"เจมส์ เจตพล" สู้หมดหน้าตัก คว้าแชมป์เดอะสตาร์ปลดล็อกชีวิต 10 ปีไม่เคยทิ้งฝัน
เผยรอยยิ้มได้อย่างมีความสุขแท้จริง หลังหนุ่ม “เจมส์-เจตพล กนิษฐชาต” หรือ “เจมส์ The Star 2022” ได้สัมผัสการเป็น “แชมป์เดอะสตาร์” คนล่าสุดของเมืองไทย หลังต่อสู้ในเส้นทางดนตรีแบบไม่ย่อท้อมา 10 ปี นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาประกวด “The Star 10” ในปี 2557 แต่วันนั้น “เจมส์” ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เจอมาทุกความพ่ายแพ้ ความผิดหวัง จนอยากจะหยุด แต่เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจกับเป้าหมายแบบไม่มีวันไหนที่จะหยุดฝัน ทำให้ “เจมส์” มาถึงวันนี้อย่างสมศักดิ์ศรีแชมป์ ปลดล็อกทุกความรู้สึกของตัวเอง และยังเป็นตัวอย่างของ “นักสู้” จากนี้ “โอกาส” ที่ได้รับคือกำไรของชีวิตแล้ว! “เจมส์” เล่าเรื่องราวเริ่มจาก
ณ วันนี้กับการได้เป็นแชมป์เดอะสตาร์แล้ว? “จริงๆต้องบอกว่ามันดีใจมากจนพูดอะไรไม่ออก วันนั้นเป็นวันที่หาคำที่ตัวเองจะสัมภาษณ์ยากมาก เพราะ ณ ตอนนั้นเราไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆภาพ 10 ปีที่ผ่านมามันขึ้นมาหมดเลย ความรู้สึกมันเต็มล้นมากๆ มันเหมือนเรารอวันนี้มานาน เป็นวันที่สำเร็จสักที มันรอมานานจริงๆนะครับ แต่พอหลังจากคิดได้ว่าพรุ่งนี้เราต้องเริ่มทำงานแล้วก็หยุดร้องเลยครับ (ยิ้ม)”
หลายคนพูดถึงเส้นทางที่ไม่ง่ายของเรากว่าจะมาถึงวันนี้? “ย้อนไปความรู้สึกตอนได้แชมป์ ถ้ามองจากจุดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ ทุกอย่างมันก็คือสิ่งที่ผมต้องเจอถ้าผมเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ เพราะทุกการแข่งขันก็มีแพ้ มีชนะ 10 ปีที่แล้วที่มาประกวดเดอะสตาร์ ตอนนั้นอาจจะไม่ใช่เวลาของผมเราอาจจะแพ้มาตลอด อาจจะมีร้องไห้ เสียใจ เหมือนเวลาเราไปรักใครเขาแล้วอกหักก็เสียใจ เป็นธรรมดา มันเป็นเรื่องที่ต้องเจอ เรื่องการจัดการอารมณ์ว่าไหวมั้ย ท้อมั้ยเราต้องรับให้ได้ เพราะผมว่ายังไงมันก็ต้องมี ผมคิดว่าหลังจากนี้มันน่าจะมีแต่ความสนุกแล้ว เราก้าวมาเกินครึ่งขาแล้ว เราก้าวผ่านกำแพงตัวเองมาได้ตอนนี้คือกำไรแล้วที่ได้เข้ามา มันน่าสนุกมากๆ”
เจมส์บอกเสมอว่ากำลังใจสำคัญคือคุณพ่อ คุณแม่?“ใช่ครับ คุณพ่ออยากขับรถมาส่ง คุณแม่ก็มาเฝ้าตั้งแต่รอบแรก ผมก็บอกเค้านะเพราะครั้งนี้เราก็กดดันเหมือนกัน ผมก็บอกคุณพ่อคุณแม่นะว่าเป็นโค้งสุดท้ายแล้ว เค้าก็บอกว่าเค้าแค่อยากมา ลึกๆผมว่าท่านก็คาดหวังเล็กๆ อยู่แล้วเพราะเราก็มีเป้าหมายแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไร ผมว่าสิ่งนี้มันคือกำลังใจแค่เห็นพวกเค้ามาดู เค้ายิ้ม ช่วงนั้นผมไม่ได้กลับบ้าน พอเห็นเค้ามีดูวันอาทิตย์เราก็ดีใจนะ เพิ่งมาได้กอดกันวันรอบชิงชนะเลิศ เราอาจจะไม่ใช่คนหวานเพราะเป็นลูกผู้ชาย แต่ผมเป็นคนที่ถ้าอยากได้อะไรผมจะทำให้ ผมจะดูแลครอบครัวให้ได้ ซึ่งวันนั้นที่พ่อแม่ขึ้นมาแล้วบอกว่าภูมิใจในตัวผม ผมก็ดีใจมาก เพราะที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยภูมิใจในตัวเองเหมือนกัน มันเหมือนเราปลดล็อกตัวเองได้ในหลายๆอย่างจริงๆ”
ทำไมถึงไม่เคยภูมิใจในตัวเอง? “มันหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องชีวิต เรื่องงาน มันสะสมไปหมด เราเรียนจบ คณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดลมา ค่าเทอมก็ใช้เงินเยอะ ทำไมเรายังไม่สามารถตอบแทนอะไรใครได้เลย มันเลยรู้สึกว่าชีวิตเราอยู่กับที่เกินไป เราไม่รู้สึกภูมิใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แต่พอทุกวันนี้เป็นความ รู้สึกได้ปลดล็อกตัวเอง มันรู้สึกว่าอยากขอบคุณตัวเองอีกครั้ง มันภูมิใจ ดีใจ หลายความรู้สึกมาก”
เราเจอความพ่าย แพ้มาเยอะแล้วอะไรที่
ทำให้เราไม่หยุดเดินต่อ?“ต้องบอกว่า 10
ปีที่ผ่านมามันก็ไม่ได้สวยงาม ไม่มีใครรออะไรตลอดเวลา
เราก็ต้องหาอะไรทำ
อย่างตัวผมก็จะพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลาเพราะไม่รู้ว่าโอกาสจะมาตอนไหน
ไม่รู้ว่าเราจะท้อตอนไหนหรือจะหยุดตอนไหนแต่เราก็พยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
เติมเต็มส่วนที่ขาด ยอมรับ ว่าก่อนมาถึงเดอะสตาร์ครั้งนี้
ก็มีความรู้สึกว่าอยากเลิกแล้ว ไม่อยากทำแล้ว ด้วยอายุที่เยอะขึ้น
บวกกับการประกวดต่างๆก็เป็นโค้งสุดท้ายแล้วจริงๆ
มองแพลนไปถึงเรื่องเรียนต่อแล้ว มันเหมือนพอเราอายุเยอะขึ้น
เป้าหมายอนาคตก็เริ่มจะเปลี่ยน
แต่ผมว่าสิ่งที่ทำให้ผมกลับมามันคือความฝันข้างใน
ไม่ว่าเราจะเถียงตัวเองแค่ไหนว่าเรา
ไม่อยากทำแล้ว
ความอยากทำอยู่ในใจมันยังมีแหละไม่งั้นเราคงไม่ส่งสมัครเข้ามา
มันอยู่ข้างใน พอส่งแล้วมันก็มีความหวังเล็กๆที่จะเชื่อมไปสู่ความสุข
นั่นคือเป้าหมายของเรา ฝัน หวัง สุข
มันคือสิ่งที่ตอบแทนความรู้สึกต่างๆได้หมด”
ถึงตอนนี้ภูมิใจกับตัวเองแค่ไหน?“ดีใจที่ตัดสินใจกลับมา แล้วก็รู้สึกขอบคุณตัวเอง มันเป็นโค้งสุดท้ายและหัวเลี้ยวหัวต่อที่เราจะตัดสินใจว่ามาหรือไม่มา ถามว่าลงทุนไปกับครั้งนี้มั้ย ก็ลงทุนทั้งกายและใจ พอมันมีความหวังก็อยากทำต่อ ภูมิใจในตัวเองมาก ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนได้กลับมาร้องเพลง กลับมาแสดง พร้อมให้ความสุขกับทุกคนอีกครั้ง 10 ปีที่แล้วเราเหมือนเป็นเด็กที่มีไฟมากๆมีแพชชันแต่ไม่มีภูมิต้านทาน วิ่งๆอยู่แล้วก็ล้ม แต่ตอนนี้เราก็มีกำแพงนะ มันก็มีข้อเสียเวลากำแพงสูงเราก็ไปไม่ถึง ก็ต้องค่อยๆหาตัวเองให้เจอ มันคือกำแพงความคาดหวังที่เราไม่สามารถก้าวผ่านมาได้ ที่ผ่านมาเรามัวแต่ไปใช้สมองคิดว่าเราต้องทำอะไร ผมเลยหาคำตอบที่คิดกับตัวเองได้ พี่บอย-ถกลเกียรติ เคยพูดว่าแค่ใช้หัวใจร้องเพลง ไม่ต้องใช้สมองร้องเพลง ก็เลยร้องเลย บางทีมันคือสิ่งที่เราถนัดอยู่แล้ว แค่ทำสิ่งที่เรารักไม่มีอะไรต้องคิดเยอะ เราแค่ต้องร้องเพลง ทำงานทำการบ้านซ้อมให้เยอะขึ้น แต่โชว์ที่ออกมาดีต้องใช้ใจทำจริงๆ ดีใจที่ผ่านมาแต่ละรอบเพราะเราก็พยายามพัฒนาตัวเอง”
หลายคนบอกว่าเส้นทางของเรา เป็นแรงบันดาลใจให้คนสู้ตามฝัน? “ผมว่าคนที่สู้กว่าผมมันก็มี คนสู้กับความลำบากสู้กับความฝันกว่าผมมันก็มีอีกเยอะ แต่ถ้าอยากเห็นผมเป็นไอดอลจริงๆ ผมว่าแค่ลงมือทำ ไม่ไหวเมื่อไหร่ก็พัก เมื่อก่อนผมคิดแค่จะทำๆเหนื่อยก็ทำ พอใจหรือร่างกายไม่ไหวมันไปต่อไม่ได้ ผมว่าเวลาเรามีความฝันแล้วลงมือทำสักวันนึงมันจะสำเร็จแน่นอน ไม่ว่าระยะเวลามันจะนานแค่ไหน อย่างผมก็ 10 ปี บางคนอาจจะเร็วหรือช้ากว่าผม แต่ผมว่าคนเราพอมีเป้าหมาย เราก็ทำมันเยอะๆ”
เป็นแชมป์ปุ๊บก็มีดราม่าเลย เช่นเรื่องรางวัลต่างๆ รับมือกับการเจอดราม่ายังไง? “ผมว่าพวกเราทั้ง 8 คนชัดเจนอยู่แล้วว่าเราจะมาทำอะไร เรามายืนตรงนี้เรามาทำอะไร เราแค่มีความฝัน เราอยากเป็นศิลปินนักร้องดาราอยู่ในวงการ และวันนี้เราก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเราเป็นยังไง อย่างตัวผม ผมแฮปปี้แล้ว รางวัลสำหรับผมคือโอกาสที่ได้รับใน วงการบันเทิง ได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ พี่ๆศิลปินเก่งๆ ทำงานกับคนมากมาย ได้ออกงานอีเวนต์ มันคือสายอาชีพของผมและเป็นความสุข ผมว่าเรื่องพวกนี้มันตีเป็นมูลค่าไม่ได้ ส่วนที่เหลือในอนาคตมันเป็นกำไรแล้ว ส่วนเรื่องการรับมือกับเรื่องต่างๆ ผมคงห้ามทุกคนคิดไม่ได้แต่ผมก็จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราก็ชัดเจนเหมือนกันว่าเรามาทำอะไร”
กับการเป็นคนสาธารณะโดนจับตามากขึ้นทำให้ชีวิตเปลี่ยนมั้ย? “ผมว่ามันเป็นชีวิตนะ ศิลปินก็คือมนุษย์คนนึง ทุกคนมีทั้งมุมที่ดีและไม่ดีต่างกันไป แต่เรื่องการเป็นคนดีมีศีลธรรมมันเป็นฐาน ผมว่าเราเป็นคนดีให้เกียรติคนอื่นเป็นเรื่องพื้นฐาน ผมว่าถ้าเราทำอะไรแบบนี้ได้เราก็เป็นมนุษย์ที่โอเคแล้ว ที่เหลือเราอาจจะต้องไปจัดการกับสถาน การณ์ต่างๆที่ต้องเจอ แต่เราก็ต้องทำให้มันดีขึ้นเพราะเราเป็นคนสาธารณะที่มีเด็ก เยาวชนมองเราอยู่แล้ว เราก็ต้องวางตัวให้ดีขึ้น ปรับสิ่งที่ไม่ดี”
ฝันอยากทำเพลงแนวไหน? “อยากทำเพลงป๊อปที่มีกลิ่นร็อกๆ เพราะผมชอบแผดเสียงนะ แต่จะเป็นตัวเองให้มากที่สุด จริงๆเดี๋ยวดูการพูดคุยว่าจะออกมาทิศทางไหน”
งานแสดงล่ะ พร้อมมั้ย? “พร้อมครับ ก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำแต่อยากลองทำ เพราะผมว่างานบันเทิงหรืองานศิลปะ เราอยากเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ได้ลองทำหลายๆอย่าง อาจจะไม่ถนัดทุกเรื่องแต่ผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ความฝันของผมคืออยากเป็นศิลปิน ถ้าเป็นความฝันสูงสุดคืออยากเป็นศิลปินที่มีความสุข โชว์ความเป็นตัวเองให้ทุกคนเห็น การที่เรามีความสุขก่อน ก่อนจะมอบความรักให้คนดูเป็นสิ่งที่ควรมีเราถึงจะให้ความหวังกับผู้คนได้ ถ้าถามผมว่าความสุขของเราในการเป็นศิลปินคืออะไร ผมว่าหลายคนพยายามหาคำตอบไปเรื่อยๆ ส่วนตัวผมว่ามันพูดยากนะ ส่วนตัวผม ความสุขสำหรับผม ผมแค่ร้องเพลงผมมีความสุขแล้ว อนาคตเราก็ลุยกันต่อ”
“เจมส์” เป็นผู้ชายแบบไหน? “ผมก็เป็นคนพูดตรงๆ เป็นคนทะเล้นๆคนนึง บางมุมเราอาจจะนิ่งๆเพราะเราก็เจออะไรในชีวิตหลายๆอย่าง บางทีอาจจะไม่ได้พูดเยอะ ถ้าได้มาพูดคุยจริงๆก็จะรู้ว่าผมตลก เป็นผู้ชายเทกแคร์คนอื่น ขี้เล่นครับ”.
เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย
คุณกำลังดู: "เจมส์ เจตพล" สู้หมดหน้าตัก คว้าแชมป์เดอะสตาร์ปลดล็อกชีวิต 10 ปีไม่เคยทิ้งฝัน
หมวดหมู่: ความบันเทิง