"หนิง ปณิตา" ร่ำไห้! เปิดหมดเปลือกชีวิตที่ทนมา 10 ปี ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเอง
"หนิง ปณิตา" ถึงเวลาเปิดแบบหมดเปลือกหลังเลิกลากับอดีตสามี ยอมทนมา 10 ปีวันนี้ถึงเวลาปล่อย ร่ำไห้! ชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลย
นักแสดงผู้จัดละครชื่อดังและคุณแม่สุดแกร่ง "หนิง ปณิตา" ถึงเวลาเปิดแบบหมดเปลือกหลังเลิกรากับอดีตสามี เล่าถึงบทเรียนที่ผ่านมา ยอมทนมา 10 ปีวันนี้ถึงเวลาปล่อย ร่ำไห้! ชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลยในรายการ WOODY FM
รู้สึกว่าหนิงเลือกที่จะหยุดนิ่งเงียบในบางเรื่อง ในสมัยก่อนคิดว่าคงจะไม่ยอม แต่คราวนี้คุณกลับเงียบและใช้เวลาไตร่ตรอง กระบวนความคิดของคุณที่ผ่านมาต่างจากอดีตยังไง ?
หนิง : เพราะหนิงมีลูกไงพี่ แล้วเด็กคนหนึ่งที่หนิงฟูมฟักมาตั้งแต่ในท้อง ทุกคนที่รู้จักน้องนิลินก็จะชื่นชมเขา ว่าเขาเป็นเด็กมีสัมมาคารวะ มีมารยาท มีความสุข แอคทีฟในการทำอะไรหลายๆ เรื่อง แล้ววันหนึ่งลูกของหนิงเริ่มเปลี่ยนไปไม่แอคทีฟในเรื่องที่ควรจะมีความสุขในแบบเด็ก แล้วสิ่งที่อยู่ในความคิดเขาก็จะเป็นเหมือนหนิงในภาคเวลาที่หนิงรักเพื่อนคือคอยห่วงคนโน้นห่วงคนนี้ ทั้งหมดทั้งโลกเขาก็จะคอยห่วงว่าวันนี้แม่จะเป็นยังไง แม่ร้องไห้ไหม แม่ออกไปทำงานเป็นยังไงบ้าง มันทำให้โลกทั้งใบของเขาตรงนั้นแทนที่จะไปใช้ชีวิตที่สดใส ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ตรงนั้นมันถดถอยลง แล้วก็แบกทุกอย่าง ความรู้สึกของคนรอบข้างแบบที่แม่เป็นในวัย 10 กว่าขวบ
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกเป็นยังไง ?
หนิง : เหมือนเพื่อน เขาก็เป็นทุกอย่างให้หนิงเป็นพลัง หนิงก็เป็นทุกอย่างให้เขา มันเหมือนเราเป็นคนๆ เดียวกัน
ดังนั้นที่ผ่านมาทุกเรื่องราว เขาพูดกับแม่ตรงๆ เลยไหม ไม่แน่ใจว่าสื่อที่บ้านเปิดรับขนาดไหนสำหรับเขา ?
หนิง : วันนี้น่าจะยากตรงที่ว่าเราปิดอะไรไม่ได้ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราปิด แต่เขารู้จากเพื่อน เพื่อนๆก็รู้จากพ่อแม่ตัวเอง เลยเป็นอะไรที่ทำให้เราปิดไม่ได้เลย เขารู้ในประเด็นที่ว่าเรามีปัญหากันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราพยายามจะแสดงหรือทำให้เขาเห็นเหมือนกับว่าเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน อันนั้นมันคือผู้ใหญ่ 2 คนที่มีปัญหา ตัวคุณไม่ได้มีปัญหาอะไร การที่ผู้ใหญ่ 2 คนมีปัญหากันไม่ได้หมายความว่าเด็กต้องมีปัญหา คือที่บ้านจะไม่ทำอะไรเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอสื่อมันเยอะ บางเรื่องเราไม่ได้บอกรายละเอียด แต่คนไปถามเขาถึงในรายละเอียด มันเจ็บปวดตรงนี้
แล้วเวลาเด็กคุยกัน โอ้โห เด็กเขาไม่ได้คุยอะไรต่างจากพวกเราเลย สิ่งที่เด็กเม้าท์ก็ไม่ต่างจากพวกเรา แต่สิ่งเดียวที่เด็กต่างจากเราคือกระบวนการความคิด เขาจะคิดถูกคิดผิดต่างจากเรา เพราะเรามีประสบการณ์มากกว่าเท่านั้นเอง ความโชคดีของหนิงคือ หนิงมีกุนซือ ขอนุญาตใช้คำนี้ จริงๆ วันที่หนิงแย่มากๆ ถามว่าเพื่อนหนิงรู้เรื่องไหม รู้เรื่องประปราย แต่ไม่ได้หมายความว่าโทรคุยกับเพื่อนตลอดเวลา แต่ว่าวันนี้ไม่ไหวในการตัดสินใจของตัวเองจริงๆ ด้วยเหตุและด้วยผลและด้วยอารมณ์ หนิงจะโทรหา พี่อ้อม สุนิสา เขาก็จะเป็นฝ่ายสนับสนุนในแง่ว่าให้ทางเลือก คุณจะทำแบบที่คุณคิดก็ได้แต่ผลอย่างนี้อันนี้จากที่พี่คิดนะ แต่ถ้าทำแบบนี้ผลจะเป็นอย่างงี้ๆ หนิงก็เอากลับไปคิดแล้วก็กลับมาคุย
10 ปีที่ผ่านมาหนิงได้เรียนรู้อะไรมากที่สุด ?
หนิง : สติและความใจเย็น ทุกปัญหาเวลาเข้ามาหนิงเชื่อว่าเวลาใครมีปัญหา ก็รู้สึกเราอยากจะหลุดจากปัญหา แต่เมื่อหลุดจากปัญหาไม่ได้ เราจะรับมือกับปัญหาอย่างไรให้มีผลกระทบต่อตัวเรา ต่อใจตัวเราให้น้อยที่สุด คือผู้ใหญ่ชอบสอนบอกว่า มีเรื่องอะไรหนักๆ ก็บอกว่าช่างมันเถอะๆ คำว่าช่างมันดูเหมือนทำง่ายแต่มันทำยากมากแต่เมื่อทำได้แล้วคำว่าช่างมันก็จะต่อไปอีกว่าช่างมันแล้วยอมรับกับมันไหม ยากไปอีกสเต็ปแล้วพอยอมรับกับมันเสร็จ ยอมที่จะปล่อยมันไหม กระบวนการของหนิงสุดท้ายช่างมันยอมรับอยู่ให้มันมีความสุข แต่มันไม่มีหรอกยอมรับแล้วอยู่ให้มันมีความสุขจริงๆ อ่ะ คนเรามีหัวจิตหัวใจ แล้วถ้าอยู่ได้ไม่มีความสุขจริงๆ 100% ปล่อยไหม? แล้วพอปล่อยมันก็จะมีความกลัวๆ แต่พอได้ปล่อยจริงๆ โห! มันแค่นี้จริงๆ เหรอ
ที่ไม่ปล่อยแล้วแบกไว้ นี่คือกี่ปี ?
หนิง : 10 ปี
10 เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่มาก ในเรื่องนี้หนิงทนและอยู่จนสุดๆ ว่าทนจนสุดจะเป็นยังไง ?
หนิง : คือบางครั้งหนิงอยากจะลบคำตราหน้า ลบคำที่โดนตำหนิติฉินทุกอย่างมาตลอด หนิงเป็นคนที่เสียเพราะว่าหนิงใจร้อน ทำอะไรเร็ว ใช้อารมณ์ ปากไม่ดี พูดจาตรงไปตรงมา แต่ทั้งหมดหนิงยังเป็นแบบหนิงคนเดิมได้นะ เพียงแค่ใจเย็นๆ และจากที่คิดอะไรแล้วพูดเลย เราก็แค่เอาเหตุผลมานำก่อน ว่าทำยังไงให้เราคิดแบบนี้ แต่เป้าหมายเดิม ความเร็วในการตัดสินใจและการทำอะไรลดลงมาก พอมันลดลง เวลาที่มันลดเราต้องใช้ความพยายามมากใช่ไหมแต่มันจะมีความรอบคอบมากขึ้น เราก็จะเห็นระหว่างทางแล้วว่าอะไรเป็นจุดด้อยของเราก็จะลงไปขยี้ในจุดนั้นเพื่อแก้ไขและปรับปรุง แล้วพอวันที่เราตัดสินใจว่าปล่อย เราจะไม่มี 1 2 3 4 5 ที่เราจะต้องมาตอบคำถามตัวเองว่าเราทำดีแล้วหรือยัง
ที่ทนไม่ใช่ทนเพราะอยากจะยื้อหรือยังอยากจะรัก ความรักมันจบไปนานมากแล้ว แต่ที่ทนที่ยื้อมีแค่ 2 สิ่ง ถ้ามันดีเกิดดวงดีโชคดีนะลูกของเราก็จะได้สมบูรณ์ แต่ถ้าดวงไม่ดีโชคไม่ดี แต่บนความไม่ดีที่จะต้องปล่อย แล้วเดินออกมาหนูจะจบทุกอย่างแบบที่ใครที่เคยว่าเราเอาไว้ทั้งหมด จะพิสูจน์ใช้เวลากับมันให้รู้ว่าคนๆหนึ่ง ถ้าเราเปลี่ยนคนอีกคนไม่ได้ เราสามารถเปลี่ยนตัวเราเองได้จริงๆ นะ มันอาจจะไม่ถูกใจใคร 100% นะ แต่มันดีที่สุดสำหรับตัวเรา แล้วยิ่งวันนี้การที่หนิงโทรหาคนน้อยที่สุด การที่เราตัดสินใจแบบนี้แล้วปรึกษาคนน้อยที่สุด มันทำให้เห็นว่าเราเปลี่ยนได้จริงๆจากตัวเรา ไม่ใช่จากที่มีเสื่อคอยรับๆๆ แล้วสุดท้ายไม่รู้จริงหรือเปล่า
ระหว่างที่เจอเรื่องราวทั้งหมดคุณก็ยังทำงานได้ดี มีพลังกับการทำงาน เพราะคุณเป็นคนที่จริงจังมาก ทั้งหมดทั้งปวงพี่แอบรู้สึกว่าถ้าคุณไม่มีงานจะบ้าไหม ถ้าไม่มีงานก็อยากรู้ชีวิตคุณจะเป็นยังไง ?
หนิง : คือชีวิตหนิงเนี่ยนะ ถ้าอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องทำงาน หนิงว่าหนิงบ้า เพราะพลังขับเคลื่อนหนิงทั้งหมด มันถูกขับเคลื่อนด้วยพลังในการทำงาน เพราะมีจุดมุ่งหมายว่าหนิงทำงานต้องการอะไร เรามีคนข้างหลังที่เป็นห่วงอีกเยอะแยะมากมาย ที่สุดก็คือลูกหนิง แม่หนิง ครอบครัวหนิง แล้วเรายังมีลูกน้องที่เขาเป็นทหารคอยอยู่ข้างหลังเรา คนเรามันจะประสบความสำเร็จได้ ในวันนี้ที่เป็น หนิง ปณิตา เราไม่ได้เก่งคนเดียว และหลายๆเรื่องหนิงก็ดันไม่เก่งด้วย หนิงมีแม่ทัพซ้ายขวามีขุนพลมีทหารที่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง แล้วถ้าวันนี้หนิงล้มคนข้างหลังเราอีกเท่าไหร่ เราก็ต้องพยายามจะยืนขึ้นมาให้ได้ เรามีเรื่องต้องทำ เรามีเป้าหมายข้างหน้า
ล่าสุดที่หนิงได้แสดงความรักกับตัวเองจริงๆ คือตอนไหน เพราะรู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมา คุณให้ใจกับทุกคนอย่างเดียว ?
หนิง : โหว... (น้ำตาคลอ เสียงสั่น) ไม่มีอ่ะ เวลาซื้อของ แต่จริงๆมันก็แค่บำบัดชั่วคราว (ร้องไห้) จนกลายเป็นวันนี้เชื่อไหมใครถามว่าอยากได้อะไรบ้างไปซื้อของคลายเครียดกัน ไม่อยากได้อะไร
ที่พูดมาพี่ไม่เห็นว่าคุณทำอะไรเพื่อตัวเอง เลยไม่รู้ว่าคุณเคยชื่นชมตัวเองหรือเปล่า ?
หนิง : พี่รู้ไหม คำถามนี้เป็นคำถามที่ทั้งพี่อ้อมเอง ทั้งที่ปรึกษาเอง ก็บอกว่าให้หนิงไปหามาหน่อย เขาถามว่าอะไรที่มันเป็นความสุขของคุณหนิง ทำให้หมอหน่อยได้ไหม หนิงก็บอกว่าความสุขของหนิงเหรอ หนิงเป็นคนชอบแต่งตัวสวยๆ เป็นคนชอบไปนวดหน้าทำเล็บ ทำผม รู้สึกว่าตัวเองสวยแล้วหนิงมีความสุข หนิงก็ไปทำตามที่หนิงพูดกับที่ปรึกษา มีอยู่วันหนึ่งทั้งวันหลังจากที่ปรึกษาพูด เราก็เข้าเอ็มควอเทียร์เลย ไปช้อปปิ้ง เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ใช่ เชื่อไหมว่าสัมภาษณ์มาหลายรายการเลยนะ ยังไม่เคยร้องไห้ พี่ว่าหนิงร้องไห้ง่ายไหมถ้ามีกล้อง ยากมากนะพี่ น้อยมาก หนิงเป็นคนไม่ค่อยร้องไห้โดยไม่จำเป็น จนเพื่อนๆ พูดว่าร้องไห้บ้างก็ได้
สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook:
Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 19.00 น.
คุณกำลังดู: "หนิง ปณิตา" ร่ำไห้! เปิดหมดเปลือกชีวิตที่ทนมา 10 ปี ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเอง
หมวดหมู่: ความบันเทิง