รีวิวคอนเสิร์ต Stray Kids ว่าที่โชว์ K-POP ในไทยที่ดีที่สุดแห่งปี 2023

คอนเสิร์ต STRAY KIDS 2ND WORLD TOUR “MANIAC” Live in Bangkok สร้างบรรทัดฐานที่น่าเอาเยี่ยงอย่างสำหรับคอนเสิร์ตศิลปิน K-POP เอาไว้ในหลายๆ เรื่อง Stray Kids สร้างบาร์คอนเสิร์ตศิลปิน K-POP ในไทยเอาไว้สูงมากตั้งแต่ต้นปี เพราะอะไรเราถึงมั่นใจขนาดนั้น

STRAY KIDS 2ND WORLD TOUR “MANIAC” Live in Bangkok จัดโดย Live Nation Tero เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่ 2 ของเด็กหลง Stray Kids ที่ห่างหายไปนาน 3 ปี กลับมาคราวนี้แฟนๆ ทั้งที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ตั้งแต่สมยัแรกๆ และแฟนๆ ที่เพิ่งมาตามได้ไม่นาน รวมถึงแฟนๆ ชาว K-POP ที่อยากจะชมคอนเสิร์ตของ Stray Kids ด้วยตาตัวเองสักครั้ง ต่างคาดหวังกับทัวร์คอนเสิร์ตในครั้งนี้มาก ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่อัดแน่นไปด้วยเพลงใหม่ที่ปล่อยในปี 2022 อย่าง “MANIAC” และ “CASE 143” แต่รวมไปถึงโปรดักชั่นสุดอลังการที่แฟนๆ ตัวจริงที่เคยเห็นในคอนเสิร์ตออนไลน์และแฟนแคมจากต่างประเทศมาแล้วต้องขอดูด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต

STRAY KIDS 2ND WORLD TOUR “MANIAC” Live in Bangkok จัดขึ้น 2 รอบ รอบวันที่ 2 และ 3 ก.พ. ที่ อิมแพ็ก อารีน่า เมืองทองธานี รอบที่ผู้เขียนได้ไปคือรอบวันแรก หลังจากฝ่ารถติดบนถนนแจ้งวัฒนะในวันพฤหัส วิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปนั่งประจำที่ในฮอลล์ได้เรียบร้อยแล้ว หนุ่มๆ Stray Kids ก็เริ่มเปิดตัวในเวลา 19.00 น. เศษๆ ด้วย “MANIAC” เพลงในอัลบั้ม ODDINARY ที่เป็นธีมหลักของทัวร์คอนเสิร์ตในครั้งนี้ ท่าเต้นไขน็อตที่ศีรษะที่ทรงพลัง เป็นเอกลักษณ์จำง่าย และท่อนฮุคจากเสียงต่ำๆ ของหนุ่มเฟลิกซ์ยังคงทำให้ประทับใจได้อยู่เสมอ ต่อด้วย “VENOM” ที่โปรดักชั่นอลังการงานสร้างด้วยขาแมงมุมขนาดยักษ์ขยับได้ปรากฏอยู่บนเวที โดยมีจอ LED ลักษณะกลมๆ ซ้อนกันสองวงอยู่ตรงกลางในตำแหน่งที่เป็นเหมือนกับศีรษะและลำตัวของแมงมุม เป็นแมงมุมยักษ์ปรากฏอยู่บนเวทีที่ไม่ได้เป็นแต่ภาพกราฟิกแบบ 2D แต่มาแบบ 3D เลย พร้อพแมงมุมนี้ถือเป็นไฮไลต์หนึ่งของคอนเสิร์ตที่ดึงความสนใจของแฟนๆ ทั้งฮอลล์ได้ตั้งแต่เริ่มโชว์

ขาแมงมุมยังไม่รีบเก็บ ต่อด้วย “Red Lights” เวอร์ชั่น 8 คนครบทีมที่ยังคงสานต่อธีมแมงมุมด้วยสายยางยืดที่ปล่อยอกมาจากด้านหลังมาดึงตรงส่วนคอของแต่ละคนระหว่างเต้น เหมือนเป็นใยแมงมุมที่ปล่อยออกมา แสงและสีเป็นสีแดงเข้ากับชื่อเพลง แค่เปิดโชว์ก็ทำให้ผู้เขียนอ้าปากค้างได้เรียบร้อยแล้ว

เพลงในคอนเสิร์ตของ Stray Kids เต็มไปด้วยดนตรีหนักๆ เร็วๆ ที่ทำให้ศิลปินและแฟนๆ เต้นกันไม่หยุด แต่สมาชิกทุกคนก็ดูจะมีเรี่ยวแรงที่ดีไม่ค่อยเหนื่อยให้เห็นเท่าไร ตั้งแต่ “ALL IN”, “District 9”, “Back Door” ที่เต้นติดๆ กัน แล้วค่อยพักมายืนร้องเพลงโชว์พลังเสียงใน “Lonely St.” ยังร้องสดกันเต็มเสียงโดยไม่มีเสียงหอบ แล้วก็กลับไปเต้นแบบจัดเต็มจนหัวสะบัดกันอีกครั้งกับ “Side Effect” (เพลงโปรดของผู้เขียน), “Thunderous”, “DOMINO”, “God’s Menu” ที่เริ่มมีวงดนตรีสดเข้ามาเพิ่มความมันความหนักของดนตรีให้เพลงสนุกและทรงพลังมากขึ้นไปอีก 200%

วงดนตรีสดยังคงเพิ่มพลังและความสดใหม่ให้กับเพลงอย่างต่อเนื่องไปถึง “CHEESE”, “YA YA YA” และ “ROCK” ก่อนจะให้แฟนๆ ได้พักหายใจหายคอด้วยการแสดงแยกยูนิต เริ่มด้วยโวคอลไลน์กับ “Waiting For Us” ของบังชาน ลีโนว ซึงมิน และ ไอเอ็น และยูนิต “Muddy Water” กับ ชางบิน ฮยอนจิน เฟลิกซ์ และ ฮัน

เผลอแปบเดียว (รู้สึกว่าแปบเดียวจริงๆ) ก็เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของคอนเสิร์ต มาพร้อมเพลงเดือดๆ อีกเช่นเคย ทั้ง “CASE 143”, “Hellavator”, “TOP” และ “Victory Song” ที่เป็นเวอร์ชั่นงาน MAMA ก่อนที่หนุ่มๆ จะหายเข้าไปด้านหลังรอช่วงเวลาอังกอร์

Stray Kids สร้างมิติใหม่ในการรอช่วงอังกอร์ไม่ให้น่าเบื่อด้วยเกมสนุกๆ ให้แฟนๆ ชาว STAY ได้เล่นไปด้วยกันฆ่าเวลา กล้องจับไปที่ใคร คนนั้นต้องทำมิชชั่นให้สำเร็จ เช่น เต้นแล้วโพสต์ท่าตอนจบให้เหมือนกันรูปของสมาชิกที่อยู่บนจอ และการส่งเสียงกรี๊ดให้ดังจนกว่าจะถึงจุดที่ตั้งไว้ (แน่นอนว่าไมไ่ด้วัดเสียงกันจริงๆ หรอก เป็นการวอล์มอัพเสียงแฟนๆ ก่อนหนุ่มๆ จะปรากฏตัวมากกว่า ซึ่งเป็นวิธีที่สนุกและได้ผลดีมาก) หนุ่มๆ Stray Kids กลับมาพร้อมเพลง “FAM” แนะนำสมาชิกทีละคนผ่านเพลงพร้อมแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาไทยให้บนจอเรียบร้อย ต่อด้วย “MIROH” สุดเท่, “Star Lost” และปิดท้ายด้วย “Haven” ก่อนจะโบกมือลาพร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาหาแฟนๆ ชาวไทยอีกแน่นอน

Stray Kids ทำการแสดงได้อย่างมีพลังและสนุกจนผู้เขียนเองก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ มือไม้หัวเหอโบกสะบัดตามจังหวะมันๆ ของเพลงตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องรู้สักเพลงของ Stray Kids ทุกเพลงก็สนุกไปกับคอนเสิร์ตนี้ได้ ที่ชอบมากๆ คือ โปรดักชั่นของเวทีที่จัดเต็ม ทั้งขาและใยแมงมุม พื้นไฮโดรลิกยกระดับ เครื่องพ่นควัน ไฟกลมๆ ด้านบน รวมไปถึงวงดนตรีสดที่เล่นได้ดี ดุดันไม่เกรงใจ Stray Kids ที่เต้นอย่างเอาเป็นเอาตายบนเวที และ VCR ที่ลงทุนกับโปรดักชั่นมาก และมีการเล่าเป็นเรื่องราว แม้ว่าจะนานแต่ก็ไม่น่าเบื่อ เรียกว่าแทบไม่มีช่วงที่ทำให้รู้สึกเบื่อจนต้องหยิบมือถือมาเล่นเลยดีกว่า

ไม่แปลกใจที่ Stray Kids ตกแฟนบอยได้เยอะ เพราะสมาชิกแต่ละคนมีความน่ารักแบบไม่ประดิษฐ์ ไม่ต้องทำตัวน่ารักหรือเซ็กซี่มากเกินไปจนแฟนเพลงผู้ชายอาจจะไม่อิน แต่ทุกคนแสดงออกมาในทุกๆ อย่าง ทั้งระหว่างเพอร์ฟอร์มและระหว่างการพูดคุยโดยไม่มีการแจกแฟนเซอร์วิสทำท่าเอคโย่น่ารักๆ มากเกินไป จึงทำให้แฟนบอยไม่รู้สึกอึดอัดและชอบ Stray Kids ได้อย่างเปิดเผยไม่เคอะเขิน

สมาชิกแต่ละคนมีพลังเท่าๆ กันไม่มีใครเต้นหรือร้องหนักเบาไปกว่ากัน ประทับใจในความน่ารักของลีโนวกับเพลง “Ditto” ของ NewJeans ที่ร้องให้แฟนๆ ฟังช่วงที่อีกทีมไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เอ็นดูบังชานที่ทำการแสดงทั้งเต้นและร้องได้อย่างเพอร์เฟกต์มาตลอดทั้งโชว์ แต่มาตกม้าตายเอาตอนร้องเพลงเดี่ยวช่วง Talk ความเล่นหูเล่นตาแพรวพราวของฮยอนจิน แร็ปเดือดๆ ในเพลง “Mirror Mirror” จาก ชางบิน (เพลงที่ชางบินทำกับ F.HERO และ MILLI และ F.HERO ก็อยู่ชมคอนเสิร์ตในวันนั้นด้วย) ความน่ารักแบบแมวๆ แต่มาพร้อมเสียงต่ำสุดเท่ของเฟลิกซ์ เสียงสวรรค์ของไอเอ็นและซึงมิน และแร็ปทรงพลังเสียงลั่นฮอลล์ของฮัน สมาชิกแต่ละคนแสดงความสามารถของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจนผ่านเพลงในแต่ละเพลง และขอเคารพและยืนปรบมือให้ดังๆ กับการร้องเพลงสดๆ ตลอดการแสดงคอนเสิร์ตทั้ง 3 ชั่วโมง แม้ว่าจะมีแบ็กกิ้งแทร็คช่วยในเพลงเร็วๆ แต่เราก็ยังได้ยินเสียงร้องสดในทุกเพลงที่แสดง ย้ำว่าทุกเพลง ต่อให้เต้นแรงแค่ไหนพวกเขาก็ยังหาช่วงที่จะร้องสดออกมาให้ได้ยิน สปิริตและความแข็งแรงของร่างกายถือว่ายอดเยี่ยม

ขอชมอีกเรื่องคือการจัดเพอร์ฟอร์มานซ์รวมเพลงเดือดๆ เต้นหนักๆ เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นช่วงที่ไฮป์แฟนๆ ได้อยู่หมัด แต่สลับการเต้นไปกับการเอนเตอร์เทนแบบร้องอย่างเดียวบนเวทีแต่เพลงยังร็อคอยู่ ทำให้อารมณ์ของเพลงมีความต่อเนื่องและแฟนๆ ไม่ทันได้สังเกตว่าหนุ่มๆ ไม่ได้เต้น แต่เดินและวิ่งไปร้องไปมากกว่า ช่วยรักษาพลังงานของตัวเองและพลังงานความร้อนแรงระหว่างแสดงคอนเสิร์ตในเวลาเดียวกันได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าจะมีบางช่วงที่ Stray Kids ได้โชว์พลังเสียงเต็มๆ จากการยืนร้องเพลงสดๆ แต่จากความเห็นส่วนตัวของเราในแง่ของโวคอลอาจจะยังไม่ได้ให้คะแนนเต็มร้อยกับสมาชิกทุกคน และอาจยังไม่ค่อยมีเพลงช้าที่เน้นพลังเสียงเต็มที่มากขนาดนั้น แต่ถ้าพูดถึงพลังอันล้นเหลือที่เราสัมผัสและได้รับจากหนุ่มๆ รวมถึงความสนุกที่ค้างในใจของเราข้ามวันข้ามคืน ส่วนนี้เราขอให้ 200 คะแนน เพราะคอนเสิร์ตคือเพอร์ฟอร์มานซ์ ต้องดูแล้วสนุก ถ้าจะมีผิดพลาดหรือมีความไม่เพอร์เฟกต์ในส่วนไหนไปบ้าง ก็ไม่สำคัญหนัก ถ้าดูแล้วสนุก ทำได้ดีไม่ขัดหูขัดตาชัดเจน ก็ถือว่าเป็นการแสดงที่ประสบความสำเร็จแล้ว

นอกจากนี้ ที่สงสัยและไม่แน่ใจ คือแท่งไฟในคอนเสิร์ตไม่เปลี่ยนสี ถ้าเปลี่ยนสีไปตามเพลงได้เหมือนคอนเสิร์ตอื่นๆ จะยิ่งทำให้คอนเสิร์ตในครั้งนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก รวมไปถึงการไม่มีป้ายคอนเสิร์ตเหนือประตูด้านหน้าอารีน่าเหมือนงานอื่นๆ และจำนวนผู้ชมในฮอลล์ทั้งด้านบนและด้านล่างที่ว่างโล่งหลายที่ เหตุจากราคาบัตรที่สูงกว่าคอนเสิร์ตในสเกลและศิลปินระดับใกล้เคียงกัน (บัตรราคา 4,800 บาทที่บางคอนเสิร์ตได้โซนยืนหน้าเวที แต่คอนเสิร์ตนี้ได้ที่นั่งชั้น 3) และการจัดคอนเสิร์ตในวันธรรมดาและเลือกจัดเวลาตอน 19.00 น. ซึ่งค่อนข้างเร็ว จนทำให้หลายคนต้องโดดเรียน ลางานเพื่อมาชมคอนเสิร์ต ใครที่ไม่สามารถทำได้จึงต้องเป็นทีมหน้าจอแทน

แต่ไม่ว่าอย่างไร Stray Kids ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปิน K-POP ที่มีหมดทั้งแสงสีเสียงที่ดี โปรดักชั่น ความครีเอทีฟของอุปกรณ์ประกอบฉาก การฆ่าเวลาด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่ทำให้การรอคอยน่าเบื่อ VCR ที่ดึงความสนใจของคนดูได้ตลอด การแสดงทั้งร้อง เต้น เล่น แร็ปแบบไม่มีกั๊ก ความเป็นอิสระในการเลือกร้องเพลงบนเวที และความเก่งแบบเป็นธรรมชาติที่ดูไม่ฝืนตัวเอง ทั้งหมดส่งผลให้เราเลือกคอนเสิร์ตของ Stray Kids เป็นว่าที่คอนเสิร์ตที่ดีที่สุดประจำปี 2023 ตั้งแต่ต้นปีแบบไม่กังวลว่าใน 10 เดือนที่เหลือจะเป็นคอนเสิร์ตของใคร เพราะ Stray Kids สร้างบาร์เอาไว้สูงมาก

ครั้งหน้า Stray Kids ควรได้แสดงในสเตเดี้ยมขนาดใหญ่ ได้ส่งพลังให้กับคนทั้งสเตเดี้ยม พร้อมแสง สี เสียง พลุ และอุปกรณ์ประกอบฉากใหญ่ๆ อลังๆ มาอีก และวันนั้นเราก็จะไปนั่งอยู่ในนั้นด้วยอีกครั้ง (แต่ขอราคาบัตรที่สมเหตุสมผลกว่านี้ และจัดในวันเสาร์อาทิตย์)

We make our Stray Kids STAY.

คุณกำลังดู: รีวิวคอนเสิร์ต Stray Kids ว่าที่โชว์ K-POP ในไทยที่ดีที่สุดแห่งปี 2023

หมวดหมู่: เพลง