"It's Gonna Be Tilly Birds" เมื่อ “นกอินทรี” แห่งวงการเพลง ฉีกขนบคอนฯ ไทยสู่เวทีโลก

รวมภาพและความสนุกของงานคอนเสิร์ต It's Gonna Be Tilly Birds

"It's Gonna Be Tilly Birds" เมื่อ “นกอินทรี” แห่งวงการเพลง ฉีกขนบคอนฯ ไทยสู่เวทีโลก

สำหรับคนฟังแล้วการที่วงหนึ่ง หรือ ศิลปินคนหนึ่งจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยว อาจจะต้องมีเพลงฮิต และฐานแฟน รวมถึงเสน่ห์และความสามารถในการแสดงและออกแบบโชว์ ซึ่งล่าสุดก็ถึงคิว Tilly Birds นกอินทรีสุดคูลของวงการเพลงที่เติบโตแบบก้าวกระโดดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลังทุ่มสุดตัวกับการทำงานอย่างไม่พัก แม้ว่าจะเจอวิกฤตโควิด-19 และการสูญเสียของสมาชิก

จากที่เราเคยกล่าวไว้ในรีวิวงานเปิดอัลบั้มของวง Tilly Birds ถือเป็นวงดนตรีที่มีความโดดเด่นแทบจะทุกแง่มุม ราวกับ เอซ ในสำรับไพ่ ซึ่งวงนี้แม้จะมีเมมเบอร์แค่ 3 คน แต่พวกเขาก็มีความโดดเด่นทุกคน ไม่ว่าจะ เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา (ร้องนำ) นักร้องเสียงเอกลักษณ์ที่มีพรสวรรค์เสียงเอกลักษณ์ และในขณะเดียวกันก็มีพรแสวงอีกมากจนสามารถใช้เสียงและเอนเตอร์แทนแฟนๆ ได้เหมาะสม ไปจนถึงสามารถแต่งเพลงของวงและให้ศิลปินอื่นไม่ว่าจะเพลง “เมื่อวานก็นานไป” ของ Jaylerr x Paris และเพลง “พี่ไม่หล่อลวง” ของ แบมแบม รวมถึงทำให้หลายคนตกใจกับบทบาทใหม่ในการกำกับเอ็มวี “ลู่วิ่ง” ของวง และ “เจ้าของที่” ของวง Mirrr รวมถึง “โต๊ะริม” ของ นนท์-ธนนท์ จำเริญ ส่วน บิลลี่-ณัฐดนัย ชูชาติ (กีตาร์) หรือ BILLbilly01 คือเจ้าของช่องคัฟเวอร์เพลงที่มียอดติดตามหลักล้านรวมถึงโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่ที่หาตัวจับยาก ส่วนทางด้านกระดูกสันหลังของวงอย่าง ไมโล-ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล (กลอง) ก็เป็นอีกหนึ่งมือกลองที่ฝีมือไม่ธรรมดา และล่าสุดได้เขียนเพลงคุณภาพอย่าง “ทุกนาทีที่สวยงาม” ของ นนท์ ธนนท์ และเมื่อมารวมกับความสำเร็จและฐานแฟนที่ติดตาม ก็ทำให้วงพร้อมแล้วที่จะมีคอนเสิร์ตเดี่ยว

การที่ Tilly Birds มีคอนเสิร์ตใหญ่ ก็ทำให้เราอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะในปี 2565 เราได้ไปชมหลายๆ งานของวง และวงจะมีเซ็ทลิสต์ตัวเอง และการแสดงสดที่พลังเยอะ ซึ่งการจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวของวงนั้น โชว์ในงานนั้นก็ต้องมากับความแตกต่าง และขณะเดียวกันวงก็ยังมีเพลงยุคอินดี้ รวมถึงพันธมิตรในวงการเพลงอีกเพียบ ซึ่งนั้นทำให้เราอยากรู้ว่า งานจะเป็นอย่างไร

ช่วงแรกของงานที่เริ่มตรงเวลา แฟนๆ ได้ฟังเพลง “เบื่อคนขี้เบื่อ”, “ฤดูหนาว”, ตัวเลือก ตัวรอ” และจากการทักทายหอมปากหอมคอก็ตามด้วยเพลง “แค่เธอเข้ามา”, “ติดตรงที่ฉัน” มาถึง “ลู่วิ่ง” ซึ่งระหว่างโชว์จะมีการสลับไปมาของมู้ดจากเพลงอย่าง “แค่พี่น้อง”, “เพื่อนเล่นไม่เล่นเพื่อน” ก่อนจะมีฟีลหน่วงกับเพลง “เดอะแบก” 

และเซอร์ไพรส์แรกที่เราเจอก็คือการที่ไมโลได้สลับภาพมือกลอง (และแร็ปเปอร์) มาร้องเพลง “ผู้เดียว” แบบเดี่ยวๆ ก่อนจะมากับเพลง “อยู่ได้ ได้อยู่”, “จำเก่ง” และ “ขอให้เธอโชคดี” ที่พาทุกคนกระโดดแบบรัวๆ ซึ่งกว่าจะลงตัวก็ใช้เวลานานพอตัว และหลังจากนั้นก็เป็นพาร์ทเพลงสากลเก่าอย่างเพลง "Heart in a Cage" ที่บิลลี่โชว์เดี่ยว ก่อนตามด้วย "Unwanted" ที่มีเซอร์ไพรส์อย่าง เบ๊บ-บรรณวิทย์ ศรีสันต์ อดีตมือกีตาร์ และ บุ๊คกี้ส์ อดีตมือเบส มาร่วมโชว์เพลงที่ 2 และร่วมโชว์เพลง “เรื่องดีๆ” และตามด้วยเซอร์ไพรส์อย่างการนำเพลง “White Pills” จากอัลบั้มสากลใหม่มาเล่นที่แรก 

และช่วงท้ายแรกหลังการเปลี่ยนชุด แฟนๆ ได้ชมแชทจำลองของแฟนเพลงคนนึงที่พยายามส่งข้อความหาแฟนเก่าที่เติร์ดคิดไดอาล็อคเอง ก่อนจบลงด้วยว่าผู้หญิงคนดังกล่าวกำลังจะมีแฟนใหม่มารับ และปูเข้าเพลง “คิด (แต่ไม่) ถึง”, “ยังคงสวยงาม” มาถึงอีกหนึ่งเพลงสากล "Like a Dead Man" ที่ต่อกับ “จากกันด้วยดี” เพลงแรกในค่าย Gene Lab ก่อนจะฟังเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์อย่าง “เธอไม่ได้อยู่คนเดียว” พร้อมการตีกลองสื่ออารมณ์จากเติร์ด และตามด้วย “ถ้าเราเจอกันอีก” ที่ทุกคนร้องตามได้ 

ในช่วงท้ายของงานเราก็ได้ฟังเพลง “ปลายนิ้ว” และตามด้วย “ผู้เดียว” ประกอบการขอบคุณ และปิดท้ายด้วยเพลง “ฉันมันเป็นใคร” ที่ทำให้เราแปลกใจ เพราะมันแหกขนบธรรมเนียมคอนเสิร์ตไทยที่มักจะปิดโชว์ด้วยเพลงฟีลกู้ด จนทำให้เรามองว่าถ้าเป็นหนัง หนังเรื่องนี้คงเป็นการจบหักมุมนองเลือด และโชว์นี้ก็จบด้วยการโซโล่แบบเดือดและเอฟเฟกต์เสียงแตกและนอยซ์ที่บางคนอาจไม่ชอบแต่ได้ใจเราสุดๆ 

สำหรับงานครั้งนี้ตลอด 2 ชั่วโมงครึ่งแม้วงจะไม่มีแขกรับเชิญ แต่งานครั้งนี้ก็มากับความเข้มข้นและเพลงของวงจากทุกยุค จนเรายังแบบเฮ้ยเพลงนั้น เพลงนี้ยังไม่เคยฟังเลย และตลอดงานทั้ง 3 หนุ่มและแบ็คอัพก็มากับเอเนอร์จี้ที่ไล่กราฟจากกลางๆ ขึ้นไปเดือดช่วงท้าย แม้เราจะแอบเสียดายเล็กๆ ที่เพลง “เบื่อคนขี้เบื่อ” และ “ฤดูหนาว” มาอยู่ต้นๆ เพราะทั้งสองเป็นเพลงโปรดที่เราอยากฟังเวอร์ชั่นเดือดๆ เหมือนกัน และหลายๆ เพลงในงานก็มากับการอิมโพรไวซ์หลายรูปแบบทั้งดนตรี โซโล่ รวมถึงมีการนำไอเท็มอย่างการใช้ไมค์ที่สร้างเสียงแบบ Lo-Fi มาใช้ด้วย สำหรับเรา เรามองว่างาน It's Gonna Be Tilly Birds เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ หรือ นิทรรศการ Hall of Fame สำหรับคนรัก Tilly Birds เลย ถ้าว่าด้วยการนำเสนอที่นำเพลงดังและเรื่องราวในอดีตเพื่อบอกแฟนๆ ว่า "เธอ นี่คือเรื่องราวที่ผ่านมาของพวกเรานะ" ก่อนการก้าวสู่อนาคตต่อไปของวง (ซึ่งมีการบอกใบ้ไว้แล้ว)

โดยรวมงาน  It's Gonna Be Tilly Birds ถือว่าเป็นงานคอนเสิร์ตที่มีความอินเตอร์ และฉีกขนบคอนเสิร์ตไทย ทั้งการที่พวกเขาเล่นโชว์แบบไม่มีแขกรับเชิญเลย การเรียงสคริปต์ไม่เป็นแพทเทิร์นและมีเซอร์ไพรส์แบบตามใจฉัน รวมถึงงานที่โปรดักชั่นเรียบง่ายแต่โชว์อัดแน่น และที่เราแปลกใจคือเป็นงานที่ศิลปินค่อนข้างพูดน้อยกว่าคอนเสิร์ตหลายๆ  มีไม่กี่ช่วงที่เราได้ฟังความในใจ ซึ่งสำหรับที่ดูคอนเสิร์ตไทยมาหลายงาน ก็ชอบสิ่งที่ได้เห็น และมองว่างานโชว์แบบนี้พวกเขาเอาไปเล่นต่างประเทศได้เลย แต่อีกใจก็อยากเห็นงานคอนเสิร์ต Tilly Birds ที่มีการชวนแขกรับเชิญเพื่อนๆ กันมาแจม หรือการที่ 3 หนุ่มเอาเพลงที่พวกเขาทำเบื้องหลังให้คนอื่นมาร้องแบบตัวเองเหมือนกัน 

ในพาร์ทโปรดักชั่น แม้สเตจงานด้านล่างอาจจะดูจะเรียบง่ายไม่ได้มีลูกเล่นมากนัก แต่พาร์ทดนตรีก็ดีและมีการอิมโพรไวซ์หลากหลาย แม้จะมีโมเมนต์เครื่องเกือบดับและไมค์หอนเล็กๆ ส่วนการเล่นไฟ แสง รวมถึงการใช้กระจกเพื่อสร้างมิติแสงที่แตกต่างให้กับงาน นั้นเราประทับใจและค่อนข้างเข้าใจเลยว่าทำไมต้องมีการเตือนเรื่องเลเซอร์ เพราะหลายเพลงจัดหนักใช้ได้เลย และเมื่อองค์ประกอบเหล่านี้มารวมกับการโชว์ที่เข้มข้น ทำให้ตลอด 2 ชั่วโมงครึ่งผ่านไปเร็วมาก 

งาน It's Gonna Be Tilly Birds แม้จะมีการฉีกขนบหลายๆ อย่างของคอนเสิร์ตไทย แต่ก็เป็นอีกงานที่แสดงให้เราเห็นแล้วว่า Tilly Birds พร้อมแล้วกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ และเวทีโลก อย่างเช่นการ คว้ารางวัล สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเวที Academy Awards หรือเวทีเทศกาลดนตรี Glastonberry แต่อย่างไรก็ตามเราก็หวังว่าพวกเขาจะมีคอนเสิร์ตไทยอีก เพราะงานคอนเสิร์ตเดี่ยวพวกเขานั้นทำให้เราเต็มอิ่มจริงๆ 

คุณกำลังดู: "It's Gonna Be Tilly Birds" เมื่อ “นกอินทรี” แห่งวงการเพลง ฉีกขนบคอนฯ ไทยสู่เวทีโลก

หมวดหมู่: เพลง

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด