ลูกไม้ใต้ต้น "ทิกเกอร์ อชิระ" บ่มเพาะความเป็น "ศิลปิน" จนเฉิดฉาย อยากเก่งมากกว่านี้
เดบิวต์เป็นศิลปินจนปังข้ามคืน! สำหรับ ทิกเกอร์–อชิระ เทริโอ หรือ TIGGER ทายาทนักร้องดังยุค 90 แม่นิโคล เทริโอ และ พ่อแมว–จิรศักดิ์ ปานพุ่ม เดินตามรอย “แม่นิโคล–พ่อแมว” ก้าวสู่ศิลปินหนุ่มน้องใหม่ป้ายแดงจากค่าย G’NEST (จีเนส) ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ผ่านการฝึกฝนเป็นศิลปินฝึกหัดมาเกือบ 3 ปี พร้อมปล่อยซิงเกิลแรก “R U OK?” กระแสสุดปัง! จนแฟนๆร้องว้าว! กับความสามารถครบเครื่อง เลยคว้าหนุ่มหล่อ ทิกเกอร์ เล่าเส้นทางกว่าจะมีวันนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบใน “คนดังนั่งคุย”
วันนี้ทิกเกอร์เป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว
“ผมตื่นเต้นที่ในที่สุดก็ได้มาทำงานเป็นศิลปินได้ การทำงานเพลง ร้องเพลง เอนเตอร์เทนคนดูเป็นสิ่งที่ผมรักอยู่แล้ว ซึมซับมาตั้งแต่เบบี้คุณแม่จะเปิดเพลงให้ฟังมาตลอด พาดูหนัง ผมรับศิลปะมาตลอด”
ตอนเล็กๆ แม่เคยพูดไหมว่าโตขึ้นอยากให้ทิกเกอร์เป็นศิลปินเหมือนเค้า “อันนี้ผมเลือกเองครับ อยากเป็นศิลปินเหมือนพวกเค้า ถ้าผมอยากไปทางไหนแม่ผมพร้อมสนับสนุนร้อยเปอร์เซ็นต์”
ปกติทิกเกอร์ร้องเพลงให้แม่ฟังบ่อยมั้ย “ไม่เคยครับ ก่อนเดบิวต์ ถ้าร้องเพลงอะไรผมจะแอบร้องอยู่ในห้องน้ำ ผมขี้อายไม่กล้าร้องให้คุณแม่ฟังเพราะเค้าเองก็เป็นนักร้องรุ่นใหญ่เลยไม่อยากให้ได้ยิน”
เห็นแม่นิโคลให้สัมภาษณ์ว่าตอนไปส่งก็ไม่ให้ดูเต้น ความตั้งใจของเราคืออะไรอยากให้เขาเห็นทีเดียวหรือยังไง “ใช่ครับ ทั้งเขินและอยากให้เห็นตอนฟินิช เป็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้วดีที่สุด ผมจะเป็นคนหากไม่พร้อมไม่ดีจะเก็บไว้ก่อนจนกว่ามันดี จะเป็นคนเพอร์เฟกชันนิส ประมาณนั้นเลยครับ”
ต้องเก็บผลงานเป็นความลับไม่ให้แม่ดูก่อนยากมั้ย “ไม่ยากเลยครับ แม่เข้าใจ ก็มีขอดูรูป ดูคลิปบ้างเหมือนกันแต่ผมบอกว่าไม่ได้ครับ (หัวเราะ) ต้องรอดูพร้อมกับทุกคน”
วันเปิดตัว TIGGER DEBUT SHOWCASE วันนั้นแม่นิโคลภูมิใจถึงขั้นร้องไห้หนักมาก โมเมนต์วันนั้นผ่านมาแล้วกับรีแอ็กของพ่อแม่เรารู้สึกยังไงบ้าง
“รีแอ็กของพ่อแม่ทำให้ผมรู้สึกอยากทำงานต่อ เพิ่มไฟ ส่งพลัง รีแอ็กชันดี ชมว่าเก่งมาก ผมรู้สึกว่าผมยังเก่งกว่านี้ได้อีก ผมอยากพิสูจน์ให้พ่อแม่ดูมากกว่า”
พ่อแมวแอบร้องบ้างมั้ย “ไม่ร้องครับ ก็แฮปปี้ในสไตล์ของเค้า นั่งยิ้ม”
ตอนเห็นน้ำตาคุณแม่รู้สึกยังไง ถึงขนาดถ่ายคลิปไปร้องไป “ตอนที่ผมอยู่บนเวทีผมไม่ได้สังเกตเลยครับ รู้แค่อัดวิดีโอแล้วยิ้มอยู่ จนมาเห็นคลิปแม่ร้องไห้ (หัวเราะ)”
จากงานครั้งแรกแล้วประเมินผลงานตัวเองเป็นยังไง“โอ้มายก้อด เฟิสต์โชว์ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นความฝันจริงๆ มีเวทีเดบิวต์โชว์เคส เกินจากที่ฝันไว้จริงๆ ตอนเด็กๆผมคิดแค่ว่าขึ้นเวทีเล่นกีตาร์กับวง อินดี้แบรนด์ พอมีโอกาสดีๆแบบนี้มันเกินคาดจริงๆ”
เลือกเพลงแม่กับพ่อมาร้องมีความหมายพิเศษอะไรถึงเป็นสองเพลงนี้ “ทั้งคุณพ่อคุณแม่เป็นตำนาน อยากเซอร์ไพรส์ท่านด้วยในแบบวิธีของผมคิด แสบๆ กวนๆ อยากเห็นรีแอ็กชันของพ่อแม่ อยากแกล้ง ร้องเพลงพ่อแม่ด้วย (หัวเราะ)”
ทิกเกอร์จะเจอคำพูดว่าเป็นลูกพ่อแมว แม่กี้ ตรงนี้ยิ่งต้องพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมมั้ย
“จริงๆแอบมีความอยากพิสูจน์ ผมเป็นศิลปินในแบบของผมเอง ผมเป็นทิกกอร์ในการเป็นศิลปิน ไม่ได้เป็นแนวร็อกหรือป๊อปหวานๆเหมือนคุณแม่ ผมเป็นแนวผมเองที่ผมชอบ และรู้ว่าทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็คนละยุคกับผม กระแสที่ได้รับมา ผลงานที่ปล่อยออกไปไม่เหมือนกัน ใช้พ่อแม่ที่มีชื่อเสียงเป็นแรงบันดาลใจมาโมดิฟายให้ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ถึงกดดันไม่ดีเท่า มันเทียบยากนิดนึงครับ”
ด้วยความพ่อแม่ก็เป็นศิลปินดังทั้งคู่ จะมาคาดหวังกับเรา ตรงนี้คนมากดดันมั้ย “ผมก็เข้าใจคนคิดแบบนี้ ลูกพี่แมวพี่นิโคลก็ต้องได้ง่ายๆอยู่แล้ว มันก็ชัดเจน แต่ผมรู้ว่าผมแยกออกได้ เพราะผมเทรนมาหนักขนาดไหน ผมทุ่มเทการฝึกเป็นศิลปินมากเท่าไหร่ 3 ปี หลายชั่วโมงกับการเทรน ผมมีแพชชันค่อนข้างเยอะมากๆกับการทำเพลง การเป็นศิลปิน”
ก่อนหน้าต้องเตรียมตัวเดบิวต์ศิลปิน ฝึกหนักขนาดไหนกับ 4,000 กว่า ชม.เลยเหรอ
“ก็ใช้เวลา 3 ปี ก่อนเป็นเทรนนี ผมเรียนเครื่องดนตรีคนเดียว เรียนกีตาร์กับครู ฝึกเครื่องดนตรีหลายชนิด พอมาเป็นเทรนนีก็ต้องเพิ่มการสอนร้อง เต้น แร็ป ออกกำลังกาย ครบทุกอย่าง การเป็นศิลปินต้องฝึกทุกอย่าง และผมเพิ่มดนตรีเข้ามาด้วย ฝึกหลายอย่างมากๆ”
มาวันนี้กับ 3 ปีที่ฝึกฝนมา ผลได้รับหายเหนื่อย มันชื่นใจขนาดไหน “ใช่ครับลืมไปเลยว่าเป็นเทรนนีครับ (หัวเราะ) ไม่ถึงขนาดนั้น ทำได้แล้ว ภูมิใจในตัวเองที่ก้าวผ่านวันที่ยากๆ ที่ท้อๆ หรือรู้สึกไม่มั่นใจตัวเอง การเป็นศิลปินไม่ได้ง่ายๆเลย”
คิดว่าเราหยิบความเป็นศิลปินคุณแม่ตรงไหนบ้างดึงมาใช้ “จากคุณแม่ มองเห็นจากเค้า น่าจะเป็นการเอนเตอร์เทน การเฟอร์ฟอร์แมนซ์ และเอเนอร์จี้ที่ส่งออกไปให้คนดู ผมว่าได้จากคุณแม่ ผมดูคอนเสิร์ตของคุณแม่เยอะมาก การเอนเตอร์เทนเนอร์การส่งพลังให้คนดูแบบไหน”
กับคุณพ่อคุยเรื่องภาษาดนตรี “ใช่ครับ พูดภาษาเดียวกันอยู่ ภาษาโปรดิวเซอร์ คุณพ่อก็ช่วยสอนวิธีการทำเพลง การตัดต่อ การโปรดิวซ์เพลง หลายแท็ก การมิกซ์เพลงเข้ากัน คุณพ่อตอนเดบิวต์โชว์เคส พ่อบอกว่าผมแอบพัฒนาตัวเอง คุณพ่องานเยอะ เราก็ทำเพลงออนไลน์กันผมจะแอบอวดเพลงที่ทำมาให้เค้าฟัง เค้าก็ตกใจว่าทำได้ขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน เพราะผมชอบพัฒนาตัวเองให้เค้าเห็นว่า ถ้าเขาอยู่ทุกขั้นตอน อาจจะไม่สังเกตมากเท่านานๆโชว์ที ชอบการทำเซอร์ไพรส์พ่อแม่คือตลกมาก”
ก่อนเป็นศิลปินเราเคยลองผิดลองถูกกับแนวดนตรี
“ในช่วงแรกๆ ผมโฟกัสดนตรีมากกว่าการร้อง ช่วงผมเรียนดนตรี เรียนกีตาร์กับครู เครื่องดนตรีอื่นฝึกเอง ฟังเพลงแล้วแกะ เรื่องกลองฟังแกะ แยกประสาทเอง ซึ่งเป็นสิ่งสนุก รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้น รู้สึกอิ่ม โอ้ เราทำเองได้ มาสายดนตรีมาก่อน และที่โรงเรียนมีละครเวทีมีมิวสิคัล ผมได้รับบทพระเอก พอใช้เสียงจริงจัง ก่อนหน้าไม่ได้เรียนเทคนิค ได้ใช้เสียงจริงจัง แอบเสียดายถ้ามีเทคนิคอาจจะดี เลยไปโรงเรียนสอนร้องเพลงที่แกรมมี่ ไปเรียนร้องเพลงเองก่อนเป็นเทรนนี อยากเรียนเพิ่มเพื่อพัฒนาเสียง เล่นละครจบแล้วเลยไปเรียนต่อการพัฒนาเสียงประมาณนึง จนครูบอกเปิดค่ายใหม่ มาชวน รู้สึกเป็นโอกาสที่ดี ก็ลุยเลยครับ”
การแสดงล่ะสนใจมากน้อยขนาดไหน “สนใจครับ จริงๆผมซึมซับศิลปะทุกอันผมชอบดูหนังมากๆ เป็นการบอร์นนิ่งกับคุณแม่ ดูหนังตลอด ผมชอบละครเวที ผมได้ดูบรอดเวย์กับคุณแม่หลายโชว์ เพราะผมชอบการแสดงมากๆ ตอนนี้การทำเพลงมีความหมายกับผมมากกว่าทำให้ผมรู้สึกใจฟูมากกว่า เติมเต็ม ฟูลฟีลมากกว่า เลยโฟกัสตรงนี้ก่อน แต่ผมก็รักการแสดง”
เมื่อก่อนทิกเกอร์จะเป็นคนพูดน้อยหรือเฉพาะเวลาออกมาข้างนอก “ครับ เวลาออกมาข้างนอก ช่วงนั้นไม่ได้ใช้ภาษาไทยคุยเลยไม่รู้คุยอะไรหรือเสริมอะไรตอนไหน เมื่อก่อนหนุ่มน้อยขี้อาย จริงๆขี้อายด้วยครับแต่พออยู่กับเพื่อนคนละคน คนละเรื่องเลยครับ (หัวเราะ)”
บนเวทีทะเล้นเหมือนกันนะ “ใช่ครับ ตอนอยู่บนเวทีผมรู้สึกสบายสุด ผมปลดปล่อยทุกอย่าง สิ่งที่กังวล สิ่งที่ทำให้เครียดผมลืมไปหมดเลยครับ เราเต็มที่การโชว์ เอนเตอร์เทน สนุกกับเสียงเพลง ผมรับการฟังพี่ๆ เพื่อนที่เราเทรนด้วยกันจากการคุยกัน มีคำไหนคุยผมไม่เข้าใจความหมายก็จะถามเลย อยากพูดให้คล่อง”
ความทะเล้นของทิกเกอร์ผิดจากภาพตอนเด็กๆที่ทุกคนเห็น จุดเปลี่ยนคืออะไร
“ครับ เด็กคนนึงอยู่ในห้องอยู่คนเดียวตลอด ก็จะฝึกคนเดียวในห้อง อย่างที่พูดก่อนหน้านี้ผมซึมซับศิลปะตลอด ตอนเรียนกีตาร์สักพักอินกับมัน ผมรู้สึกว่าเป็นเส้นทางที่ผมอยากไปต่อ เลยฟังเพลงมากขึ้น หาแนวเพลง หาไอดอลของผมหรือแนวเพลงที่ผมชอบ ต้องฟังเพลงวันนึงหลาย ชม.ไม่ได้แค่ฟังเพลง ไม่ได้บังคับตัวเองแต่ชอบจริงๆ ชอบอินเนอร์ของโซล การทำเพลง ผมฟัง ผมหาตัวตนจากฟังเพลงแนวโซลยุค 70 โมทาวน์”
ตอนนี้ทิกกอร์มีมุกเยอะเชียว “พอได้เปิดโลกมีคอนเสิร์ตบนเวทีทำยังไง ผมดูคอนเสิร์ต ดูไลฟ์ เขาสื่อสารบนเวทียังไง ผมไม่ถึงก๊อบปี้ อันนี้เก๋มากเท่มาก เลยอยากเฟอร์ฟอร์มสบายๆแบบนี้มาก แต่มีเอเนอร์จี้ มีส่งพลังมาก สบาย ไม่เกร็งไม่เครียดไม่กังวลได้จากตรงนี้มากคนเดียวในห้อง และฟังเพลงตลอด ทุกอย่างมาจากเพลงไอดอลที่ผมเจอ”
เพลงหล่อหลอมให้เป็นวันนี้ “ใช่ครับ ผมสะสมแผ่นเสียงเพื่อที่เก็บเป็นความทรงจำ อันนี้เป็นอัลบั้มที่ทำให้ผมมีวันนี้ อัลบั้มเยอะมาก แต่ไม่ได้เยอะมาก เพราะผมไม่ได้เป็นดีเจ ซื้อเก็บเป็นความทรงจำที่อยู่ในชีวิตจริงที่จับต้องได้ แทนที่อยู่สปอติฟายจะหายากนิดนึง ด้วยความผมอยู่คนเดียวบ่อย เลยหาตัวเอง เลย ซื้อแผ่นเสียงเอาสิ่งที่ผมฟังในโทรศัพท์มาเป็นของจริง เหมือนไดอารี หลายอัลบั้มเป็นแรงบันดาลใจให้ผมในด้านทำเพลง”
ในเอ็มวีตอนทำหน้าทะเล้นๆ ทำให้นึกถึงมิส เตอร์บีนเลย
“(หัวเราะ) ขอบคุณครับ จริงๆ ผมแอบคิดถึงมิสเตอร์บีนด้วย”
แสดงว่าเป็นทุกอย่างมีพลังตัวเอง “ผมมีไอดอลหลายคน อยากเก่งเท่าไอดอล มีจอห์นเมเยอร์ มีนักร้อง อัลเลน สโตน นักร้องโซลอเมริกา เสียงร้องเพราะมาก จริงๆ กลับมาชอบแนวโซลมากๆ วันแรกที่ผมเทรนร้องเพลง ครูสอนร้องคนนึง ครูกบ เปิดเพลง อัลเลน สโตน ให้ฟัง เป็นโซลมากๆ ผมฟังแล้วชอบมาก เป็นจุดเริ่มต้นลงลึกไปในโลกของเพลงแนวโซล นักร้อง เพื่อนผมเปิดเสียงร้องของผมกับอัลเลน สโตน มาเปรียบเทียบกันเพราะเขารู้ว่าอัลเลนเป็นแรงบันดาลใจของทิกเกอร์แน่ๆ ศิลปินไทย พี่นนท์- ธนนท์ หรือดีเจอร์ราร์ดครับ”
ถ้าหากวันนี้ทิกเกอร์มีแฟนแม่ห้ามมั้ย
“ไม่ครับ เขาเชื่อใจว่าถ้าผมมีแฟนหรือมีใครมาคุย เขาจะเชื่อใจว่าจะเลือกคนที่เหมาะกับผม เชื่อใจต้องพามาให้ดู ฟีลแบบนั้นเลยครับ”
มีเพื่อนสาวพามาแนะนำกับคุณแม่บ้างหรือยัง “นานแล้วครับ ตั้งแต่ก่อนเทรน ก่อนจริงจังกับดนตรี นานมาก ผมเป็นคนที่ถ้าหากโฟกัสกับงานจะโฟกัสร้อยเปอร์เซ็นต์เลย โฟกัสสิ่งนั้นอย่างเดียว ถ้ามีแฟนหรือมีคนคุยก็จะไม่แฟร์ ถ้าไม่มีเวลาให้เค้ามันจะเวิร์กได้ยังไง ตอนนี้เลือกงานก่อน โฟกัสที่การเป็นศิลปินก่อน”
สเปกเป็นยังไง “จริงๆไม่มีสเปกครับ ต้องเข้าใจกัน ถ้าผมเปิดเพลงให้เค้าฟัง เขาจะต้องโอเพ่นเพลงหลายแนว ฟังเพลงหลายแบบเหมือนผม ผมที่ฟังเพลงอันนึงแล้วไม่ชอบเลยแล้วบอกว่าไม่ชอบ แบบนั้นผมก็โอเค ต้องคุยภาษาเดียวกัน ในเรื่องของเพลงด้วย ต้องเปิดใจ เพราะผมอยู่กับเพลงตลอด”.
เรื่อง: วรรณี ห่อวโนทยาน
คุณกำลังดู: ลูกไม้ใต้ต้น "ทิกเกอร์ อชิระ" บ่มเพาะความเป็น "ศิลปิน" จนเฉิดฉาย อยากเก่งมากกว่านี้
หมวดหมู่: ความบันเทิง