้อม CF-Hotels
คืออีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยคำนวณก๊าซเรือนกระจก ใช้ง่าย ใช้ฟรี!
เหมือนมีที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมนั่งประจำการอยู่ที่โรงแรม
วิธีการเข้าร่วมนั้นง่ายมาก
เพียงสมัครลงทะเบียนและเข้าร่วมที่ www.cf-hotels.com จากนั้นในแต่ละเดือนก็กรอกข้อมูล
เช่น หน่วยไฟฟ้าที่ใช้ ปริมาณน้ำเสีย และสิ่งปฏิกูลที่ปล่อย
และตัวการอื่นๆ ซึ่งเมื่อกรอกข้อมูลต่างๆ
ลงไประบบจะทำการประมวลแล้วคำนวณออกมาว่าโรงแรมนั้นๆ ได้สร้าง CF หรือ
คาร์บอนฟุตพรินต์ เท่าไร พร้อมคำแนะนำและการอบรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
และรับสิทธิพิเศษในการส่งเสริมตลาดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ที่มีโปรแกรมพิเศษให้แก่โรงแรม
หรือรีสอร์ตที่ดำเนินธุรกิจแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ
คุณกำลังดู: แจก 5 เส้นทางเที่ยวไทยฉบับโลว์คาร์บอน พร้อมที่พัก CF-Hotels ที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน
หมวดหมู่: เที่ยวทั่วไทย