Sandra Bullock และ Julia Roberts การท้าชิงความเป็นหนึ่งแห่งยุค โดย ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส
ต้นยุค 2000 หากจะมีดาราสาวสักคนที่มาโค่นตำแหน่งราชินีแห่งยุคอย่าง Julia Roberts ก็ต้องเป็น Sandra Bullock คนนี้คนเดียวเท่านั้นที่ทับทางกันแบบหายใจรดกกหู โดย ตั๋วร้อนป๊อปคอร์นชีส
Sandra Bullock ช่วงที่ขึ้นหม้อสุดๆ คือต้นยุค 2000 เพราะเธอมีความครบเครื่องเรื่องการแสดงในหนังทุกแนว จะให้เอาฮาแบบหนังบู๊นางงามอย่าง Miss Congeniality ก็ได้ จะโรแมนซ์หวานๆน้ำตาลขึ้นแบบ The Lake House ก็เอาอยู่ หรือจะดราม่าขายฝีมือแบบ Crash ดีล่ะ และในหนังรอมคอม Two Weeks Notice ก็เล่นได้น่ารักน่าหลงไหล ที่พูดมานั้นเป็นหนังทำกำไรงามทั้งหมดเลย จึงกลายเป็นว่าหากจะมีดาราสาวสักคนที่มาโค่นตำแหน่งราชินีแห่งยุคอย่าง Julia Roberts ได้ก็ต้องเป็น Sandra Bullock คนนี้คนเดียวเท่านั้นที่ทับทางกันแบบหายใจรดกกหู
แต่ยุคนั้น Sandra Bullock ค่าตัวยังไม่เท่า Julia Roberts เพราะหลังจากสั่งสมบารมีมาตั้งแต่ Pretty Woman ทำให้เธอกลายเป็นดาราที่เริ่มมีค่าตัวมหาโหด โดยเฉพาะในหนังโรแมนติก-คอมเมดี้(รอมคอม)ที่เป็นทางถนัด เธอมาเริ่มโกยหนักก็ตอนเล่น My Best Friend's Wedding ที่รับค่าตัวไป 12 ล้านเหรียญ แต่มันก็คุ้มเพราะหนังทำกำไรอื้อซ่า จนเป็นที่มาของการเริ่มขยับเพดานค่าตัวไปอีก ดาราสาวปากกว้างตอนนั้นรับค่าตัวจาก Notting Hill ไป 15 ล้านเหรียญ และจากความฮิตระดับโคตรพ่อโคตรแม่ ทำให้ค่าตัวของเธอเริ่มทะลุไปถึง 20 ล้านเหรียญ/ต่อเรื่อง ไม่ว่าจะฟอร์มเล็กฟอร์มโตอย่าง The Mexican และ Erin Brockovich อะไรพวกนี้ก็ตกลงไว้ที่ 20 ล้าน ลดได้นิดหน่อย แต่ก็ต้องมาดูว่าจะปันผลกำไรจากหนังได้ด้วยหรือไม่ เพราะยุคนั้นหนังที่มีชื่อ Julia Roberts แปะบนโปสเตอร์ การันตีรายได้แทบทุกเรื่อง จะเอาเธอไปเล่นก็ต้องวัดใจกันนิดนึง
ส่วนทางฝั่ง Sandra Bullock นั้นเธอมีค่าตัวอยู่ราวๆ 10-12 ล้านเหรียญ/ต่อเรื่อง โดยค่าตัวสูงสุดที่เธอได้รับในตอนนั้นคือ 12.5 ล้านเหรียญ จากหนัง 28 Days แต่หนังค่อนข้างแป้กทั้งรายได้และคำวิจารณ์ เพราะยุคนั้นถ้ารอมคอม ฝั่งสาวปากกว้างจะกินเรียบ และถ้ามีใครเผยอมาเล่นแนวคล้ายๆกัน ก็จะถูกนำไปเปรียบเทียบโดยอัตโนมัติ จนกระทั่ง Sandra Bullock ฟื้นกลับมาได้จากหนังตลกแอ็คชั่นวงการขาอ่อนนางงามของ Warner Bros. Pictures อย่าง Miss Congeniality และหลังจากนั้น Warner Bros. ก็วัดดวงกับเธออีกครั้ง โดยให้ประกบกับ Hugh Grant คู่ขวัญของ Julia Roberts จาก Notting Hill ในหนังรอมคอม Two Weeks Notice วัดกันไปเลย จะไม่มีความน่ารักไหนโค่น Julia Roberts ลงได้เชียวหรือ แต่แล้วหนังก็ทำเงินไป 200 ล้านเหรียญ ถือว่าได้ผลทันตาเห็น ส่งให้ Sandra Bullock ก้าวมาชิงชัยในตำแหน่งนางเอกแห่งยุคอีกคนจาก Julia Roberts ที่ค่าตัวมหาโหด
อันที่จริงเธอทั้งสองก็ไม่ได้มานั่งแข่งขันกันใดๆ แต่มันเป็นเรื่องของทางเอเจนซี่ดารา และผู้สร้าง ที่พยายามจะหาดารามาเป็นทางเลือกให้ผู้สร้าง เพราะขืนผูกขาดอยู่แค่คนใดคนหนึ่ง คนดูจะพากันไม่เปิดรับอะไรเลย ทำให้ค่าตัวอาจเทไปลงให้กับดาราเพียงคนเดียว เพราะผู้สร้างอยากได้มาเล่นก็ต้องสู้กัน จึงเป็นเหตุผลที่ฮอลลีวู้ดพยายามจะดันดาราคนอื่นขึ้นมาทดแทน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายหนัก เป็นยุคที่สตูดิโอต่างควานหานางเอกมาปั้นกันให้ควั่ก ทั้ง Reese Witherspoon , Cameron Diaz , Jennifer Aniston , Jennifer Lopez , Kate Hudson , ฯลฯ หรือแม้แต่ดาราที่ชื่อเสียไปแล้วในเวลานั้นอย่าง Drew Barrymore ก็ถูกขุดขึ้นมาท้าชนจนกลับมาได้ ซึ่งทุกๆคนก็ล้วนประสบความสำเร็จในงานแนวรอมคอมเป็นอย่างดี แต่ก็ยังวัดรอยเท้า Julia Roberts ไม่ได้เช่นกันในการเรียกค่าตัว
แต่การที่ดาราสักคนโด่งดังกับหนังแนวเดียวมากๆมันก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวดาราคนนั้นด้วย Julia Roberts ถือเป็นดาราที่ติดหล่มความสำเร็จนั้น ทั้งๆที่เธอเล่นได้หลากหลายบทบาท อย่างสมัยนั้นเจ้าแม่รอมคอมอีกคนคือ Meg Ryan ก็พยายามหักเลี้ยวไปรับงานแนวอื่นบ้าง แต่คนดูติดภาพแบ๊วๆไปแล้ว จนงานยุคหลังๆที่เธอพยายามจะฉีกไปรับเล่นเพื่อหนีเงาตนเอง กลายเป็นคนดูไม่เปิดใจรับซะอย่างงั้น Julia Roberts จึงเริ่มเพลาๆ งานแนวซ้ำ และปฏิเสธหนังที่เธอคิดว่าจะย่ำรอยเดิม
และสองโปรเจ็กต์ทุนต่ำเตี้ยที่โคตรอยากได้ Julia Roberts มาเล่นให้อย่าง หนังรอมคอม The Proposal ของ Touchstone Pictures บริษัทในเครือของ Walt Disney กับหนังกีฬา The Blind Side ของ Warner Bros. Pictures ที่จะสร้างในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งสองเรื่องถือเป็นหนังที่ฮอลลีวู้ดเริ่มจะไม่นิยมสร้างกันแล้วในยุคที่มีหนังล้ำๆไฮคอนเซ็ปต์โผล่มามากมาย มีการติดต่อ ส่งบทให้ Julia Roberts อ่านแล้วเรียบร้อย พร้อมๆกับข้อเสนอเรื่องค่าตัวที่อาจไม่ได้มากมายอะไร แต่จะไปเน้นหนักที่ผลกำไรตอนหนังฉาย ทว่าไม่มี 15-20 ล้าน Julia Roberts บอกไม่ต้องมาคุยกันให้เปลืองค่ากาแฟ ว่ากันว่าเธอเองก็เบื่อๆการเล่นหนังรอมคอมแนวซ้ำๆแล้ว และสำหรับ The Blind Side นั้นบทหนังโดยรวมน่าสนใจ แต่การต้องเล่นเป็นแม่ของเด็กวัยรุ่น อาจทำให้สถานะความเป็นนางเอกของเธอเปลี่ยนไป หลังจากนี้เธอก็อาจจะได้เล่นแต่บทแม่
ผู้สร้างอย่าง Walt Disney จึงหันไปหาดาราที่พอจะมีพลังเรียกคนดูได้ ในยุคนั้นก็เห็นจะมีแต่ Sandra Bullock ที่เริ่มสร้างบารมีขึ้นมาพอฟัดพอเหวี่ยงในทางโรแมนติกคอมเมดี้ ส่วน Warner Bros. เองที่เข็น Sandra Bullock มากับมือตั้งแต่เอาไปประกบ Nicole Kidman ใน Practical Magic จนหนังเจ๊งก็ยังไม่หมดศรัทธา เมื่อปั้นมากันขนาดนี้จึงส่งบท The Blind Side ไปให้ Sandra Bullock ว่าพอจะเล่นบทแม่ของเด็กวัยรุ่นให้ได้ไหม เพราะด้วยวัยด้วยบารมีก็น่าจะได้อยู่ เผื่อใครยังไม่ทราบว่า Sandra Bullock อายุเยอะกว่า Julia Roberts ถึง 4 ปี ซึ่งใครไม่รู้มองเผินๆอาจคิดว่า Julia Roberts แก่พรรษากว่า แต่ Sandra Bullock ปฏิเสธที่จะเล่น The Blind Side โดยให้เหตุผลเดียวกับ Julia Roberts คือ นี่พวกคุณจะให้ฉันเล่นเป็นแม่ของเด็กวัยรุ่นแล้วเหรอ แต่เมื่อได้ศึกษาเรื่องราวและอ่านบท Sandra Bullock ก็พบว่าเป็นโอกาสที่จะต้องคว้าไว้ แม้จะต้องลดค่าตัวลงหรือเสี่ยงต้องเล่นบทแม่ไปตลอดก็ตาม
Sandra Bullock รับค่าตัวล่วงหน้าจากหนังทั้งสองเรื่องอยู่ที่ 5 ล้านเหรียญ บวกออพชั่นเสริมเปอร์เซ็นต์จากผลกำไรของหนังทั้งสองเรื่อง และด้วยเคมีที่เข้ากันของ Sandra Bullock กับ Ryan Reynolds นั่นส่งให้ The Proposal หนังรอมคอมที่คนบอกว่าล้าหลังไปแล้ว ฟาดรายได้ไปทั้งสิ้น 317.4 ล้านเหรียญ ด้วยทุนสร้างเพียง 40 ล้านเหรียญ Sandra Bullock โกยเงินเข้ากระเป๋าไปทั้งสิ้น 36 ล้านเหรียญเหนาะๆเพราะเธอเป็น Executive Producer เองกับมือ ตามด้วยหนังกีฬา The Blind Side ที่เข้าฉายปลายปีเดียวกัน ซึ่งผู้สร้างเองก็ใจตุ้มๆต่อมๆเพราะก่อนหน้านั้น Sandra Bullock มีหนังรอมคอมอีกเรื่องอย่าง All About Steve ที่ผู้สร้างอีกเจ้าอยากตีเหล็กตอนร้อน ส่งหนังเข้าฉายหลัง The Proposal ติดๆ แต่หนังเจ๊งไม่เป็นท่าพร้อมโดนด่าเปิง นั่นทำให้ผู้สร้าง The Blind Side ว้าวุ่นใจเลยทีนี้
แต่ปรากฏว่าความดีงามของหนังและการโชว์ฟอร์มของ Sandra Bullock ทำให้หนังกีฬาอย่าง The Blind Side ฟันรายได้ไปกว่า 309.2 ล้านเหรียญ ด้วยทุนเพียง 29 ล้านเหรียญ Sandra Bullock จึงรับทรัพย์ไปเน้นๆ 20 ล้านเหรียญ แถมมันยังส่งให้เธอคว้าออสการ์นำหญิงไปนอนกอดที่บ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ฮามาก เพราะในปีเดียวกันเจ๊ก็ไปขึ้นรับรางวัลราสซี่อวอร์ด ดารายอดแย่ประจำปีจากหนัง All About Steve ด้วยตนเอง ทำให้ในปีนั้นเธอเป็นดาราหญิงที่ได้รางวัลดีสุดและเลวสุดในปีเดียวกัน
แต่จากการก้าวสู่ทำเนียบดาราคุณภาพที่ทำเงินหนักๆเน้นๆในหนังสองเรื่องนั้น ทำให้ Sandra Bullock มีอำนาจต่อรองขึ้นมากกว่าเดิม เพราะในเวลาต่อมากับหนังไซไฟอย่าง Gravity ที่เธอแทบจะโซโล่เดี่ยวในหนังนั้น เธอฟันค่าตัวล่วงหน้าไป 20 ล้านเหรียญ บวก 15 เปอร์เซ็นต์จากกำไรของหนัง แน่นอนว่า Gravity เฮี้ยนหนักมาก เพราะถล่ม Box office ไปถึง 723.2 ล้านเหรียญทั่วโลก นั่นทำให้เธอรับเงินเข้าบัญชีไปกว่า 74 ล้านเหรียญ กลายเป็นดาราหญิงเบอร์ 1 ที่ทำเงินต่อหนังหนึ่งเรื่องเยอะที่สุดจนไม่มีใครโค่นได้จนถึงทุกวันนี้ และ Gravity ส่งให้ Sandra Bullock เข้าชิงออสก้าร์ไปสบายๆอีกปี ก่อนจะพ่ายให้กับ Cate Blanchett จาก Blue Jasmine
หลังจากไต่ขึ้นจุดสูงสุด Sandra Bullock ก็ห่างหายไปจากจอ เพราะใช้ชีวิตทุ่มเทให้กับครอบครัว ว่ากันว่าเพราะค่าตัวและการต่อรองแสนโหดของเธอ กับยุคสมัยที่เริ่มเปลี่ยนไป มีดาราหญิงหลายๆคน หลากชาติพันธุ์ ก้าวขึ้นมายืนแถวหน้าแบบที่ค่าตัวไม่ได้โหดเท่าไหร่ จุดต่ำสุดคืองานอย่าง Our Brand Is Crisis (2015) ที่บ้งทั้งรายได้และคำวิจารณ์ จนทำให้ Sandra Bullock ยอมลดเพดานค่าตัวลง เธอกลับมากับหนังรวมดาราหญิงอย่าง Ocean's 8 ด้วยค่าตัว 6 ล้านเหรียญขำๆ (ก็ยังอุตส่าห์ตามมาทับทาง Julia Roberts จากหนังตระกูล Ocean's Eleven อีก)
แต่การมาของเว็บสตรีมอย่าง Netflix ก็กลายเป็นแสงสว่างให้ Sandra Bullock อีกครั้ง เพราะพวกเขากล้าที่จะจ่ายให้เธอรับค่าตัว 17.5 ล้านเหรียญในการนำแสดงหนัง Bird Box ของพวกเขา ซึ่งก็มีสัญญาต่อเนื่องมาถึง The Unforgivable ที่เป็นงานสร้างของ Netflix อีกเช่นกัน แต่การโชว์ฟอร์มได้ดีใน Netflix ก็ส่งผลให้คนคิดถึงเธอบนจอใหญ่ นั่นทำให้เธอมีเรตค่าตัวปัจจุบันขึ้นมาเทียบเท่า Julia Roberts ในยุคหนึ่ง คือเรื่องละ 20 ล้านเหรียญขาดตัว จากหนัง The Lost City และ Bullet Train ที่ฉายในปี 2022 ซึ่งต่างก็ทำกำไรทั้งคู่
ในขณะที่ทางฝั่ง Julia Roberts แม้จะไม่ได้เป็นเบอร์ 1 ของวงการแล้ว แต่คนดูก็พร้อมควักกระเป๋าซื้อตั๋วเข้าไปดูเธอแสดงบ้างเช่นกัน แต่อาจด้วยเพราะพากันติดภาพนางเอกอบอุ่นแสนดี เพราะหากเธอพยายามฉีกหนีตัวตนไปรับเล่นหนังที่อาจไม่ใช่ภาพจำของเธอ รายได้ก็ไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด แต่เธอก็ยังขายดีในหนังอย่าง Wonder หรือ Ticket to Paradise อยู่เช่นกัน
นี่คือเรื่องราวการขับเคี่ยวกันของสองนักแสดงหญิงแห่งยุค ที่ผลัดกันก้าวขึ้นแท่นเบอร์ 1 ท่ามกลางการถือกำเนิดของดาราใหม่มากมาย เราจะเรียกว่าทั้งสองเป็นดาวค้างฟ้าก็ไม่ผิดนัก และแฟนๆอยากเห็นทั้งคู่แสดงประกบกัน ซึ่งพวกเธอไม่ปฏิเสธว่ายุคหนึ่งเธอเป็นคู่แข่งกันจริงๆ แต่ก็กำลังวางแผนที่จะมีหนังร่วมกัน ซึ่งเป็นโปรเจกต์ลับๆที่ทั้งคู่จะเล่นเป็นพี่น้องที่เกลียดกัน แต่ก็ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกัน นั่นคือกำไรคนดูเห็นๆ
คุณกำลังดู: Sandra Bullock และ Julia Roberts การท้าชิงความเป็นหนึ่งแห่งยุค โดย ตั๋วร้อน ป๊อปคอร์นชีส
หมวดหมู่: หนัง-ละคร