‘บัวขาว’ โพสต์แจงชัดเป็นคนไทยเชื้อสายกูยไม่ใช่เขมรแถมเล่าความเป็นมา

'บัวขาว' โพสต์แจงชัดเป็นคนไทยเชื้อสายกูยไม่ใช่เขมรแถมเล่าความเป็นมา   จากกรณีที่เมื่อวานนี้เป็นประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียล เกี่ยวกับเรื่องที่ “กัมพูชา” เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที...

‘บัวขาว’ โพสต์แจงชัดเป็นคนไทยเชื้อสายกูยไม่ใช่เขมรแถมเล่าความเป็นมา

‘บัวขาว’ โพสต์แจงชัดเป็นคนไทยเชื้อสายกูยไม่ใช่เขมรแถมเล่าความเป็นมา

จากกรณีที่เมื่อวานนี้เป็นประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียล เกี่ยวกับเรื่องที่ “กัมพูชา” เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 17 พฤษภาคมนี้ ต้องการจะเปลี่ยนชื่อการแข่งขัน “มวย” (มวยไทย) ไปเป็นชื่อ “กุน ขแมร์” ในศึกซีเกมส์ที่กำลังจะมาถึง โดยมีชาวกัมพูชาบางคนแอบอ้างว่าบัวขาวนั้นมีเชื้อสายเขมร ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ) ระบุว่า

“คืนนี้ว่าด้วยเรื่องวิชาประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ “บัวขาว” คือ คนไทย เชื้อสายกูย ไม่ไช่เขมรตามที่เข้าใจ ชาวส่วย (Suai) บางทีก็เรียก กูย (Kuy, Kui), โกย/กวย(Kuoy)

ชาวกูยนิยมเลี้ยงช้างซึ่งสืบทอดจากบรรพบุรุษ ชาวกูยจะออกไปจับช้างป่าด้วยการคล้องช้าง ด้วยเชือกปะกำ ซึ่งทำจากหนังควาย ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ เมื่อได้ช้างมาก็จะฝึกเอาไว้ใช้งาน พงศาวดารเมืองละแวกก็มีบันทึกไว้ว่าในพุทธศตวรรษที่ 20 กษัตริย์ขอมแห่งเมืองพระนคร ได้ขอให้แจ้งกุยแห่ง ตะบองขะมุน (ชุมชนกุยทางด้านใต้ของนครจำปาสัก) ส่งกำลังไปช่วยปราบกบฏที่เมืองพระนคร ชาวกุยได้ร่วมขับไล่ ศัตรูจนบ้านเมืองขอมเข้าสู่ภาวะปกติสุข หลักฐานนี้แสดงว่า ขณะที่ชนชาติไทยหรือสยามกำลังทำสงครามขับเคี่ยวกับขอมเพื่อสถาปนานครรัฐสุโขทัยขึ้นมานั้นชาวกุยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างเป็นปึกแผ่นแล้ว

การตั้งหลักแหล่งโดยส่วนมากจะพบ ตามลุ่มแม่น้ำโขงทุก ๆ สายน้ำที่แตกสายน้ำออกไป เช่น อุบล ท่าตูม โพธิ์ศรีสุวรรณ เมืองจันทร์ ห้วยทับทัน สำโรงทาบ และตามสายน้ำไปเรื่อย จนจึง จังหวัดนครราชสีมา ตามเส้นของสายน้ำ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำโขงบริเวณแนวเขาพนมดงรัก

ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ชาวกุยในแคว้นอัสสัมถูกรุกรานโดยชนเผ่าอนารยะ จนบางส่วนต้องละทิ้งถิ่นฐานอพยพข้ามลงมาตามลำน้ำโขง เคยเป็นอาณาจักรหนึ่ง ถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของเมืองกัมปงธม ประเทศกัมพูชา

ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาค้าขายกับอยุธยาเคยช่วยกษัตริย์เขมรปราบกบฏ ต่อมาเขมรได้ใช้อำนาจทางการทหารปราบชาวกูยและผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งกับเขมร ด้วยความชอบความอิสระและชอบการผจญภัย ได้อพยพขึ้นเหนือ เข้าสู่เมืองอัตตะบือแสนแป แคว้นจำปาศักดิ์ และสารวัน ทางตอนใต้ของลาว แต่ก็ถูกเจ้าเมืองศรีสัตนาคนหุต (เมืองเวียงจันทน์) ปราบปรามและขับไล่ จึงพากันอพยพตามแม่น้ำโขงมาตั้งรกรากอยู่แถบอิสานทางด้านแก่งสะพือ อำเภอโขงเจียม ได้แยกย้ายตั้งรกรากปลูกบ้านเรือนอยู่แถบนี้

พ.ศ. 1974 (ปีกุน) ที่จากหลักฐานกฎหมายอยุธยาฉบับพ.ศ. 1974 ได้กล่าวถึงกษัตริย์ของเขมรที่นครธม ได้ทรงขอให้เจ้ากวยแห่งตะบองขะมุม ที่มีเมืองสำคัญอยู่ตอนใต้ของเมืองนครจำปาศักดิ์ ส่งทหารไปช่วยพระองค์ปราบขบถ สำเร็จแล้วประมุขของทั้งสองฝ่ายได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และออกกฎหมายให้คนสยามห้ามยกลูกสาวให้ชาวฝรั่ง อังกฤษ วิลันดา กับปิตัน กุลา มลายู แขก กวย และแกว ซึ่งเป็นคนต่างชาติต่างศาสนา(ที่มา:เอกสารของโครงการแผนที่วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยภาษาและพัฒนาเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล)

พ.ศ. 2000 พงศาวดารเมืองละแวก กล่าวถีง กษัตริย์เขมร พระเจ้าธรรมราช ซึ่งครองอยู่พระนครหลวงได้ส่งทูตไปขอกองทัพจากกษัตริย์กวยแห่งตะบองขะมุม ที่มีเมืองสำคัญทางตอนใต้ของเมือง จำปาศักดิ์ ส่งทหารไปช่วยปราบกบฏ เมื่อกองทัพของพระเจ้าธรรมราชและเจ้ากวยแห่งตะบองขะมุมได้ปราบกบฏสำเร็จ ประมุขทั้งสองฝ่ายก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ (ที่มา ไทย : ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม 2533:35-36)

พ.ศ. 2103 หลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้คือ พงศาวดารล้านช้าง กล่าวว่า “ในปี 2103 สมเด็จพระไชยเชษฐิราชต้องทำการปราบปรามพวกข่า และชนเผ่าต่างๆ ที่สร้างบ้านสร้างเมืองอยู่แถวฝั่งแม่น้ำโขงทางใต้นครเวียงจันทน์และใน ที่สุดพระองค์ได้หายสาบสูไปในคราวยกกองทัพไปปราบปรามพวกข่า ในแขวงอัตบือ (ที่มา ไทย : ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม 2533:35-36)

พ.ศ. 2114 สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช(จากอาณาจักรลานช้าง) ได้เสด็จออกปราบกบฏ ณ เมืองรามรักองการ แล้วสูญหายไปในศึกนั้น ชาวเมืองจึงได้อัญเชิญ พระเจ้าหน่อแก้ว พระโอรสของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชซึ่งเพิ่งประสูติให้เสด็จขึ้นครองราชย์ (ที่
มา:จากประวัติศาสตร์การก่อตั้งอาณาจักรลานช้าง ประเทศลาว)

พ.ศ. 2200 เป็นต้น มา จนถึงปลายอยุธยาตอนปลายปรากฏว่ามีชุมชนกวยเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีจนถึงจังหวัดบุรีรัมย์ แต่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือชนชาวกูยที่บ้านเมืองที บ้านโคกยาง(สังขะ) บ้านกุดหวาย (รัตนะบุรี) และบ้านโคกลำดวน(เมืองขุขันธ์) จังหวัดศรีสะเกษ

– กูยเญอ พบที่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ และ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ

– กูยไม พบที่ อำเภออุทุมพรพิสัย และ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ

– กูยมะไฮ พบที่ อำเภอเมืองจันทร์ ส่วนใหญ่อาศัยในเขต ตำบลเมืองจันทร์ และ บ้านโนนธาตุ ตำบลปราสาท อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ

– กูยปรือใหญ่ พบที่ อำเภอขุขันธ์ เป็นกลุ่มชนชาติพันธ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบพื้นที่เหนือพนมดงรักมานานแล้ว โดยเฉพาะตำบลปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ

– กูยเขาพระวิหาร พบที่ ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ และ ตำบลจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

“ส่วย” และจากการสืบค้นในเอกสารอื่น ๆ พบว่า ในภาษาเขมรเรียกว่า កួយ (អក្សរសព្ទខ្មែរ: /កួយ/) ในภาษาละตินเขียนว่า kuoy (អក្សរសព្ទឡាតាំង: /kuoy/)

คุณกำลังดู: ‘บัวขาว’ โพสต์แจงชัดเป็นคนไทยเชื้อสายกูยไม่ใช่เขมรแถมเล่าความเป็นมา

หมวดหมู่: กีฬาอื่นๆ

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด