GWM กับก้าวต่อไป คุณอยากให้รุ่นไหนมาขาย?

GWM กับแผนงานการขายรถยนต์รุ่นใหม่ในไทย อยากได้รุ่นไหนมาดูกัน!

GWM กับก้าวต่อไป คุณอยากให้รุ่นไหนมาขาย?

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2023 ทาง GWM ประเทศไทยเพิ่งแถลงผลงานยอดขายปีที่ผ่านมา แม้จะมีอุปสรรคไม่น้อยสำหรับแบรนด์หน้าใหม่ที่เพิ่งเอาเท้ามาแตะประเทศเราไม่ครบ 3 ปีดี อย่างน้อยยอดขายก็ถือว่าเกินคาด โดยทั้งหมดมียอดขายรวม 11,616คัน โดยรถที่เป็นตัวชูโรง คือ ORA Good Cat ครองแชมป์รถยนต์ไฟฟ้าขายดีที่สุด 4,326 คัน ส่วน SUV อย่าง H6 ก็ใช้จุดเด่นด้านดีไซน์กับแรงม้าที่สวนทางกับราคา ฟันยอดในกลุ่ม SUV พิกัดเดียวกับ Honda CR-V ได้เป็นอันดับหนึ่ง ด้วยตัวเลข 4,135 คัน (แต่อย่าลืมว่า CR-V ที่ขายอยู่นั้นชราภาพ และเตรียมขึ้นตัวถังใหม่ในไทยเร็วๆ นี้แล้ว)

ส่วน Jolion นั้น ทำยอดไปได้ 3,155 คัน ซึ่งอาจไม่สูงมากเท่าที่คาดหวังไว้ ซึ่งมีปัจจัยได้หลายทางสุดแต่จะคาดเดา อาจเป็นได้ทั้งประเด็นเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่ไม่ประหยัดเท่าคู่แข่ง และไม่เป็นไปตามที่ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วคาดหวัง หรืออาจเป็นเพราะ H6 ที่ตัวโตกว่า พลังสูงกว่า มีราคาอยู่ห่างออกไปไม่เยอะ ทุกก้าวที่ย่างไป มีได้ทั้งเหยียบดินและเศษแก้ว แต่แบรนด์ก็ต้องเดินหน้าต่อไปเพราะมาแล้วจะให้ถอยคงยาก

ในบรรดารถแบรนด์จีนที่ทำตลาดในไทยขณะนี้ นอกจาก MG แล้ว GWM ก็เป็นอีกค่ายที่มีการลงทุนเม็ดเงินจำนวนมหาศาลในประเทศ ซื้อโรงงานที่ระยองต่อจาก General Motors ซึ่งจะทำให้มีการใช้แรงงานท้องถิ่นเกิดขึ้น พร้อมทั้งมีการพยายามเจริญสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถของทางค่าย เพื่อขายในประเทศและส่งต่อไปยังเพื่อนบ้านภูมิภาคอาเซียน เงินนั้น “เซ็น”
ไปแล้ว การศึกนี้จึงถอยไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน

สิ่งที่ต้องทำนอกจากสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ ก็คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องตามแผนการ “9 in 3” คือการเปิดตัวรถใหม่ 9 รุ่นภายในระยะเวลา 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ H6 คลอดออกมาขายคนไทยนั่นเอง ผมได้ฟังข้อมูลที่ทางผู้บริหารนำมาแชร์ จริงอยู่ว่า 11,000 คันเศษ คือตัวเลขที่รถอย่าง Isuzu D-Max ใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ขายได้แล้ว แต่อุปสรรคของ GWM ในด้านซัพพลายไม่พอ เช่น การที่ Good Cat ต้องปิดรับจองไปตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 ทำให้บริษัทเห็นได้ว่าโอกาสโตในโลกของ EV ประเทศเรามีอีกมาก ขอเพียงแค่มีรถมาขายให้ทัน ในปี 2023 ทาง GWM ตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ที่ 18,000 คัน หรือต้องโตให้ได้ 50% ของปีก่อน

สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ก็ต้องมีรถโมเดลอื่นมาช่วยดันด้วย ตามที่หลายแหล่งข่าวเสนอ GWM ได้เผยไต๋ออกมาแล้วว่าในปีนี้ จะมีการเปิดตัวรถใหม่ 5 รุ่น โดยทางผู้บริหารพูดชื่อมา 3 รุ่นแล้วที่ว่า “มาแน่นอน” คันแรกคือ ORA Grand Cat หรือที่เมืองจีนเรียกว่า Lightning Cat เป็นแมวที่ผสมพันธุ์โดยนำพ่อพันธุ์ Porsche มารวมกับแม่พันธุ์ VW Beetle และแต่งกลิ่นเจือสีสังเคราะห์ให้ออกมาเป็นรถสไตล์ ORA แบบ Retro

ทุกที่บนรถคันนี้จะมีความคลาสสิกกับความทันสมัยเบียดกันอยู่แต่อยู่ด้วยกันแล้วเก๋
เฉกเช่นถนนหลายสายในฮ่องกง Grand Cat นั้นหน้าตาน่ารักน่ากอด แต่ใครไปแหย่เล่นจะกัดนิ้วขาดได้ เพราะมันคือรถ EV ที่ใช้มอเตอร์สองตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ และมีพลังมากถึง 408 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 จบภายใน 4.3 วินาที โหดตามสไตล์พลังมอเตอร์ที่ดึงแบบไม่รอรอบ Grand Cat จะมาทำตลาดในระดับเหนือกว่า Good Cat GT ดังนั้นเป็นไปได้ว่าราคาก็ต้องสูงกว่า ตามต้นทุนระบบขับเคลื่อนรวมถึงแบตเตอรี่ขนาดโตพอให้วิ่งได้ 550 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ถ้าให้ผมเดาราคา เจ้าแมวชมพูกัดเลือดสาดตัวนี้ น่าจะอยู่กึ่งกลางระหว่าง Good Cat GT กับ Tesla Model 3 รุ่นมาตรฐาน ทำไมน่ะหรือ? ก็ถ้าราคา 1.7 ล้านเท่า Tesla ผมเชื่อว่าลูกค้าจำนวนหนึ่งก็จะไปหา Tesla ครับยกเว้นกลุ่มสาวน่ารักแต่เท้าหนักกระทืบเท้าช้างร้อง

คันต่อมาคือ Wey Tank 300 ซึ่งบางคนอาจจะงง ตกลงมันเรียกว่าอะไรฟระ? GWM Wey Tank หรือ? คืออย่างนี้ครับ ให้มองว่า GWM เป็นฟู้ดคอร์ทภายใต้เจ้าของเดียว ร้านต่างๆ ที่เปิดในนั้นส่งเงินไปให้เจ้าของเดียว แต่แยกร้านที่แตกต่างให้ลูกค้าเลือกง่าย Haval คือร้านที่ขาย SUV ไฮบริดหรือปลั๊กอินเป็นหลัก ORA จะขายแต่รถเก๋ง EV ส่วน Wey นั้นก็ขายรถลักษณะคล้าย Haval แต่เป็น SUV ที่ขายสไตล์แฟชั่น/Retro/Premium ในขณะที่ Haval จะดีไซน์กับวางราคาเอาใจมหาชนมากกว่า ส่วน TANK ก็นับเป็นแบรนด์ย่อยของ Wey อีกทีนึง

Tank 300 นั้น เมื่อมีคนในทีม GWM Thailand ถามผมนานมาแล้วว่าจะเอามาขายดีไหม ผมคือคนหนึ่งที่บอกว่า “เอามาเลย” ด้วยความเชื่อว่าประเทศไทยเรามีคนหลงใหลรถสไตล์ Suzuki Jimny อยู่ไม่น้อย แต่ในขณะที่ Jimny นั้นมาน้อย ขายน้อย หรือไม่ก็ต้องพึ่งพาเกรย์และราคาไม่ได้ถูก ถ้ามันมีรถที่สไตล์คล้ายกันแต่คันโตกว่าพลังสูงกว่าแล้วราคาคุยง่าย ผมถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์มีศักยภาพในการขาย ตามข้อมูลของ Autolifethailand.tv

รุ่นที่เข้ามาขาย น่าจะมีราคาประมาณ 1.6 ล้านบาทหรือเขยิบขึ้นไปเท่าตัวท็อปของ CR-V ตัวรถมีขนาดโตกว่า H6 เล็กน้อย และจะใช้ขุมพลังที่โหดกว่า ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบบวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 304 แรงม้า แรงบิด 604 นิวตันเมตร มันจะทำตลาดในตำแหน่งที่สูงกว่า H6 จึงคาดหวังได้ว่าอุปกรณ์ต่างๆ จะมีมากกว่า H6 เสียอีก

ที่คอนเฟิร์มก็คือมันจะเป็นรถออฟโรดได้เต็มขั้น ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full-
time พร้อม Diff-lock ไม่ใช่แค่ SUV ลุยน้ำท่วมสุขุมวิทแบบ H6 ส่วน Tank 500 นี่ เพื่อนๆ สื่อมวลชนหลายท่านเจอตัวจริงในงานมอเตอร์โชว์แล้วอยากให้เอามาขาย
มันคือ SUV ขนาดใหญ่ ยาวกว่า กว้างกว่า และสูงกว่า Ford Everest ขึ้นไปอีก และทำให้ Fortuner ดูกลายเป็นรถไซส์เล็กไป รถรุ่นนี้ที่จีนจะทำตลาดเป็น Luxurious SUV คือเป็น SUV หรู แต่ในไทยนั้นจะทำตลาดแบบ Premium-mass ซึ่งก็คือคลาสที่ดูจะสอดระหว่างรถระดับ Mercedes-Benz GLS กับรถอย่าง Everest แต่จากที่ผู้บริหารเผยไต๋มานิดๆ พวกเขาจะพยายามทำราคาให้ค่อนมาทาง Everest มากกว่า ซึ่งถ้าพูดว่าหรู หากใครได้เจอรถคันจริงที่งาน Motor Expo มาแล้วลองสัมผัสภายใน จะรู้ว่าคราวนี้ หรูคือหรูจริงครับ ไม่ใช่คำโฆษณา ดีไซน์ อุปกรณ์ วัสดุ
ถ้าเอาเทปปิดโลโก้ภายในแล้วเอาผ้าคาดตาใครมาขึ้นนั่งในรถ แหกผ้าคาดตาออก ให้เดาว่ารถอะไร คงมีน้อยคนจะเดาว่าเป็นรถจีน

ผมเองยังชอบมากที่เขาออกแบบให้ผสานวัฒนธรรมจอโต เข้ากับการมีปุ่มกดแบบพอเพียง ไม่ใช่เอาปุ่มมาเป็นล้านแล้วใช้ยาก หรือยัดทุกอย่างบนจอ กดตอนขับทีลำบากจิต แต่ผมคือหนึ่งคนที่แทงหวยว่า Tank 500 น่าจะขายได้ แต่ไม่บูม เพราะแม้คนไทยชอบรถใหญ่ ชอบความหรูจริง แต่ตลาดกลุ่มที่พร้อมจ่ายเงิน 1.8- 2.5 ล้านบาทนั้นคือคนฐานะปานกลางถึงรวยระดับยอดหญ้าที่ยังมีความยึดติดแบรนด์ หรือมีรถที่ตัวเองอยากได้อยู่ในใจแล้ว คนที่อยากซื้อ Fortuner ใครจะพูดอย่างไรก็จะเอา Fortuner

ส่วนคนที่ชอบความไฮเทค ปฏิเสธแบรนด์หลัก ก็จะไปหา Everest เมื่อคุณเอา Tank 500 มาชนกับ Everest พูดง่ายๆ ว่า ถ้าอย่างหลังถูกกว่ากันสักสองสามแสน ลูกค้าก็พร้อมจะเบี่ยงใจแล้ว และ 500 นั้นก็ไม่ได้มีรูปทรงที่เก๋กระชากใจ แตกต่างชัดเจนแบบรุ่นน้องอย่าง 300 ผมอาจจะแทงหวยผิดก็ได้นะครับ..

ทีนี้ ก็ยังเหลือรถใต้ผ้าขาวม้าอีกสองรุ่นที่ทาง GWM Thailand ยังปิดปากเงียบ ไม่ยอมเฉลยว่าจะเป็นรุ่นอะไร ตรงนี้ เรามีพื้นที่ให้ออกความคิดเห็นกัน เพราะทาง GWM ก็ยังคอยแอบฟังลูกค้าตามโซเชียลอยู่ตลอด แม้ว่าในใจบอสที่จีนอาจเลือกรุ่นมาให้แล้ว แต่ยังมีโอกาสที่จะพลิกได้ ถ้าเป็นคุณ เปิดพอร์ทรถทั้งหมดที่ Haval, Ora และแบรนด์ในเครือ GWM ทั้งหมดดู คุณคิดว่ารุ่นไหนที่เขาควรเอามาขายครับ?

สำหรับผม ขออนุญาตให้ความเห็นในฐานะผู้ไม่เชี่ยวชาญดังนี้ครับ.. ตามที่มีการเชิญสื่อระดับแนวหน้าของประเทศไปลองขับ และจากการนำรถมาโชว์ในไทยตามงานที่ผ่านมา ผมคิดว่า Haval H6 GT ซึ่งเป็นเวอร์ชันสปอร์ตหลังคาลาดของรถครอบครัวตัวเหลี่ยมอย่าง H6 อาจจะเป็นหนึ่งในรุ่นที่พวกเขาหมายตาไว้ ความง่ายมันอยู่ที่ตัวรถพัฒนาบนพื้นฐานแพลตฟอร์ม LEMON แบบเดียวกับ H6 องค์ประกอบหลายอย่างใช้ร่วมกับ H6 ได้รวมถึงขุมพลังในการขับเคลื่อน หน้าตาของรถก็ดูเก๋ไม่หยอกออกแนว GLC 43 กับ BMW X4 เมื่อรวมกับสีโทนดุๆ และชุดแต่ง ทำให้ได้รถที่ใช้งานได้คล้าย H6 แต่หน้าตายังดูเหมาะกับคนโสดอยู่บ้าง ขุมพลัง 243 แรงม้าไฮบริดนั้น เท่าที่เคยสัมผัสใน H6 เรื่องแรงไม่ใช่ปัญหา ขาดแค่การปรับจูนการตอบสนองอีกหน่อยก็จบ

รถอีกคันที่มีแนวโน้มนำมาขายจากการที่มีทีมวิจัยสอบถามความเห็นและเอ่ยถึงมาก่อน ก็คือ Poer P-Series รถปิกอัพที่เคยมาโชว์ตัวในประเทศไทยแล้ว ที่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพวงมาลัยขวา ก็มีขายในชื่อ GWM Ute Cannon ใส่เครื่องดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ 163 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ ส่วนที่จีน ก็มีเวอร์ชัน EV ใส่มอเตอร์ 204 แรงม้าแล้ว ดังนั้นถ้า GWM ประเทศไทยเอาเข้ามาขาย ก็อาจจะต้องไปแย่งลูกค้ากันกับ Hilux Revo BEV ที่ Toyota มีแผนจะทำขายเช่นกัน แต่รถทั้งสองรุ่นนี้ ผมกลับมองว่า ถ้าผมเป็นคนมีอำนาจโหวตใน GWM ผมคงอยากเลือกที่จะนำรถรุ่นอื่นมาขายมากกว่า H6 GT

เป็นรถที่มีความเด่นในดีไซน์ SUV Coupe แต่นอกจากดีไซน์แล้ว สิ่งอื่นไม่ได้ฉีกภาพไปจาก H6 เท่าที่ควร ส่วน Poer นั้น เอามา ก็จะมาเจอกับตลาดที่เค้กก้อนโต แต่ 70-80% มีเจ้าของแล้ว และเจ้าของก็ดุ คนเชียร์เจ้าของก็โคตรดุ แล้วเราอยากให้แบรนด์เราโตในลักษณะที่เกิดมาท่ามกลางความลำบาก หรืออยากจะเปิดตัวให้เปรี้ยงปร้าง ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะไปเปิดศึกในสงครามที่ฝ่ายตรงข้ามมีแต่จุดแข็ง หรือไปยังที่ที่ฝ่ายตรงข้ามยังทำอะไรไม่ได้?

ผมคิดว่า GWM น่าจะลุยไปสู่หนทางความเป็นไฟฟ้ามากขึ้น ผมไม่ได้เป็นติ่ง EV นะครับ แต่มองตามความจริงว่า มันยังมีตลาดที่คู่แข่งน้อย มีโอกาสทำเงิน และ GWM ก็มีผลิตภัณฑ์ที่น่านำมาขาย รถอย่าง ORA R1 (Black Cat) และ ORA R2 (White Cat) นั้น ถึงดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ผมเชื่อว่า มันน่าจะเป็นตัวสร้างแบรนด์ที่ดี โดยเฉพาะการที่รถสองรุ่นนี้ มีรูปทรงน่ารัก มีเอกลักษณ์ ถึงแม้จะมีกลิ่นจากรถยี่ห้ออื่นบ้าง แต่ในเมื่อตัวแทนในไทยเขาไม่ทำตลาดก็ถือเป็นโอกาสไป รถอย่าง White Cat นั้น มีระดับทางการตลาดที่สูงกว่า Black Cat ด้วยอุปกรณ์ วัสดุ และการออกแบบที่น่าจะจับลูกค้าได้เป็นกลุ่มกว้าง

คนไทยต้องการรถใหญ่ แต่เมืองไทยต้องการรถเล็กครับ มันคือสิ่งที่เพียงพอต่อความต้องการของคนที่ไม่ได้เดินทางไกลบ่อยๆ มอเตอร์ไม่ได้มีแรงขับสูงมาก แต่เพียงพอสำหรับการใช้งานในเมือง วิ่งทางด่วนเลนขวาได้บ้าง ความเล็กอาจจะน่ากลัวในสายตาคนไทยที่กลัวสารพัดรถคันใหญ่จะมาเบียดมาชน ...ลองถามคนใช้มอเตอร์ไซค์บ้างไหมว่าชีวิตนี้เจออะไรมาบ้าง

หรือลองถามคนที่จองและซื้อ Neta V ไปว่า เขาไม่กลัวเหรอ? บางทีรถแบบนี้ คือสิ่งที่พอเพียงสำหรับการใช้งานในชีวิต และสำหรับคนไทย แม้จะพอเพียง แต่ก็ต้องมีสไตล์ มีความเก๋ ถ้าเรามีรถอย่าง “แมวดำ” และ “แมวขาว” ขายในราคาที่ถูกยิ่งกว่า Good Cat ลงไปอีก ตรงนี้ ผมว่าเราจะดึงลูกค้ากลุ่มที่เป็นวัยเยาว์ ทัศนคติโลกใหม่เข้ามาได้มาก ถ้าจะเอามาขายทั้งเวอร์ชัน47 แรงม้า/300 กิโลเมตร และเวอร์ชัน 60 แรงม้า /400 กิโลเมตรได้ก็น่าสน เพราะคนที่ใช้ตามหัวเมืองต่างจังหวัด สัญจรไปมาวันละ 30

กิโลเมตร แค่เวอร์ชันแบตเล็กก็เพียงพอ และทำให้ราคาของรถซื้อได้ง่ายขึ้นอีก ไหนๆ ก็จะเป็นแบรนด์ที่มุ่งหน้าไปสู่อารยธรรม EV แล้ว ผมคิดว่า สองรุ่นนี้นี่ล่ะ คือตัวที่น่าจะเอามาเสริมช่องว่างเสียให้เต็มภายในเร็ววัน ก่อนที่ Tesla หรือบริษัทญี่ปุ่นจะสร้างรถมาตอดลูกค้าที่จ่ายเงินงบประมาณระดับนี้ได้ ท่านผู้อ่านคิดอย่างไรกันบ้างครับ?

Pan Paitoonpong

คุณกำลังดู: GWM กับก้าวต่อไป คุณอยากให้รุ่นไหนมาขาย?

หมวดหมู่: รถยนต์

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด