กว่าจะเป็น "ทิดแอม" นักร้องเพลงฮิต "บักคนซั่ว" กำลังใจคือแรงผลักดันไม่ให้ความสำคัญคำดูถูก

จับเข่าคุย "ทิดแอม" เส้นทางก่อนแจ้งเกิดกับเพลง "บักเพลงบักคนซั่ว" ขอบคุณทุกกำลังใจเป็นแรงผลักดันจนถึงเป้าหมาย ลั่นไม่เคยคิดขอบคุณคำคนดูถูก

กว่าจะเป็น "ทิดแอม" นักร้องเพลงฮิต "บักคนซั่ว" กำลังใจคือแรงผลักดันไม่ให้ความสำคัญคำดูถูก

จับเข่าคุย "ทิดแอม" เส้นทางก่อนแจ้งเกิดกับเพลง "บักเพลงบักคนซั่ว" ขอบคุณทุกกำลังใจเป็นแรงผลักดันจนถึงเป้าหมาย ลั่นไม่เคยคิดขอบคุณคำคนดูถูก

"บักคนซั่วจั่งอ้าย มันเอาเหล้ายาปลาปิ้งเป็นใหญ่ มันบ่เหมาะกับไผไคแนแต่ไปเลาะหาเซ้นเหล้า บักคนซั่วจั่งอ้ายผู้ได๋สิตาบอดปวงมาเอา กะเป็นขี้ข้าเขา เหล้าเซ็นเขาไว้บ่ทันจ่าย"

ท่อนฮุค "บักคนซั่ว" เพลงฮิต ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายห้วงเวลานี้ หนุนให้ "ทิดแอม" ดาวยูไลค์ไทยแลนด์ แจ้งเกิดเป็นนักร้องเต็มตัว ภายใต้การสร้างสรรค์ผลงานของค่าย "บังเอิญ มิวสิค" ค่ายเดียวกับ "บุ๊ค ศุภกาญจน์" นักร้องเพลงกินใจมหาชน "ละไว้ในฐานที่เข้าใจ" คิวเดินสายคอนเสิร์ตแน่นตั้งแต่ปลายปี 66 ข้ามไปถึงปี 67 เจ้าภาพถูกใจไปไหนก็ได้ยินคนเปิดฟังกันอย่างคึกคัก หน้าฮ้าน (หน้าเวที) แฟนเพลงร้องตามกันสนั่นหวั่นไหว เรียกแขกได้เกินราคา ค่าตัวหลักหมื่น

ทิดแอม มีชื่อจริงว่า "ศรนรินทร์ พิมพะ" เปิดใจกับทีมข่าว Sanook.com ย้นเส้นทางกว่าจะมาถึงวันนี้ เส้นทางของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เหมือนกับนักร้องส่วนใหญ่ ที่ต้องดิ้นรน ฟันฝ่าอุปสรรคมาก่อนได้ลิ้มรสความสำเร็จหอมหวาน ทิดแอมเล่าว่า เขาเกิดและเติบโตที่ ต.ท่าตะเกียบ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา แต่ทว่าสายเลือดนั้นเป็นลูกอีสาน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะแม่เป็นคน อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ พ่อเป็นคน อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ สมัยก่อนทางการให้คนมาถางจับจองที่ทำกิน พ่อแม่ได้ย้ายมาตั้งหลักปักฐานที่นี่

เขาเล่าต่อว่า พ่อแม่สอนให้เรียนรู้ สู้ความลำบากมาตั้งแต่เด็ก ช่วยพ่อแม่ปลูกมันสำปะหลังตั้งแต่อายุ 5 ขวบ

"5-6 ขวบพ่อแม่ก็น่าจะสอนให้ลำบากแล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้ขยันอยากทำหรอก ก็ถูกพ่อแม่บังคับ ปลูกมันครับ ปลูกมันสำปะหลัง เสียบมันๆ เสียบมันๆ 20-30 ไร่ ผมมีน้องสาวหนึ่งคน น้องสาวผมเป็นเด็กน้อยก็จะได้อยู่ในร่ม เวลาผมไม่อยากทำงาน ผมก็จะไปบอกน้องสาวว่า มึงต้องงอแงนะเว้ย ถ้ามึงไม่งอแงพ่อกับแม่ไม่ให้พี่มาเล่นกับหนูนะ พอผมออกไปทำงานน้องก็งอแงให้พี่มาอยู่ด้วย แบบเหลี่ยมแต่เด็กเลย พ่อก็บอกไปเล่นเป็นเพื่อนน้องไป แป๊บเดียวแม่ก็บังคับออกมาอีก ตอนแรกก็ไม่เข้าใจทำไมพ่อแม่ถึงทำแบบนั้น พอเริ่มโตขึ้นมา ถ้าท่านไม่ได้ให้เราสู้มาตั้งแต่เด็ก ก็คงจะไม่แข็งแกร่ง"

"ปลายๆ ม.3 พ่อกับแม่ได้แยกทางกัน แม่คนเดียวทำงานส่งต่อไม่ไหว ผมก็เลยได้ออกมาทำงาน เผื่อที่จะให้น้องสาวเรียนคนเดียว แต่ก่อนก็เป็นหนี้เถ้าแก่ ค่าปุ๋ย ค่ายา ตามที่เกษตรกรเป็นไปครับ ก็ช่วยแม่ทำจนหลุดหนี้หลุุดสินมา แม่ก็เลยให้ผมมาอยู่กับน้า น้าก็พาไปไหนก็ไปครับ ไปอยู่สระแก้ว 2-3 ปี ไปขับรถไถ เลิกเรียนมา 3-4 โมงเย็น ก็เปลี่ยนชุดไปขับรถไถ ไถไร่ตอนกลางคืนจนถึงตี 2 ตี 3 เสร็จแล้วก็กลับมานอนแล้วก็ตื่นไปโรงเรียน จะเป็นอยู่แบบนี้ตลอด"

ทิดแอม เล่าต่อว่า หลังจากเรียนจบ ม.6 เขาอยากได้ดีกับการเล่นฟุตบอล แต่ทางบ้านสนับสนุนให้เป็นนักร้องมากกว่า แต่ก่อนจะตัดสินใจเดินทางนี้ให้สุด ได้ไปทำงานฝ่ายสินเชื่อ บริษัทไฟแนนช์ และได้อัดคลิปตลกโปกฮา และอัดคลิปร้องเพลง เผยแพร่ในโซเชียล จนมีผู้ติดตามจำนวนมาก

"ช่วงประมาณจบม.6 คิดว่าชีวิตนี้ผมจะเอาดีทางฟุตบอลให้ได้ รุ่นพี่แนะนำให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยหนึ่ง อยู่ชลบุรี แต่ไม่ได้ไปเพราะทางครอบครัวไม่มีใครสนับสนุนครับ เพราะว่ามันไม่มีตัวอย่างว่า เป็นนักฟุตบอลจะสามารถทำให้ชีวิตดีขึ้น หรือว่าเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ว่าตัวอย่างในการร้องเพลง ทางพี่น้องทางแม่ ถือว่าร้องเพลงดีหมดทุกคนเลย ทางพ่อก็มีเชื้อสายในการร้องเพลงดีครับ ท่านก็เลยสนับสนุนว่าทางไปเส้นทางนี้ ก็ไปให้มันสุดไปลองดู"

แอม บอกต่อว่า ก่อนจะแจ้งเกิดบนเส้นทางที่ครอบครัวสนับสนุน เขาเจอทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ มีแต่คนให้กำลังใจ และดูถูกถากถาง ซึ่งเขาเลือกใช้กำลังใจเป็นแรงผลักดันก้าวสู่เป้าหมาย ไม่เคยให้ความสำคัญกับคำคนดูถูก และไม่เคยคิดว่าคำคนดูถูกเป็นแรงผลักดันสู่ความสำเร็จ

"อายุประมาณ 16-17 ก็อยากพิสูจน์ตัวเองดู มีงานวัด งานวัดหนึ่งเขาประกวดร้องเพลง ก็ไปประกวด ก็ได้แชมป์มาครับ เวลาที่ผมไปงานเลี้ยงตามบ้านเพื่อน หรือตามบ้านญาติพี่น้อง เขาก็ชอบให้ผมขึ้นไปร้องเพลงให้ฟัง ก็มีงานอยู่บ้านหนึ่งผมก็ไป เขาก็ให้ผมขึ้นไปร้อง ผมก็ขึ้นไปร้องตามปกตินี่แหละ พอเลิกงานแล้ว ก็มีคนมาพูดให้ผมได้ยินว่า รู้ไหมว่าเจ้าของงานนั้นบอกว่า ใครให้ไอ้แมมันขึ้นไปร้องเพลงงานบ้านกู ประมาณว่าไม่อยากให้ไปวุ่นวายในพิธีในงานของเขา ก็ปล่อยผ่านไปครับ ไม่ได้ไปให้คุณค่ากับคำดูถูกเท่าไรครับ เพราะว่าผมคิดว่าการที่เราเติบโตได้ การที่เราแข็งแกร่งได้ เพราะว่ากำลังใจมากกว่า"

"คำดูถูกที่เขามาเนี่ยก็คือคำดูถูก คำดูถูกก็คือคำดูถูกอยู่วันยันค่ำ มันไม่ใช่กำลังใจ เราเหนื่อยอยู่เนี่ย มันต้องมีกำลังใจแบบ แรงบันดาลใจทำให้เราสู้ ถ้าเราไปคิดถึงคำดูถูก คำดูถูกก็คือคำดูถูก คือเอาไว้ตรงนั้นเลย พอสำเร็จมาปุ๊บ ไม่ได้แบบว่า ขอบคุณนะที่ดูถูก ไม่มีเลย คือ ขอบคุณกำลังใจ ขอบคุณตัวเอง คิดแค่ว่าเวลาเหนื่อยๆ น่ะ คำดูถูกไม่ไดัเอาน้ำมาให้เรากินก็แล้วกัน กำลังใจดีๆ ครอบครัว จากเพื่อนจากมิตรดีๆ ที่เป็นแรงขับเคลื่อน ไม่ใช่คำดูถูก ผมคิดว่าคำดูถูกไม่ใช่แรงขับเคลื่อน มันไม่ใช่คนดีหรอกคนดูถูกคน พูดง่ายๆ จะมาดูถูกกันคนเหมือนกัน แบบขี้เหม็นเหมือนกัน ไม่ได้บิน ไม่ได้เหาะได้"

"ผมมีคำๆ หนึ่งที่ผมฟังแล้วมันรู้สึกบวกได้ตลอดเวลา คือ มันจะเป็นคำว่า ถ้าเราอยู่ไกลๆ มันจะเรียกว่าความฝัน แต่เมื่อเราเข้าไปใกล้มัน มันจะเปลี่ยนชื่อว่าเป้าหมาย แต่ถ้าวันไหนมันอยู่ในมือเรา มันจะเปลี่ยนชื่อว่าความสุข ถ้าวันนี้คิดว่ารวยไม่พอ ให้หันคอไปดูขอทาน ถ้าคิดว่าไม่สวยไม่หล่อทรมาน ให้หันคอไปดูคนพิการที่เขาคลานเดิน ความอยู่ไกลทำให้ใจเลิกคิดถึง ความกล้าจะสอนตอนเรากลัว เราจะรู้ตัวตนของคนรอบข้างก็ต่อเมื่อเราทุกข์ยาก เราจะรู้ตัวตนของคนที่บอกว่ารักเรามากก็ต่อเมื่อเราลำบากด้วยกัน คือ คำนี้เวลาได้ยินแล้วมันก็จะใจฟู"

ในการพูดคุยครั้งนี้ ทิดแอม บอกว่า ระหว่างทำเพลงบักคนซั่ว ไม่คิดว่าเมื่อปล่อยออกมาแล้วจะได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในเวลารวดเร็ว เพราะว่าในระยะเวลา 6 ปี ที่ตามฝัน ก่อนได้มาร่วมงานกับค่ายบังเอิญ มิวสิค เคยทำเพลงมาเป็นสิบเพลง ไม่เคยสะกดคำว่าประสบความสำเร็จได้สักที เรียกว่า หวังจนเลิกเลิกหวัง หวังจนเจ็บไม่กล้าหวัง

"ไม่คิดว่าเพลงจะมีกระแสแรงขนาดนี้ เพราะว่าในระยะเวลาที่เป็นศิลปินมา คือมันหวังมากจนไม่อยากหวังแล้ว คือหวังจนเจ็บแล้วครับ ได้แต่ยกมือใส่หัวแล้วแต่มันจะเป็นไป นักร้องเอาเพลงไปร้องกันมาก มันเป็นสิ่งที่เราอยากเห็นมาโดยตลอด เพราะว่าเวลาเห็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือเพื่อนที่ประสบความสำเร็จ ในการทำเพลงแล้วก็เพลงดังมีคนเอาไปร้อง แม้แต่ตัวเราเองที่เอาผลงานเขามาร้อง เราก็อยากมีวันหนึ่งที่เราจะเป็นต้นฉบับเพลง และก็ให้คนเอาไปร้อง ก็ดีใจครับเวลาเห็นพี่น้องในวงการ เอาเพลงไปหากิน ดีใจครับ"

ทิดแอม บอกทิ้งท้ายการพูดคุยครั้งนี้ ด้วยการบอกขอบคุณ บุ๊ค ศุภกาญจน์ ที่แต่งเพลงบักคนซั่ว ให้ขับร้อง โดยไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียว ขอบคุณค่ายบังเอิญ มิวสิค ตั้งแต่เจ้าของค่ายไปถึงทีมงานทุกคนที่มองเห็นศักยภาพ ระดมสมองช่วยกันทำงาน จนนำพาความสำเร็จเข้ามาในชีวิตเขา ช่วยทำให้ความฝันที่วาดไว้ "ในชีวิตนี้ก่อนตาย ต้องสร้างบ้านให้แม่อยู่ให้ได้" ใกล้เป็นความจริง

"เป็นพระคุณของเพื่อน ที่ไม่สามารถที่จะลืมได้ครับ เพราะว่าชีวิตผมนี่เปลี่ยน จากไม่มีอะไร กลายเป็นทุกวันนี้ ก็ต้องเป็นบุ๊ค นายห้างพี่โต้ง บังเอิญฯ ทีมงานทุกคน พี่โจ้ พี่น็อต ทีมตัดต่อ ที่เขาพยายามที่จะทำให้ผลงานเพลงนี้มันออกมาดี คือบุ๊คให้เพลงนี้มา บุ๊คไม่ได้คิดค่าเขียนเพลงสักบาท ก็เป็นสิ่งที่บุ๊คตั้งใจ และก็มั่นใจที่จะทำให้ เพราะว่าบุ๊คบอกว่า ถ้าสมมติเพลงนี้ไม่ได้ มึงต้องเอาอีก เอาให้มันได้อีก ครับ มันต้องมีเพลงที่มันต้องได้"

"ผมก็ไม่เข้าใจในความรู้สึกลึกๆ ของเพื่อนเหมือนกันว่า ทำไมถึงหวังดีขนาดนี้ อะไรแแบบนี้ครับ รู้แต่ว่าเพื่อนคนนี้ ไม่เคยหวังอะไรนอกจากหวังดีกับผมเลยครับ เป้าหมายในชีวิตตั้งแต่เริ่มต่อสู้มา ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้เป็นศิลปิน หรือว่าเป็นศิลปินก็ตาม ผมอยากมีบ้านให้แม่ครับ เพราะว่าแม่ไม่มีบ้าน แม่ให้ผมอาศัยอยู่กับน้า แล้วแม่ก็ไปอยู่เขาเรียกว่าขนำ หรือกระต๊อบกระท่อม อยู่ในสวน"

"ก็คิดว่าก่อนตายชีวิตหนึ่งน่ะ ผมเกิดมาก่อนตาย กูต้องมีบ้านให้แม่อยู่สักครั้งหนึ่ง ถึงแม้มันจะได้ตอนไหนก็ตาม ตอนนี้ก็คิดว่าใกล้จะได้แล้วครับ ก็ตื่นเต้นครับ ตื่นเต้นที่คำพูดตัวเองแบบพูดออกไปก็เชิงแบบให้กำลังใจตัวเอง แบบว่าต้องมีเป้าหมายตรงนี้ๆ ไว้ ผมไม่ได้ฝันว่าจะมีหลังใหญ่ หรือว่ามีรถมีโน่นนี่เหมือนใคร คือแบบแค่อยากให้มีบ้าน บ้านที่แบบให้แม่นอน ฝนตกแล้วฝนไม่สาดไม่เปียกเหมือนเขา แค่นั้นเองครับชีวิตเกิดมา แค่นี้จริงๆ"

คุณกำลังดู: กว่าจะเป็น "ทิดแอม" นักร้องเพลงฮิต "บักคนซั่ว" กำลังใจคือแรงผลักดันไม่ให้ความสำคัญคำดูถูก

หมวดหมู่: เพลง

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด