จากบท Aliens 3 ที่ถูกทิ้ง สู่ตำนาน Riddick โดย ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส
ย้อนตำนาน Riddick เตรียมกลับมาเฉิดฉายหลังจาก Vin Diesel วางมือจากหนังตระกูล Fast โดย ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส
“พวกมันอยู่ในความมืด เมื่อวันที่ดวงอาทิตย์ดับลง พวกมันจะออกมาจากใต้ดิน แล้วไล่ฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่อยู่บนพิภพนี้”
นั่นคือคำจำกัดความของหนังอย่าง Pitch black ภาคแรก และมันถูกสร้างภาคต่อออกมาอีก 2 ภาค ซึ่งแม้จะทำรายได้ไม่สู้ดีนัก แต่มันคือหนังที่ Vin Diesel รักมันพอๆ กับแฟรนไชส์ Fast & Furious และมันคือว่าที่หนังที่เขาจะกลับมาพัฒนาต่อหลังจากวางพวงมาลัยจาก Fast & Furious ไปแล้วในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะตัวเขาเชื่อว่ามันมีดีพอที่จะต่อยอดเป็นแฟรนไชส์ภาคต่ออันทรงคุณค่าในอนาคตไม่ต่างจาก Fast & Furious
แม้ว่าปัจจุบันชื่อ Vin Diesel ในยุคนี้จะถูกผูกติดอยู่กับหนังแอ็คชั่นครอบครัวอย่าง Fast & Furious ที่นับวันจะยิ่งเลยเถิดไปไกลแล้ว จนมีคนแซวว่าสักวันมึงคงได้ไปรวมทีมกับ Avengers ของ Marvel เพราะมีการขับรถซิ่งออกนอกอวกาศก็เคยมาแล้ว และมนุษย์ทุกคนในหนัง ที่แม้จะถูกรถชน ตกถนน ตกตึก ก็แทบไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ แถมมีสิทธิ์ตายแล้วฟื้นได้ทุกคน
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องอีโก้ที่สูงลิบลิ่วของ Vin Diesel จนส่งผลให้เขามีปัญหากับนักแสดงร่วม หรือแม้แต่ผู้กำกับก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น Justin Lin ผู้ร่วมหัวจมท้ายช่วยกันฟื้นแฟรนไชส์ แล้วเนรมิตให้ไปไกลเกินกว่าหนังตำรวจแฝงตัวในหมู่โจรธรรมดาๆ Justin Lin ถอนตัวออกไปก่อนหนังภาค 10 จะถ่ายทำเสร็จสิ้น หรือไม่ว่าจะเป็น Dwayne Johnson เองก็หนีไม่พ้นการมีปัญหากับเขาเช่นกัน รวมทั้งล่าสุดในรายของ Jason Momoa ตัวร้ายของภาค Fast X ที่ดูเหมือนจะโชว์บทบาทแย่งซีน Vin Diesel จนมีปัญหาเขม่นกันในกองถ่าย แต่ต่อมาก็ต่างออกมาให้ข่าวว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ เรารักกันดีมากๆ
แม้ว่าภาพลักษณ์ของ Vin Diesel ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้จะดูแย่สักแค่ไหน แต่สิ่งที่หลายคนยอมรับในตัวของเขาคือ ความบ้าคลั่งในการสร้างภาพยนตร์ที่ชัดเจน เขากล้าได้กล้าเสียกับหนังของตนเอง และมีความเชื่อว่ามันจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ ทั้งที่ในสายตาคนดูทั่วไปหรือแม้แต่ผู้สร้างเองก็มองต่างจากเขาว่าแฟรนไชส์นี้มันตายไปแล้ว มันไม่น่าจะทำเงิน แต่กลับกลายเป็นว่า การเสี่ยงนั้นกลายเป็นสิ่งถูกต้องทั้งหมด
ยกตัวอย่างการยอมจำนองบ้านตัวเองไปแลกกับการซื้อสิทธิหนังเรื่อง Fast & Furious ที่เกือบตายไปแล้ว และเตรียมจะถูกสร้างให้กลายเป็นหนังเกรด B ส่งตรงลงแผ่น ข้อเสนอคือ แลกกับการปรากฏตัวท้ายเรื่องของ Fast & Furious 3 : Tokyo drift แบบฟรีๆ โดยมีข้อแม้ว่าในภาคต่อไปเขาจะได้นั่งแท่นควบคุมงานสร้างเอง ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่เราทราบกันว่ามันพลิกฟื้น ต่อยอด จนทำให้เขาร่ำรวยไปเลย
แต่หนังอีกเรื่องที่ค้างคาใจ Vin Diesel มาเนิ่นนาน เพราะเขาคิดว่ามันคืองานที่ดี แม้จะทำเงินได้ไม่มาก นั่นคือเรื่องราวในจักรวาลของ Riddick ซึ่งเขายอมเจียดเงินที่โกยมาได้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้ได้สิทธิในการสร้างหนังภาคต่อมานั้นมาครอง หนังภาคแรกทำเงินไป 53.2 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 23 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยภาคต่อ The Chronicles of Riddick ที่ทุนสร้างหนาขึ้น แต่กลายเป็นว่ามันคืองานที่เจ็บหนักของ Universal Pictures เพราะทำเงินไปราว 115.8 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง รวมโปรโมทกว่า 120 ล้านเหรียญ
แต่ถ้าพูดถึงหนังที่เรียกว่าเป็นที่จดจำของ Vin Diesel ในวันที่ยังไม่ใช่เบอร์ใหญ่ของวงการแบบทุกวันนี้ ชื่อของ Riddick น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนชื่นชอบในสิ่งที่เขาเป็น บทบาทของ Riddick อดีตนักโทษแหกคุกที่มีดวงตาพิเศษมองเห็นในที่มืดได้ และต้องต่อกรกับกองทัพทมิฬต่างดาวที่ยึดครองจักรวาลจนท้ายสุดตัวเขาก็ได้กลายมาเป็นราชาของเหล่ากองทัพทมิฬนั้นเสียเอง แต่แนวทางของ Pitch Black ต่างหากคือสิ่งที่แฟนๆต้องการ ไม่ใช่งานแนวลิเกอวกาศแบบเช่นที่ภาค 2 เป็น
จุดเริ่มต้นของ Pitch Black นั้นต้องย้อนกลับไปที่ผู้กำกับและผู้เขียนบทหนังเรื่องนี้อย่าง David Twohy ที่ในตอนนั้นเขาเป็นหนึ่งในนักเขียนบทมือดีของฮอลลีวู้ด และกำลังมือขึ้นกับการเขียนบทให้หนังสยองขวัญภาคต่ออย่าง Critters 2: The Main Course (กลิ้งงับงับ 2) และ Warlock (พ่อมดผ่าศตวรรษ) อยู่พอดี เขาได้ถูกสองโปรดิวเซอร์จาก Brandywine Productions อย่าง David Giler และ Walter Hill ชักชวนให้ไปช่วยเขียนบทหนังภาคต่อของอสูรกายอวกาศในตำนานอย่าง Alien 3 ที่ในตอนนั้นหนังภาค 2 ของ James Cameron กำลังทำเงินถล่มทลายและได้รับคำชมอย่างบ้าคลั่งในฐานะของภาคต่อชั้นเยี่ยม นัjนทำให้มีการอนุมัติให้ทำภาคต่อทันที แม้ว่า James Cameron จะไม่ได้ยุ่งกับภาคต่อนี้แล้วก็ตาม
แต่ปัญหาคือ โครงการในการสร้างภาคต่อของ Aliens นั้นมีปัญหามากมายเต็มไปหมด อันมาจากทิศทางของหนังว่า ควรจะไปทางไหนที่จะทำให้มันแตกต่าง พวกเขาไม่อยากทำอะไรซ้ำทางเดิมของหนังภาค 1 และ 2 ทว่าสตูดิโอแม่อย่าง 20th Century Fox ต้องการแค่เพิ่มเอเลี่ยนไปเยอะๆ เพิ่มปืนระเบิดให้มากๆกว่าเดิม เพื่อให้มันออกมาเป็นมหกรรมบันเทิงเป็นหนังบู๊สงครามสุดมันส์ที่พวกเอเลี่ยนต้องถูกยิงร่วงเป็นรังมดแดง
ความไม่ร่องรอยในกระบวนการทำภาคต่อนี้ ทำให้หนังภาค 3 เป็นหนึ่งในตำนานของสุสานนักเขียนบทฮอลลีวู้ด กล่าวกันว่า มีบท Aliens 3 มากกว่าสิบร่างที่ถูกเขียนขึ้น และใช้เงินไปราวๆ 11 ล้านดอลลาร์ กับการเขียนบททุกร่างมารวมกัน โดยที่ตัว David Twohy ได้ถูกเรียกให้มาเขียนบทต่อจากนักเขียนบทมือดีอย่าง William Gibson และ Eric Red ที่ร่วมกันเขียนบทออกมาแล้วไม่เป็นที่ประทับใจของฝ่ายทำหนังตอนนั้นเอาซะเลย
ไอเดียของ David Twohy คือ"ดาวคุก" มันคือ ดาวเคราะห์ที่ถูกใช้เพื่อการทดลองผิดกฎหมาย โดยมีการนำพวกเอเลี่ยนมาทดลองแบบผิดศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ David Twohy มองว่า มันได้ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ในภาคแรกแล้ว บริษัทอย่าง Weyland-Yutani Corporation ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดมีแผนกอาวุธสงครามอยู่ และตัวหนังจะไม่พูดถึง Ellen Ripley ตัวละครที่รับบทโดย Sigourney Weaver มาตั้งแต่ภาคแรก แต่จะให้บทไปทาง Rebecca Jorden หรือ Newt มากกว่า แต่ทางผู้บริหารของ 20th Century Fox อย่าง Joe Roth ไม่เห็นด้วย เพราะหนังเรื่องนี้คือหนังของ Ripley เอาเธอกลับมาซะ เธอคือหัวใจสำคัญของซีรีส์นี้ และเธอคือนักรบหญิงหนึ่งเดียวของพวกเรา
ด้วยแนวทางของหนังเปลี่ยนไปอีก ทำให้ Renny Harlin ที่เซ็นสัญญามาเป็นผู้กำกับภาคนี้ตัดสินใจถอนตัวออกไป เพราะรู้สึกว่าแนวทางหนังซ้ำซากจำเจ ส่วนในรายของ Sigourney Weaver ก็เซ็นสัญญากลับมาด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 4 ล้านดอลลาร์ พร้อมส่วนแบ่งรายได้ของหนังอีกต่างหาก
เธอมาพร้อมกับเงื่อนไขที่ว่า เรื่องราวที่มีจะต้องน่าประทับใจ แปลกใหม่ และ ไม่พึ่งพาปืนแบบหนังภาคที่แล้ว นั่นส่งผลให้ David Twohy ออกจากโปรเจกต์ไปในที่สุด มันจะเป็นไปได้ไง ซัดกับเอเลี่ยนโดยไม่ใช้ปืน
David Twohy ก็ได้หนีไปทำหนังสยองขวัญไซไฟทุนต่ำอย่าง Timescape (1992) แทน โดยที่ยังมีสคริปต์และบทที่ไม่ได้ใช้ของ Alien 3 เอาไว้กับตัวตัวเอง และได้แต่คิดว่าสักวันหนึ่งบทนี้อาจจะได้ใช้ทำเป็นหนังขึ้นมาสักเรื่องในอนาคต
ระหว่างที่ Alien 3 กำลังตามหาคนเขียนบทคนใหม่อยู่นั้น David Twohy ก็ยังคงทำงานในฐานะมือเขียนบทในหนังดังๆหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญอย่าง The Fugitive , หนังแอ็คชั่นทหารหญิงอย่าง G.I. Jane และ หนังไซไฟน้ำท่วมโลกในตำนานอย่าง Waterworld ควบคู่ไปกับการทำหนังสยองขวัญไซไฟของตัวเองที่ไม่ได้ดังอะไรมากนักอย่าง The Arrival (1996) แต่การกำกับหนังเรื่องนี้ทำให้เขาได้เจอกับโปรดิวเซอร์หนังอิสระอย่าง Ken และ Jim Wheat ผู้เคยเขียนบทหนังเรื่อง A Nightmare on Elm Street 4: The Dream Master และ The Fly 2 มาแล้ว ทั้งคู่มีไอเดียเกี่ยวกับหนังสยองขวัญไซไฟเรื่องหนึ่งไปเสนอ David Madden แห่งบริษัท Interscope Communications พอดี ด้วยคอนเซปต์ที่ว่า
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้านักสำรวจอวกาศกลุ่มหนึ่งเดินทางมาเยือนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีดวงอาทิตย์หลายดวงจนเหมือนจะเป็นช่วงเวลากลางวันแทบตลอดกาล ทว่าสุริยคราสได้เกิดขึ้น ทำให้ดาวดวงนี้มืดมิด และก็มีผีออกมา”
ซึ่งในคราแรกโปรเจกต์นี้ถูกเรียกว่า Nightfall ไอเดียนี้ดูน่าสนใจไม่ใช่น้อยสำหรับ David Madden เขาจึงนำเรื่องนี้ไปคุยกับ David Twohy ให้มากำกับหนังเรื่องนี้ โดยสามารถปรับแต่งเนื้อหาบทภาพยนตร์ได้ตามต้องการ David Twohy ได้พิจารณาไอเดียและบทโดยรวมๆก็รู้สึกว่า มันมีแนวคิดคล้ายคลึงกับบท Alien 3 ของเขาที่เคยทำไว้แล้วไม่ได้ใช้ เขาจึงขอเปลี่ยนแปลงคาแรคเตอร์ในเรื่อง และสิ่งที่จะออกมาโจมตีไล่ล่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ผี แต่เป็นอสูรกายที่อาศัยอยู่ใต้ผืนโลก และพวกมันรอวันที่สุริยคราสเกิดขึ้น เพื่อไล่ล่าฆ่ามนุษย์ทุกคนที่เหยียบย่ำบนดาวดวงนี้
นอกจากไอเดียเรื่องและสิ่งที่ออกมาไล่ล่าจะเปลี่ยนจากผีเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว David Twohy ได้ปรับเปลี่ยนบทจากนักสำรวจดาวไปเป็นกลุ่มนักเดินทางข้ามจักรวาล ที่หนึ่งในนั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ถูกจับกุมได้รวมอยู่ด้วย และนักโทษคนนี้คือตัวละครเอกที่ไม่สามารถไว้วางใจได้ เขามองเห็นในที่มืด และพร้อมจะกระซวกคอหอยทุกสิ่งที่เขาไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าคือ Riddick นั่นเอง
สำหรับเจ้าสัตว์ประหลาดในเรื่องนี้ (ที่ใช้ในชื่อไทยเรียกว่า ค้างคาวฉลาม) มีชื่อทางการว่า Bioraptor ซึ่งออกแบบโดย Patrick Tatopoulos (คนออกแบบ Godziila 1998) ซึ่งไอเดียของเขาเป็นส่วนผสมของสัตว์ อาทิ ค้างคาว และ ฉลาม นั่นเอง
The Chronicles of Riddick: Pitch Black จึงถือกำเนิดขึ้น แต่ในบางประเทศที่เข้าฉายหนังใช้ชื่อสั้นๆว่า Pitch Black แต่เพราะหนังไม่ได้มีทุนรอนอะไรมากนัก ทำให้ดาราที่จะมาเล่น ก็คงไม่ใช่ดาราใหญ่อะไรมาก แถมยังต้องยกกองไปถ่ายทำกันถึงออสเตรเลีย ที่ที่เคยถ่ายทำหนังเรื่อง Mad Max : Beyond thunderdome โดยคนที่เป็นตัวเอกของหนังเรื่องนี้คือ Vin Diesel ดาราหนุ่มที่ตอนนั้นยังไม่มีชื่อเสียงเท่าไหร่นัก ทว่าการแสดงในฐานะนักโทษตัวร้ายที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรค้างคาวฉลามกลับทำให้หลายคนยกนิ้วให้ในความเท่ นั่นถือเป็นการฉายแววความโด่งดังของเขา หลังจากที่ได้ไปเล่นเป็นตัวสมทบเล็กๆในหนังสงคราม Saving Private Ryan ของ Steven Spielberg มาแล้ว
ที่สำคัญ Pitch Black ยังแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของมนุษย์ได้ครบถ้วน แม้แต่นักโทษสุดโหดอย่าง Riddick ยังร้ายกาจน้อยกว่ามนุษย์คนอื่นๆในหนังด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วบทร่างแรกนั้น ตัวละคร Riddick จะต้องตายด้วยซ้ำไป เนื่องจาก Vin Diesel เซ็นสัญญากับหนังเรื่องนี้เอาไว้เพียงภาคเดียวเท่านั้น แต่การแสดงของ Vin Diesel ส่งผลให้สตูดิโอตัดสินใจแก้ไขบทใหม่ให้ Riddick รอดชีวิตในตอนจบ ซึ่งการแก้ไขบทนี้ก็นำไปสู่เรื่องราวในอนาคตอีกมากมาย
Pitch black ออกฉายในปี 2000 และทำเงินจากการฉายทั่วโลกไป 53.2 ล้านเหรียญ แต่หนังกลับดังมากตอนลง VDO และ DVD ทางด้าน Vin Diesel นั้นได้แจ้งเกิดกับบทนี้ จนแฟนๆตามไปดู The Fast and the Furious ภาคแรกที่เข้าฉายในปีต่อมา เพราะได้อานิสงส์จากหนังค้างคาวฉลามนั่นเอง
ความสำเร็จของ Pitch black ทำให้หนังมีภาคต่อตามมาในปี 2004 พร้อมทุนสร้างถึง 120 ล้าน ในชื่อ The Chronicles of Riddick ที่แม้จะเป็นหนังคว่ำแห่งปี ทำเงินไปได้แค่ 115.3 ล้านเท่านั้น แต่พอหนังลงแผ่นดีวีดีแล้วพบว่ามันได้ก่อมวลมหาแฟนคลับกลุ่มใหญ่ที่ส่งผลให้ยอดขายถล่มทลายมากขึ้นกว่าภาคแรก แต่ก็ไม่ถึงกับได้กำไรเพิ่มอะไร
ซึ่งเพราะด้วยความที่เป็นหนังสร้างชื่อ และมีแฟนคลับตั้งตารอดูชีวิตการผจญภัยครั้งต่อๆไปของ Riddick ผู้นี้ นั่นนำไปสู่การที่ Vin Diesel ยอมควักกระเป๋าซื้อสิทธิในการสร้างหนังเรื่องนี้มาพร้อมๆกับ Fast & Furious ซึ่งในเวลานั้นมันคือสองหนังที่แทบจะตายไปแล้วในตลาดคนดู การพลิกฟื้นแฟรนไชส์ Fast & Furious จนกลับมาเป็นหนังใหญ่ทำเงินถล่มทลาย ทำให้ Vin Diesel พัฒนาบท Riddick ภาค 3 ควบคู่กันไป แล้วหนังก็สร้างเสร็จและเข้าฉายในปี 2013 คราวนี้มันเป็นการพาทุกคนกลับไปสัมผัสบรรยากาศแบบ Pitch black ภาคแรกอีกครั้ง และไม่มีใครรู้มือหนังเรื่องนี้เท่า David Twohy อีกแล้ว ภาคนี้ Riddick ต้องต่อกรกับอสูรกายในดาวร้างอีกรอบ นั่นถูกใจแฟนๆมาก ก่อนที่มันจะทำเงินไปได้ถึง 98.3 ล้านเหรียญจากทุนแค่ 38 ล้านเท่านั้น ต่างกันตรงภาคนี้เงินไหลเข้ากระเป๋า Vin Diesel เต็มๆ เพราะเขาควักทุนสร้างเองเกือบทั้งหมด
และอย่างที่เกริ่นไว้ว่าหนังภาค 4 ที่จะใช้ชื่อว่า Riddick: Furya กำลังจะมาในอนาคต และมันคือว่าที่ภาคต่ออันทรงคุณค่าหลังจากที่ Vin Diesel วางมือจากหนังตระกูล Fast ให้ภาคแยกต่างๆขยายออกไป แล้วตัวเขาเองก็อาจจะหันมาพัฒนาแฟรนไชส์ Riddick ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุดแบบที่เคยทำไว้กับ Fast & Furious เรามาลุ้นกันว่าคราวนี้เขาจะคิดถูกหรือคิดผิด
คุณกำลังดู: จากบท Aliens 3 ที่ถูกทิ้ง สู่ตำนาน Riddick โดย ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส
หมวดหมู่: หนัง-ละคร