แบตฯใหญ่ วิ่งไกล แต่ยังไม่เข้าไทยนะจ๊ะ ส่อง 10 สุดยอดรถยนต์ไฟฟ้าปี 2023
แบตฯใหญ่ มอเตอร์แรง วิ่งไกล ส่องรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ปี 2023
แม้จะต้องรออีกนาน กว่าที่โลกใบนี้จะปราศจากรถยนต์สันดาปภายใน ICE แต่แนวโน้มการเติบโตของ รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีของการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์โลก แต่ยอดขายทะลุเพดานของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในก็ยังดำเนินต่อไป (โดยเฉพาะในประเทศไทย) เมื่อมองดูรอบๆ ตัวของเรา สหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเครื่องจักรจอมสูบเชื้อเพลิง มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 49 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ส่วนจีนมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ก้าวกระโดด โดยมีตัวเลขพุ่งสูงถึง 113 เปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริง ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้ารวมกันทั่วโลกกลับมีตัวเลขแค่ 13 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในปีที่ผ่านมา (2565)
คนบางกลุ่มที่ชื่นชอบรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งๆ ที่บางคนยังเผาคงเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างหน้าตาเฉย แต่ปากก็ด่าคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยในเรื่องความไม่พร้อมของรถยนต์ไฟฟ้า คนกลุ่มนี้จะแสดงท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์รถยนต์สันดาปภายใน ICE และออกมาด้อยค่าบริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่น ที่ไม่หันไปทางรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเต็มตัวซะที แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับไม่ได้ดูที่บริบทของความเป็นจริงหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะปัญหาพลังงานไม่พอใช้ในญี่ปุ่นที่เคยเกิดขึ้น ความไม่นิยมในรถยนต์ไฟฟ้าของคนญี่ปุ่นจากปัญหาด้านการใช้งาน
ในความเป็นจริง การเปลี่ยนผ่านนั้นทำได้ไม่ยาก เนื่องจากแต่ละบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นมีเงินทุนมหาศาล รวมถึงความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนรถยนต์มานานกว่า 70 ปี เมื่อจะเปลี่ยนแปลงไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็แค่ปรับโรงงาน เปลี่ยนแปลงเครื่องจักรกลที่ใช้ประกอบในไลน์ผลิตให้เหมาะสมกับการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าใหม่หมด แล้วไล่คนงานออกไป ยุบโรงงานประกอบรถยนต์ต่างประเทศ (รวมถึงไทย) ให้เหลือน้อยลง เพราะประกอบแค่รถไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องมีโรงงานเยอะ แค่นั้นก็สิ้นเรื่อง
แต่บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของแดนปลาดิบมองไกลกว่านั้น จากปัญหาความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน ความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในญี่ปุ่น เช่น สถานีชาร์จสาธารณะยังมีจำนวนน้อย เนื่องจากคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ที่ดินมีราคาสูงมาก ที่อยู่อาศัยมีขนาดเล็กและคับแคบมากๆ ทำให้ไม่สามารถติดตั้งแท่นชาร์จในพื้นที่ส่วนตัวได้ โดยเฉพาะสถานีชาร์จไฟที่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ปัญหามลพิษในอนาคตที่เกิดจากแบตเตอรี่หมดสภาพ ญี่ปุ่นไม่มีแหล่งแร่ธาตุที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ และต้องใช้การนำเข้าอย่างเดียวจากศัตรู นั่นก็คือ ประเทศจีน ปัญหาคนว่างงานและการปิดตัวลงของบริษัทซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
คาดการณ์ว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ รถยนต์ไฟฟ้าจะมียอดขายมากกว่าร้อยละ 60 ของยานพาหนะทั้งหมด...และความเป็นจริงที่ว่า แบตเตอรี่จะไม่มีวันถูกลง จากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
1-TESLA ROADSTER
เมื่อเปิดตัว Tesla อ้างว่า Roadster จะเป็นรถที่เร็วที่สุดในโลก
และมีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นจนว่า Roadster
ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าจะส่งถึงมือลูกค้า (เมื่อไหร่ยังไม่รู้) ตามข้อมูล
Tesla Roadster มีกำลังประมาณ 1,300 แรงม้า แรงบิดมากกว่า 1,300
นิวตันเมตร และทำเวลา 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ 2.0 วินาที
ควบคู่ไปกับระยะทางต่อการชาร์จไฟจนเต็มแบตฯ ที่ทำได้ไกลถึง 900
กิโลเมตร รวมถึงลูกเล่นอื่นๆ ที่เอาไว้หลอกล่อเศรษฐียุคใหม่ เช่น
หลังคาแก้วแบบถอดได้ เบาะสี่ที่นั่ง
สมรรถนะของมันสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนในครอบครัวที่เข้าไปนั่ง
และพร้อมที่จะทำให้คุณปัสวะราดหรือเกิดอาการบาดเจ็บที่คอได้
แต่เอาเข้าจริงๆ Roadster
ไฟฟ้าของอีลอนก็ยังไม่ได้มีการส่งมอบให้กับลูกค้าที่สั่งจองแต่อย่างใดทั้งสิ้น
2-MASERATI GRANTURISMO FOLGORE
Maserati GranTurismo ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า
ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้องนักกับแบรนด์เก่าแก่ของอิตาลีที่เคยสร้างตำนานมอเตอร์สปอร์ตในอดีต
แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2023 Folgore (ตรงกับคำว่า 'ฟ้าแลบ'
ในภาษาอิตาลี)
จะมีรูปลักษณ์ที่สวยงามแบบเดียวกับที่เราคาดหวังจากสปอร์ตคูเป้พลังงานไฟฟ้ารุ่นเรือธง
เครื่องยนต์ V8 ที่ส่งเสียงดังของ Ferrari ถูกแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
ให้พละกำลังสูงถึง 750 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลที่ 1350 นิวตันเมตร
น้ำหนัก 2,260 กก. นั่นหนักอึ้งราวกับซาลูน EQS ระบบชาร์จ DC 300kW
ชาร์จจาก 20-80% ในเวลาเพียงแค่ 18 นาที เร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 2.7 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 8.8
วินาที ความเร็วสูงสุด 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (นั่นโคตรเร็ว)
ชาร์จไฟเต็มแบตฯ วิ่งไกล 450 กิโลเมตร
3-POLESTAR 3
Polestar แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแยกย่อยของ Volvo
มักจะคำนึงถึงความปลอดภัยและการออกแบบภายในที่เชื่อมโยงรูปทรงและสีสันของเฟอร์นิเจอร์จากสแกนดิเนเวียเป็นหลัก
ด้วยระบบอากาศพลศาสตร์ที่แหวกแนว หลังคาของ Polestar 3
มีการลดระดับความสูงและขยายออก ทำให้มีรูปลักษณ์แบบสปอร์ตที่โดดเด่น
ซึ่งเหนือกว่ารถยนต์ไฟฟ้าระดับเดียวกัน กระจกมองข้าง
นำแนวคิดการออกแบบของโทรศัพท์มือถือมาใช้ โดย "กระจกถึงขอบ"
เพื่อให้มีสิ่งกีดขวางน้อยลงและดูสะอาดตา ระบบหรี่ไฟ
อัตโนมัติและให้ความร้อนกับกระจก เพื่อป้องกันการเกิดฝ้า
แถบไฟท้ายจะสว่างขึ้นตามสภาพการณ์
ในขณะที่มือจับประตูจะอยู่ชิดกับประตู
เพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมอากาศที่ดี เป็นทุกอย่างที่ยานยนต์ EV
ควรเป็น แบตเตอรี่ลิเธียม ความจุ 111 kWh ระบบชาร์จประสิทธิภาพสูง DC
250kW ชาร์จไฟจาก 10-80% ในเวลาเพียง 30 นาที
มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขับเคลื่อนสี่ล้อ กำลัง 517 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 909
นิวตันเมตร เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.6 วินาที
ความเร็วสูงสุด 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จเต็มวิ่งไกล 430
กิโลเมตร
4-Audi Q8 E-TRON
Q8 e-tron ไม่เพียงแต่ไร้มลพิษบนท้องถนน หรือ CO2 เป็นศูนย์เท่านั้น
แต่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของแบรนด์สี่ห่วงคันนี้ยังสร้างในโรงงานบรัสเซลส์อันทันสมัยของ
Audi ซึ่งอ้างว่าเป็นการผลิตแบบไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
นี่จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่ใหญ่ที่สุดและสปอร์ตที่สุดของ Audi
โดยมีกำลังต่ำกว่า 500 แรงม้า แต่ระยะทาง 460-500 กิโลเมร
ยังคงน่าประทับใจอย่างมาก
เมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพด้านความเสถียร
มอเตอร์ขับเคลื่อนสองตำแหน่ง ที่ด้านหน้าและหลัง ใน Audi Q8 55 e-tron
มีเอาต์พุตเท่ากับ 407 แรงม้า (300 กิโลวัตต์) ในโหมดโอเวอร์บูสต์
พร้อมแรงบิด 664 นิวตันเมตร ชาร์จเต็มวิ่งไกล 582 กม. สำหรับตัวถัง
SUV และสูงสุด 600 กม. สำหรับตัวถัง Sportback
ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไว้ที่ 200
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน SQ8 e-Tron รุ่นท็อปสุด
มีพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนสามตำแหน่ง (ที่ด้านหน้า 1
และด้านหลังอีก 2) ให้กำลังสูงสุด 503 แรงม้า (370 กิโลวัตต์)
แรงบิดมโหฬารที่ 973 นิวตันเมตร SQ8 e-Tron
เมื่อชาร์จเต็มจะทำระยะทางสูงสุด 494 กม. สำหรับตัวถัง SUV และสูงสุด
513 กม. สำหรับตัวถัง Sportback
ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ที่ 210
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
5-MERCEDES EQE SUV
Mercedes-EQ เป็นแบรนด์เดียวที่เลิกใช้ฟอนต์ serif
นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์รถยนต์ที่ประสบความสำเร็จในการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง
รูปลักษณ์ภายนอกที่โค้งมนของ EQE SUV
ไหลลื่นจากด้านหน้าไปด้านหลังอย่างสวยงาม
ภายในเป็นไฮไลต์ของเทคโนโลยีที่เราจะใช้กันต่อไปในอนาคต
คุณแทบไม่อยากลุกจากที่นั่งคนขับ ด้วยหนังบุนวมและหน้าจอสัมผัส
hyperscreen ที่ผสานรวมจอภาพสามจอเอาไว้ในแดชบอร์ดคอนโซล Mercedes-
EQE SUV มี 3 รุ่นหลัก ได้แก่ EQE 350+, EQE 350 4Matic และ EQE 500
4Matic สำหรับ EQE 350 ทั้งสองรุ่น มีกำลัง 288 แรงม้า
พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic ส่วน Mercedes-EQE SUV 500 4Matic
มีกำลัง 402 แรงม้า แต่แรงบิดยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลข
ทุกรุ่นใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 90.6kWh EQE 350+
ทำระยะทางที่ไกลที่สุด โดยสามารถวิ่งได้ไกลถึง 580 กิโลเมตร และ EQE
500 4Matic ก็สามารถเดินทางได้เกือบ 530 กิโลเมตร
ระบบชาร์จเร็วด้วยไฟกระแสตรง DC กำลังไฟ 170kW ทำระยะทางประมาณ 217
กิโลเมตร ในเวลาเพียง 15 นาที ส่วนของโหด AMG EQE
มีให้เลือกสองรุ่นสองความแรง ได้แก่ EQE 43 4Matic 476 แรงม้า และ EQE
53 4matic+ พร้อมแพ็กเกจเสริม AMG Dynamic Plus ให้กำลังสูงสุด 687
แรงม้า สำหรับ EQE 43 4Matic เร่งความเร็วจาก 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.3 วินาที ในขณะที่ EQE 53 4Matic+
ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.5 วินาที
ระบบกันสะเทือน Airmatic แบบ Multilink พร้อม ADS+
ปรับลดแรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง รุ่น 4Matic ขับเคลื่อนสี่ล้อ
มีโหมดออฟโรดและระบบกันสะเทือน Airmatic
ที่สามารถยกความสูงขึ้นได้สูงสุด 30 มิลลิเมตร บรรทุกน้ำหนักได้ถึง
1,800 กก. (รุ่นมาตรฐานจำกัดน้ำหนักไว้ที่ 750 กก.)
ออปชันเสริมที่ชาญฉลาดและมีประโยชน์ คือ ระบบช่วยเลี้ยวที่เพลาล้อหลัง
สามารถหมุนล้อหลังทำมุมได้ถึง 10 องศา ลดวงเลี้ยวของ Mercedes-AMG EQE
SUV จาก 12.3 เมตร เหลือแค่ 10.5 เมตร เท่านั้น
6-HYUNDAI IONIQ 6
แผนกออกแบบ R&D ของ Hyundai แจ้งว่า
การออกแบบเส้นสายบนตัวถังของยานยนต์ไฟฟ้า Ioniq 6
ได้รับแรงบันดาลใจจากรถยนต์ในยุค 1920 ถึง 1930’
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันดูเหมือน Porsche 911 ผสมพันธ์ุกับ Mercedes
CLS เจเนอเรชันที่ 1 มากกว่า
ด้วยความกล้าหาญของการออกแบบสไตล์ย้อนยุคในรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ Ioniq 6
มีเรือนร่างล้ำยุคอย่างแท้จริง การตกแต่งภายในที่เหมือนรถต้นแบบ
กระจกหน้าจอวิดีโอ
และที่นั่งทำจากขวดพลาสติกรีไซเคิลและขยะที่เก็บมาจากมหาสมุทร Ioniq 6
แชร์แพลตฟอร์มกับ Ioniq 5 ระบบส่งกำลังไฟฟ้า
สะท้อนถึงความต้องการของลูกค้า (ในยุโรป) รุ่นพื้นฐานมีกำลัง 225
แรงม้า มีมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวขับเคลื่อนล้อหลัง รุ่นมอเตอร์คู่ 320
แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าและด้านหลัง Hyundai
อ้างว่า ด้วยการปรับตั้งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้า
สามารถขับเคลื่อน Ioniq 6 จาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง
5.4 วินาที ในขณะที่การขับของ Ioniq 6 เป็นไปอย่างราบรื่น
ห้องโดยสารแยกส่วนการใช้งานได้ดีและเน้นการเก็บเสียง
ความเงียบและเสถียร จากจุดศูนย์ถ่วงต่ำ
ช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างถนัดมือ
ปุ่มควบคุมที่พวงมาลัยช่วยให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดต่างๆ
ของระบบเบรกแบบสะสมพลังงาน Ioniq 6 น่าจะมีระยะการขับขี่ประมาณ 540
กิโลเมตร สำหรับรุ่นมอเตอร์เดี่ยวและ 490 กิโลเมตร
สำหรับรุ่นมอเตอร์คู่
แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการสำหรับทั้งสองรุ่นก็ตาม
7-BMW i7
i7
เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนขั้นสูงสุดหรือไม่นั้นมักจะขึ้นอยู่กับการถกเถียงระหว่างแฟนคลับของ
Mercedes กับพวก Bimmer แต่ BMW i7
คือหนึ่งในสุดยอดรถยนต์ไฟฟ้าที่มหาเศรษฐีควรนำมาขับใช้งาน
แน่นอนว่าความหรูหราอย่างไม่เคยมีมาก่อนของงานตกแต่งภายในนั้น
เสริมด้วยหน้าจอโรงภาพยนตร์ขนาด 31 นิ้ว
ซึ่งให้ผู้โดยสารตอนหลังได้รับชมภาพยนตร์อย่างแท้จริงขณะเดินทาง
ประสบการณ์ของการขับทางไกล ด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไปจาก BMW
ทุกรุ่น ตัวเลขกำลังจากมอเตอร์คู่ 544 แรงม้า กับแรงบิด 745
นิวตันเมตร สร้างความประทับใจแม้กระทั่งพวกตัวตึง ICE ระบบขับเคลื่อน
4 ล้อไฟฟ้า xDrive เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 เหมือนกับ
BMW iX มาพร้อมแบทเตอรีแรงดันสูง 105.7 kWh
แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ติดตั้งด้านล่าง
มีอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 19.6-18.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม.
ระยะทางขับเคลื่อนสูงสุดที่ 625 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 ต่อชั่วโมง
ในเวลาเพียง 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
8-FISKER OCEAN
Fisker Ocean คว้ารางวัลหนึ่งในรถ SUV ไฟฟ้าที่ดูดีที่สุดในปี 2023
แต่ Ocean
มีความล่าช้าในขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบก่อนขึ้นสู่สายการผลิต
แต่ความอยากได้ของลูกค้าที่มีต่อ EV
คันนี้ไม่ได้ลดน้อยถอยลงระหว่างการรอคอย จอแสดงผลขนาด 17.1
นิ้วในห้องโดยสาร มีโหมดฮอลลีวูด เมื่อเปิดใช้งาน
จะหมุนหน้าจอจากแนวตั้งเป็นแนวนอน
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้โดยสารจะได้รับความบันเทิงจากการสตรีมภาพยนตร์
ในขณะที่แบตเตอรี่เมื่อชาร์จไฟจนเต็มจะทำระยะทางประมาณ 620 กิโลเมตร
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ใน 3.1 วินาที เทคโนโลยีล้ำๆ อย่าง หลังคา
SolarSky แบบเต็มความยาวหมดทั้งผืนหลังคา
ซึ่งเมื่อได้รับแสงแดดเต็มที่แล้วสามารถเสริมระยะทางได้ไกลขึ้น
(เล็กน้อย) ที่ชาร์จแบบสองทิศทาง
ช่วยให้แบตเตอรี่จ่ายไฟทั้งบ้านได้นานถึงเจ็ดวัน
และยังช่วยเพิ่มพลังให้กับยานยนต์ EV คันอื่น สุดท้าย California Mode
จะเห็นเพียงกดปุ่ม แผงกระจกทั้งแปดบาน (รวมถึง "Doggie Windows")
เปิดพร้อมกันเพื่อเปลี่ยน SUV ให้กลายเป็น "รถเปิดประทุน"
9-XPENG G9
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Xpeng แบรนด์จีนเปิดตัว “เอสยูวีอัจฉริยะ”
รุ่น G9
ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันที่สี่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เกิดใหม่จากจีน
โมเดลใหม่ G9 จะเป็นรถไฟฟ้ารุ่นเรือธงของแบรนด์และด้วยเหตุนี้ G9
จึงใช้เทคโนโลยีทั้งหมดที่บริษัทมี G9 นำเสนอ รุ่น RWD Standard Range
ให้กำลัง 308 แรงม้า และแรงบิด 430 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 6.4 วินาที ชาร์จไฟเต็ม ทำระยะทาง 560
กิโลเมตร รุ่น RWD Long Range จะเพิ่มระยะทางการวิ่งของ G9 เป็น 700
กิโลเมตร รุ่นขับเคลื่อนทุกล้อ G9 650E Performance, 650X Performance
และ 650X Launch Edition ทั้งหมดมีกำลัง 543 แรงม้า และแรงบิด 717
นิวตันเมตร ทำเวลา 0-100 ที่ 3.9 วินาที ทำระยะทาง 640 กิโลเมตร
ระบบช่วยเหลือผู้ขับและค้นหาเส้นทาง รองรับอัตราการชาร์จสูงสุด 480 kW
ซึ่งหมายความว่า G9 สามารถเพิ่มระยะทางได้มากถึง 199 กิโลเมตร
ด้วยการชาร์จไฟ DC 480 kW ในเวลาเพียงห้านาที ชาร์จไฟจาก 10 ถึง 80
เปอร์เซ็นต์ ใน 15 นาที หากทุกอย่างที่บอกเป็นจริง นี่จะทำให้ G9
เป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่ชาร์จเร็วที่สุดในโลก สำหรับผู้ชื่นชอบเสียงเพลง
ระบบมัลติมีเดีย 5D ที่เรียกว่า Xopera มาพร้อมกับลำโพง 28 ตัว
และเอาต์พุต หรือกำลังขับของพาวเวอร์แอมป์ในระดับ 2,250 วัตต์
เล่นกันหูดับเลยทีเดียว
10-ROLLS ROYCE SPECTRE
ไม่น่าเป็นไปได้ที่ Rolls-Royce เปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ICE
มาสู่โลกของรถยนต์ไฟฟ้า EV แต่โปรดจำไว้เสมอว่า Rolls Royce
นี้เป็นบริษัทในเครือของ BMW Group มาตั้งแต่ปี 2546
ดังนั้นเมื่อพิจารณาว่า BMW กำลังมุ่งไปที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อ Spectre รถยนต์ไฟฟ้าทรงคูเป้คันแรกของ Rolls
จะออกมาทำตลาดเร็วๆ นี้ Spectre ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด
โดยใช้แพลตฟอร์ม EV
แชสซีอลูมิเนียมแบบใหม่ถูกนำมาปรับใช้เพื่อความแข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบา
พร้อมระบบความปลอดภัยของแบรนด์ที่เงียบสงบแต่ทรงพลังแบตเตอรี่ของ
Rolls RoyceSpectre เมื่อชาร์จไฟจนเต็มจะทำระยะทางได้ไกล 480 กิโลเมตร
เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.7 วินาที
เป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ สำหรับรถที่ยาวเกือบ 5.5 เมตร และหนักเกือบ
3 ตัน
การวิ่งด้วยความเร็วสูงตัดผ่านอากาศอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม Spectre จึงเป็น Rolls Royce
ที่มีอากาศพลศาสตร์ดีที่สุดเท่าที่ค่ายนางฟ้าเคยผลิต.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/
คุณกำลังดู: แบตฯใหญ่ วิ่งไกล แต่ยังไม่เข้าไทยนะจ๊ะ ส่อง 10 สุดยอดรถยนต์ไฟฟ้าปี 2023
หมวดหมู่: รถยนต์