เคยใส่กันไหม? : รองเท้าสตั๊ดในความทรงจำเด็กไทยยุค 90s
สตั๊ด “ตราไก่” ชื่อนี่คุ้นหูเป็นอย่างดี เพราะนี่คือรองเท้าสตั๊ดคู่แรกของใครหลายคน ที่ว่ากันว่ามียอดจำหน่ายมากที่สุดรุ่นหนึ่งของเมืองไทยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน จะบอกว่านี่คือ ตำนาน ของรองเท้าสตั๊ดเมืองไทย ก็ไม่ผิดนัก
เด็กรุ่นใหม่น้อยคนที่จะมีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา เห็นจะมีเพียงเด็กไทยยุค 90s ลงไปเท่านั้นที่จำได้ว่าหน้าตามันเป็นเช่นไร นอกจากนี้มีรองเท้าสตั๊ดรุ่นไหนอีกบ้างที่อยู่ในความทรงจำของเด็กไทยยุค 90s Main Stand รวบรวมไว้ที่นี่...
Dum
ชื่ออาจจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่นี่คือรองเท้าสตั๊ดสัญชาติไทยที่มี ศุภกิจ มีลาภกิจ อดีตตำนานทีมชาติไทยและสโมสรทหารอากาศ เป็นเจ้าของแบรนด์ เรียกได้ว่าเป็นสตั๊ดรุ่นเก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย ที่ปัจจุบันหาคนใส่น้อยมาก
สำหรับเด็กไทยยุค 90s สตั๊ดยี่ห้อ Dum เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ด้วยดีไซน์ที่สวยงามไม่แพ้สตั๊ดจากเมืองนอก ที่สำคัญความพิเศษของสตั๊ดรุ่นนี้ก็คือมีการสลักชื่อ “อินทรีดำ” เข้าไปด้วย จนหลายคนเรียกว่าเป็นสตั๊ดรุ่น อินทรีดำ
“ตราไก่”
นี่คือรองเท้าสตั๊ดในความทรงจำของใครหลายคน แม้ว่าในยุคปัจจุบันแทบไม่มีใครได้เห็นอีกแล้ว สำหรับสตั๊ดที่ผู้คนนิยมเรียกติดปากว่า “ตราไก่” ว่ากันว่านี่คือรองฟุตบอลคู่แรกของเด็กไทยในอดีต
“ตราไก่” ที่ว่าก็คือ “Le Coq Sportif” แบรนด์ชื่อดังของฝรั่งเศส แต่คนนิยมเรียก “ตราไก่” ตามสัญญาลักษณ์ที่ติดอยู่ที่รองเท้า ด้วยความที่เป็นรองเท้าสตั๊ดที่มีราคาถูกที่สุดเมื่อราวๆ 20 กว่าปีก่อน ราคาจะมีตั้งแต่ ร้อยกว่าบาทไปจนถึงสามร้อยบาทแล้วแต่คุณภาพที่แตกต่างกันออกไป
เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่ผู้ปกครองมักเลือกชื้อให้กับลูกๆ ที่ต้องการเอาดีทางด้านฟุตบอล หรือแม้แต่การเดินเข้าไปเลือกซื้อรองเท้าสตั๊ดตามร้านค้า เด็กๆ ยุคนั้น ก็จะไปเลือกมองตามตู้โชว์หรือฝาผนังที่แขวนรองเท้าสวยๆ เป็นอันดับแรก แต่สุดท้ายรองเท้าที่ได้กลับบ้านก็คือ “สตั๊ดตราไก่” ที่วางกองอยู่เต็มหน้าร้าน ที่เกือบทั้งหมดแทบจะเป็นของก็อปปี้ทั้งนั้น
แม้ว่ามีราคาถูก แต่ก็ถือเป็นรองเท้าที่ทดทานต่อทุกสภาพสนาม ไม่ว่าจะเป็น หิน ดิน ทราย “ตราไก่” สามารถผ่านได้ทุกสมรภูมิชนิดไม่มีคำว่า “เสียดาย” ส่วนสตั๊ดตราไก่ “Le Coq Sportif” ของแท้ในยุคนั้นก็มีขายแต่ราคาดีดตัวสูงไปสักหน่อย และรุ่นที่คลาสสิคที่สุดก็ต้องยกให้ “ตราไก่” สีดำที่มีแถบสีขาวด้านข้าง 4 แถบ ถือเป็นพิมพ์นิยมของ สตั๊ด “ตราไก่” ในอดีต
Puma King
อีกหนึ่งสตั๊ดรุ่นที่ผลิตมานานแต่ก็ยังเป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กไทยยุค 90s ที่อยากจะได้มาครอบครองเป็นเจ้าของสำหรับ Puma King รองเท้าสตั๊ดที่ได้ชื่อว่าแข็งแรงทนทานมากที่สุดรุ่นหนึ่ง แม้ว่าราคาอาจจะดูสูงไปหน่อยสำหรับเด็กไทย โดยเฉพาะตัวท็อปที่ทะลุหลักหลายพันบาทเมื่อสิบกว่าปีก่อน
Puma King เปิดตัวครั้งแรกในปี 1968 นักเตะระดับโลกในอดีตไม่ว่าจะเป็น เปเล่, ดีเอโก้ มาราโดน่า, ยูเซบิโอ ต่างก็เคยสวมใส่สตั๊ดรุ่นนี้ลงไปวาดลวดลายในสนามมาแล้ว และมันก็ถือเป็นหนึ่งในสตั๊ดอมตะที่ยังคงมีการพัฒนาใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ วางขายมาจนถึงปัจจุบัน
Diadora
อีกหนึ่งแบรนด์ยอดฮิตของเด็กยุค 90s ก็คือ “Diadora” ที่หลายคนใช้เป็นอาวุธคู่กายสำหรับลงไปปะทะฝีเท้ากับเพื่อนๆในสนาม ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนไทยก็เพราะ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ดาวยิงทีมชาติอิตาลี ใส่สตั๊ดรุ่นนี้ยิงจุดโทษข้ามคาน ส่งให้ บราซิล ก้าวสู่แชมป์โลกในปี 1994
หากเปรียบเป็นบทแสดงในบทละครก็คงเป็น “ตัวร้าย” แต่ก็ไม่ได้ทำให้ นักเตะเจ้าของฉายา “เปียทองคำ” ได้รับความนิยมน้อยลงไปด้วย และการที่ Diadora ดึงนักเตะดึงๆ อย่าง รอย คีน, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ และ คริสเตียน วิเอรี่ เข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์สวมใส่สตั๊ดรุ่นนี้ ก็ทำให้ยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไปอีก
ด้วยราคาที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับแบรนด์ดังๆ ยี่ห้ออื่นๆ ทำให้เด็กยุคนั้นสามารถซื้อไปเป็นเจ้าของได้
Pan Patriot
นี่คือรองเท้าสตั๊ดสัญชาติไทยรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งของเด็กไทยยุค 90s สำหรับรองเท้าค่าย แพน ในรุ่น “Patriot” ที่หลายคนเคยเสียเงินเพื่อให้ได้รองเท้าคู่นี้มาครอบครอง
ในเวลานั้น แพน เป็นแบรนด์ไทยเพียงยี่ห้อเดียวที่พอจะแย่งส่วนแบ่งของตลาดซื้อขายรองเท้าสตั๊ดในกลุ่มคนไทย โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดตัวสตั๊ดรุ่น “Patriot” ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีไซน์ที่สวยงามสะดุดตาไปจากรุ่นอื่นๆ
แถมคุณสมบัติที่ผู้ผลิตโฆษณาออกมานั้น มีทั้งเรื่องการสัมผัสบอล หรือจะปั้นโค้งๆ รุ่นนี้ก็ทำได้ดี แถมวัสดุ ทำจาก หนังจิงโจ้ ก็ทำให้ทนทานทุกสภาพสนาม และการดึงนักเตะขวัญใจเด็กไทยอย่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และ “แบน” ธชตะวัน ศรีปาน เข้ามาเป็น พรีเซ็นเตอร์ ก็ทำให้เด็กไทยหันมาใส่ แพน กันมากขึ้นกว่าเดิม
Nike Tiempo
นี่คือสตั๊ดรุ่นที่ฮิตกันตั้งแต่เด็กยุค 90s ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับ “Nike Tiempo” ที่ไม่ว่าจะออกมากี่รุ่นก็มีดีไซน์คล้ายๆกันอยู่เสมอ โดยที่มี ตราไนกี้ โดดเด่นสง่าอยู่ด้านข้างรองเท้า
รองเท้าสตั๊ดไนกี้ตระกูล “Tiempo” เริ่มผลิตครั้งแรกในปี 1984 ในรุ่น “Tiempo D” ก่อนจะพัฒนามาเรื่อยๆ โดยที่ปรับเปลี่ยนลวดลายเล็กน้อยในแต่ละครั้ง กระทั่งรุ่นที่ทำให้คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างมากก็คือ “Tiempo Premier M” ที่ผลิตออกมาในปี 1994 เปิดตัวในฟุตบอลโลกที่สหรัฐอเมริกา ที่มี โรมาริโอ้ สวมใส่
“Tiempo” อาจจะดูเรียบง่าย แต่ก็เล่นเอาเด็กไทยยุคนั้นกระเป๋าแฟบมาทั่วหน้า เพราะราคานั้นก็สูงเอาเรื่องเช่นกัน ขณะที่ระยะหลังๆ Nike Tiempo มีการเพิ่มเติมสีสันเข้ามาด้วยการเปลี่ยนโทนสีให้สดใสขึ้น
Nike Air Mercurial
โรนัลโด้ (R9) ถือเป็นนักเตะระดับโลกที่มีอิทธิพลต่อเด็กไทยยุค 90s เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ จาก Winning Eleven (Pro Evolution Soccer ในปัจจุบัน) เกมฟุตบอลยอดฮิตในเวลานั้นที่ซุปเปอร์สตาร์แซมบ้ารายนี้แทบคือนักเตะที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดในเกม ทำให้เด็กไทยหลายคนยกให้ ดาวยิงร่างท้วมคนนี้เป็น ไอดอล
“Nike Air Mercurial” ถูกผลิตออกมาเพื่อ โรนัลโด้ ยอดกองหน้าของโลกในยุคนั้น ตามคอนเซ็ปต์ที่ว่า “นักเตะที่ดีที่สุดในโลกใส่รองเท้าที่ดีที่สุดในโลก” โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักเบา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการผลิตสตั๊ดเลยทีเดียว และการที่ โรนันโด้ สุดยอดดาวยิงชาวบราซิล เป็นพรีเซ็นเตอร์ จึงกลายเป็นสตั๊ดรุ่นที่เด็กยุคนั้น ไขว่คว้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นเจ้าของ
และรองเท้ารุ่นนี้ ก็ได้เป็นต้นแบบของรองเท้าสายสปีดอย่าง Nike Mercurial Vapor ที่ถือกำเนิดในปี 2002 และกลายเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมตลอดกาลมาจนถึงปัจจุบัน
Adidas Copa Mundial
หนึ่งในสตั๊ดรุ่นคลาสสิคที่สุดตลอดกาลที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก นั้นก็คือ Adidas “Copa Mundial” ที่เรียกว่านิยมกันมานานมากกว่า 30 ปี ซึ่งคนที่จะได้สวมใส่รองเท้าคู่นี้ก็ต้องเป็นประเภทมีฐานะกว่าชาวบ้านหน่อย เพราะราคาค่อนข้างสูง เรียกว่าเด็กยุค 90s ใครใส่คู่นี้ลงสนามเท่สุดๆ
Adidas Copa Mundial ผลิตครั้งแรกในปี 1979 โดยเป็นรองเท้าฟุตบอลหนังจิงโจ้เกรดพรีเมี่ยม ทำให้การสวมใส่ค่อนนุ่มสบาย แถมทนทานใช้ได้นาน หากรักษาดีๆ สามารถสวมใส่ได้นานเป็น 10 ปี โดยปัจจุบันสตั๊ดรุ่นนี้ก็ยังเป็นที่ต้องการของใครหลายๆ คน และยังมีขายมาจนถึงปัจจุบัน
Mizuno Wave Cup
การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกของ ทีมชาติบราซิลในปี 2002 ทำให้สตั๊ด “Mizuno Wave Cup” เป็นที่รู้จักของเด็กไทยทันที
เมื่อ “มิซูโน่” จับ ริวัลโด้ หนึงใน 3 ประสานแนวรุกของบราซิล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทำให้สตั๊ดรุ่นนี้เป็นที่ต้องการของเด็กไทยหลายคน โดยเฉพาะคนที่มี จอมทัพเบอร์ 10 แห่งทีมแซมบ้าและ บาร์เซโลน่า เป็นไอดอล
ความจริงแล้ว “Mizuno Wave Cup” ผลิตขึ้นในปี 1997 ด้วยเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้สตั๊ดรุ่นดังกล่าวมีขนาดเบา ทนทาน จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในรุ่นที่ดีที่สุดในเวลานั้น ก่อนที่จะมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในปี 2002 และปัจจุบันรุ่นนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดซื้อขายรองเท้าสตั๊ดมือสอง
Adidas Predator
แฟนบอลสาย “สามแถบ” รุ่นเก๋าอาจจะมี Copa Mundial เป็นสตั๊ดในดวงใจ แต่แฟนบอลรุ่นใหม่ที่เริ่มติดตามฟุตบอลมาตั้งแต่ยุค 90s แทบจะร้อยทั้งร้อย ต้องมี Predator เป็นรองเท้าในฝันอย่างแน่นอน
จากจุดเริ่มต้นที่ เคร็ก จอห์นสตัน อดีตนักเตะ ลิเวอร์พูล ออกแบบสตั๊ดรุ่นนี้เมื่อปี 1994 Accelerator เจเนเรชั่นที่ 4 ของสายพันธุ์นี้ในปี 1998 ถือเป็นรุ่นที่ “นักล่า” แห่งพื้นหญ้าสร้างชื่อเป็นที่จดจำมากที่สุด กับการออกแบบแนวเชือกไม่สมมาตร เพื่อเพิ่มเนื้อที่ให้ “แถบปั่น” สัมผัสลูกบอลมากที่สุด
นี่คือสตั๊ดที่นักเตะระดับตำนานอย่าง ซีเนดีน ซีดาน กับ เดวิด เบ็คแฮม เลือกใช้ และมันก็ได้เป็นดาวค้างฟ้า ถึงกับทำให้ Adidas ต้องรีเมคให้แฟนบอลได้เสียตังค์กันเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้
คุณกำลังดู: เคยใส่กันไหม? : รองเท้าสตั๊ดในความทรงจำเด็กไทยยุค 90s
หมวดหมู่: ฟุตบอลต่างประเทศ