มาครบ จบที่การลุย! MERCEDES-BENZ OFF ROAD SUV DRIVING EXPERIENCE

ทดสอบในสภาวะสุดขั้วกับครอสโอเวอร์และเอสยูวีหรู ในงาน Mercedes-Benz SUV Driving Experience

มาครบ จบที่การลุย! MERCEDES-BENZ OFF ROAD SUV DRIVING EXPERIENCE

เมื่อ 20 ปีก่อนในยุค 90' รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ SUV มียอดขายไม่มากนัก คิดเป็นสัดส่วนแค่ 2-3 % จากยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งถือว่าน้อยมาก โดยตัวเลขยอดขายส่วนใหญ่เป็นรถอเนกประสงค์จากญี่ปุ่นและอเมริกัน รวมถึงรถเยอรมันอย่าง Mercedes-Benz ตระกูล ML และ BMWX5 ซึ่งเป็นเอสยูวีที่เน้นความหรูหรา และใช้งานได้ดีแต่ก็มีราคาไม่ใช่ถูกๆ รถเอสยูวีเมื่อกว่า 20 ปีก่อนจึงมีแต่ความเรียบง่าย เป็นรถลุยทางวิบากที่ใช้งานได้อย่างเต็มสมรรถนะ และแน่นอนว่าในยุคนั้น รถเอสยูวีมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป โดยเฉพาะรถญี่ปุ่นและอเมริกัน แต่ถ้าจะเอาทั้งความหรูหราและประสิทธิภาพในการลุยทางวิบาก รถอเนกประสงค์เอสยูวีของเยอรมันนั้นได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในกลุ่มลูกค้าเงินถุงเงินถังที่มีสตางค์พอจะสอยรถอเนกประสงค์ราคาแพง แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นรถที่ลุยได้จริง มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่รองรับเส้นทางออฟโรดและมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยครบครัน พร้อมราคาค่าตัวที่สูงยันเพดานเนื่องจากอัตราภาษีของประเทศไทย

ปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับรถเอสยูวีเปลี่ยนไปหมดแล้ว ยอดขายรถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อพุ่งสูงแซงหน้ารถยนต์ทุกประเภท บางบริษัทสร้างรถเอสยูวีด้วยการแตกไลน์ผลิตแยกย่อยออกมานับสิบรุ่น ตั้งแต่ครอสโอเวอร์ไซล์กะทัดรัดคันเล็กนิดเดียวไปจนถึงยักษ์ใหญ่เอสยูวีที่มีความกว้าง 2 เมตร ยาวถึง 5.3 เมตร มีน้ำหนักเฉียดๆ 2.5 ตัน ผู้คนในปัจจุบันโดยเฉพาะคนมีเงินนั้นต้องการรถอเนกประสงค์ที่หรูหราและสวยงาม ต้องการเอสยูวีที่มีความปราดเปรียวและคล่องตัว ชอบตำแหน่งท่านั่งในเอสยูวีคันโตที่สามารถมองเห็นรอบตัวได้ดีกว่ารถเก๋ง ความใหญ่โตของเอสยูวีทำให้ขับแล้วรู้สึกปลอดภัย (แม้ว่าในความเป็นจริง มันจะปลอดภัยหรือไม่ก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็ยังชอบและรู้สึกแบบนั้น) รถยนต์ที่คุณขับเหมือนกระจกสะท้อนความเป็นไปในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่เน้นทำกิจกรรมกลางแจ้งและวุ่นวายอยู่กับการเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัวในวันหยุด ส่วนวันทำงานในบางครั้งก็ต้องขับฝ่าสภาพเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุม น้ำท่วมขังหรือเส้นทางที่ขรุขระ จากความพยายามในการซ่อมถนนที่ไม่มีวันจบสิ้นของประเทศไทย

ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้รถเอสยูวีและครอสโอเวอร์ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้แต่แบรนด์หรูอย่าง Mercedes-Benz ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ยานยนต์อเนกประสงค์ให้เลือกอย่างหลากหลาย เช่น

Mercedes-Benz GLA Class
เริ่มจากรถในกลุ่มครอสโอเวอร์ ไล่เรียงจากรุ่นเล็ก Mercedes-Benz GLA ครอสโอเวอร์ไซส์เด็กเล็กที่ได้รับความนิยนในไทย จากราคาแค่ 1.9-2.4 ล้านบาท พร้อมความหรูหราและสมรรถนะในการใช้งานที่เหมาะทั้งการขับในเมืองและออกทางไกล ขนาดตัวถังที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่กลับมีความอเนกประสงค์แอบแฝงอยู่ข้างใน เหมาะกับแม่บ้านที่มีลูกเล็กๆ แค่คนเดียว ไปไหนมาไหนไม่เกิน 4 คนพร้อมสัมภาระที่ยัดใส่ท้ายรถได้อย่างสะดวกและมากกว่ารถเก๋งเมื่อพับเบาะหลัง! GLA มีให้เลือกสองรุ่นคือ GLA250 AMG Dynamic เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลัง 211 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 7-G DCT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่งจาก 0-100 ใน 6.6 วินาที ราคา 2,410,000 บาท กับรุ่นรองท็อปอย่าง GLA200 Urban เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ ความจุ 1.6 ลิตร เทอร์โบ กำลัง 156 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 7-G DCTขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่งจาก 0-100 ใน 8.1 วินาที ราคา 1,999,000 บาท

ขยับขึ้นไปอีกนิดคุณจะพบกับเอสยูวีไซส์เล็กแบบ 7 ที่นั่ง! นี่คือ Mercedes-Benz GLB รถอเนกประสงค์ประกอบต่างประเทศที่เพิ่งจะเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แค่นิดเดียวเท่านั้น GLB มีขนาดเล็กกว่า GLC แต่ดันมี 7 ที่นั่ง เนื่องจากความต้องการพื้นที่โดยสารของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นแต่ไม่ต้องการจ่ายแพงเพื่อซื้อรถที่มีขนาดใหญ่กว่า ราคา 2,860,000 บาท เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งคัน Mercedes-Benz GLB ที่ขายในไทย เป็นรถรุ่น 200 Progressive วางเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบ รุ่นใหม่ล่าสุด ปริมาตรความจุเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบ กำลัง 163 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 7-G DCT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่งจาก 0-100 ใน 9.1 วินาที (ช้ากว่า GLA200 Urban ถึง 1 วินาที) จุดเด่นของGLB ก็คือการเป็นรถเอสยูวีไซส์เล็กรุ่นใหม่ล่าสุดพร้อม MBUX ระบบมัลติมีเดียแบบใหม่ล่าสุด จอภาพมาตรวัดและจอภาพมอนิเตอร์แบบใหม่ ห้องโดยสารทันสมัยด้วยอุปกรณ์ในยุค 2020 ซึ่งรวมถึงเบาะแถวที่ 3 ที่เข้ามาสร้างความแตกต่างไปจาก GLA ในด้านความจุอย่างชัดเจนที่สุด

ก้าวข้ามครอสโอเวอร์และเอสยูวีจิ๋วขึ้นไป คุณจะพบกับรถอเนกประสงค์ขนาดกลางรุ่นทำเงินของ Mercedes-Benz นั่นก็คือ เจ้า GLC Class มันมาพร้อมพื้นที่ใช้สอยขนาด 5 ที่นั่ง รุ่นปรับโฉมเพิ่มเติมอุปกรณ์หรูหราและความสามารถในการขับเคลื่อนบนเส้นทางวิบากจากขนาดความสูงที่มากกว่ารถเก๋งซีดานแต่ยังใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลังโดยไม่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic เริ่มด้วยรุ่นดีเซล GLC220d ราคา 3,239,000 บาท ประจำการด้วยขุมกำลังดีเซลรุ่นใหม่ล่าสุดขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ กับ GLC220d AMG Dynamic หรูหราหล่อระเบิดด้วยชุดแต่ง AMG ทั้งคันไล่เรียงจากภายนอกไปจนถึงงานดีไซน์ภายในก็ยังใช้ของ AMG ระบบมัลติมีเดียแบบใหม่ MBUX เครื่องดีเซลรุ่นใหม่ล่าสุดขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลัง 194 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 9-G Tronic ไม่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic อีกเช่นกัน

เมื่อตัวถังปกติของ GLC มันไม่เท่เท่าที่ควรก็ยังมี GLC Coupe รถสปอร์ตเอสยูวีที่ทำตลาดได้ดี (มาก) ในไทย GLC หลังคาลาดแบบ Coupe มีความหล่อเหลาเอาเรื่อง เป็นรถที่ออกแบบมาสำหรับการขับใช้งานกึ่งอเนกประสงค์และกึ่งรถสปอร์ต พร้อมความสามารถในการลุยเส้นทางวิบากด้วยสัดส่วนความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic เจ้า GLC Coupe มีให้เลือกทั้งรุ่นปลั๊กอินไฮบริด 300e AMG Dynamicราคา 4,090,000 บาท เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1,991 ซีซี กำลัง 155 กิโลวัตต์ หรือ 211 แรงม้า แรงบิดจากเครื่องยนต์ทำได้ที่ 350 นิวตันเมตร ในย่าน 1,200-4,000 รอบต่อนาที มอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งในเกียร์ 9-G Tronic ปรับแต่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงกว่า E350e จากที่เคยมีแรงม้าแค่ 88 ตัว การปรับแต่งเพิ่มเติมประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่หมด ทำให้กำลังจากมอเตอร์เพิ่มเป็น 122 แรงม้า มากเกินพอสำหรับถนนทุกสายบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นเหลือรับประทาน แรงบิดของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบประสานพลังงานในรูปแบบ parallel hybrid ของ Mercedes ทำให้เจ้า GLC300e วิ่งในโหมด ECO โดยมีอัตราสิ้นเปลืองที่ 14.4 กิโลเมตรต่อลิตร (แล้วแต่โหมดและลักษณะของการขับขี่) ส่วนแรงบิดล้นๆ ในโหมด Sport+ เมื่อพลังงานถูกปล่อยลงพื้นเต็มที่ มันจะกลายร่างเป็นสปอร์ตเอสยูวีที่สร้างแรงดึงสำหรับการพุ่งทะยานพร้อมอัตราเร่งเร็วจี๋ราวกับรถสปอร์ต จากตัวเลข 0-100 แค่ 5.8 วินาที เร็วจี๋พอๆ กับ Porsche Macan เลยทีเดียว ส่วน GLC220d ราคา 4,040,000 บาท วางเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบ กำลัง 194 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 9-G Tronic พ่วงการทำงานกับระบบ 4Matic และโหมดการขับเคลื่อน DynamicSelect มีให้เลือก เช่น ECO / COMFORT / SPORT / SPORT+ / INDIVIDUAL อัตราเร่งจาก 0-100 ใน 7.9 วินาที

กระโดดขึ้นไปเล่นรถเบอร์ใหญ่ และมีไซส์เทียบเคียงกับ BMW X5 นั่นก็คือ Mercedes-Benz GLE300d 4Matic AMG Dynamic แม้ว่าดูแล้วจะเป็นเอสยูวีที่มีหน้าตาแปลกๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันพกพาความหรูหรามาเต็มพิกัด ผสมกับรูปทรงที่ได้รับการออกแบบตามแบบฉบับของรถออฟโรด 5 ที่นั่งไซส์ค่อนข้างใหญ่ เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลแถวเรียง 2.0 ลิตร ในรุ่น GLE220d AMG Dynamic ซึ่งเป็นเครื่องรุ่นเด็กเล็กในตระกูล GLE มันมาพร้อมชุดแต่ง AMG ล้อขอบ 21 นิ้วกับยางราคาแพง ระบบมัลติมีเดียแบบล่าสุด MBUX ระบบช่วยขับและระบบความปลอดภัยเยอะแยะบรรยายไม่ไหว ที่เจ๋งก็คือ ออปชันราคาแพง Multibeam LED ระบบไฟอัตโนมัติที่ดีงามในยามค่ำคืนอันปราศจากแสงไฟบนถนน ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติราวกับนักมายากล เพิ่มมุมมองในที่มืดมิดได้ดีโดยเฉพาะการส่องไหล่ทาง กำลังในการส่องสว่างมากกว่า 600 เมตร เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบ กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดถูกปรับให้มากตามขนาดและน้ำหนักของรถที่ 500 นิวตันเมตร นับเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2 ลิตร ที่แบรนด์ตราดาวใช้ความพยายามจูนอย่างแสนสาหัสจนมีแรงบิดตามที่ต้องการ อัตราเร่งของเจ้ายักษ์หนัก 2.1 ตันคันนี้ ทำ 0-100 ได้ใน 7.2 วินาที ถือว่าเร็วเอาเรื่อง ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 9-G Tronic พ่วงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 Matic เฉลี่ยแรงบิดหน้า-หลัง เท่ากันที่ 50-50 หรือผกผันเฉลี่ยแรงบิดลงไปในล้อทั้ง 4ตามสภาพการณ์ของเส้นทางและผิวถนน Mercedes-Benz GLE220d AMG Dynamic มีราคา 5,190,000 บาท

มาที่รถโฉมเก่าแต่ Mercedes-Benz Thailand ยังคงมีขายอยู่เนื่องจากขายไม่ค่อยดีเท่าที่ควรนั่นก็คือจูราสสิค พาร์ค Mercedes-Benz GLE350d 4Matic Coupe AMG Dynamic ไฟหน้าทรงแปลกตากับกระจังหน้า AMG ทำให้มันพอที่จะเอาตัวรอดไปได้ในด้านของดีไซน์ เป็นรถที่เพื่อนผมคนนึงต้องควักเงินถึง 7 ล้านเพื่อเปลี่ยนจาก S-Class ไปเป็น SUV ทรง Coupe และมันก็ไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากระบบความปลอดภัยที่คอยปกป้องคุ้มครองคนขับและผู้โดยสาร GLE350d 4Matic Coupe AMG วางเครื่องยนต์ดีเซล V6 ทวินเทอร์โบ ช่วงล่างถุงลม Air matic ระบบส่องสว่าง ILS Light System ล้อ AMG 5 ก้านอย่างงามขอบ 21 นิ้ว เครื่องยนต์ดีเซล V6 ความจุ 3.0 ลิตร กำลัง 258 แรงม้า แรงบิด 620 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9-G Tronic พ่วงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic เป็นเครื่องยนต์รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ที่เบ่งกล้ามได้มากกว่าเดิม มีความสามารถในการฉุดลากน้ำหนัก 2 ตัน ในรูปแบบของการขับออฟโรดบนทางวิบากแสนสาหัสได้เป็นอย่างดีแต่ไม่ยักกะมีเศรษฐีไทยคนไหนที่กล้าเอาไปลุยแหลกเนื่องจากกลัวค่าซ่อมนั่นเอง ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 ของ GLE350d ทำได้ 7.0 วินาที เร็วจี๋เลยทีเดียว

ถ้า GLE ยังใหญ่ไม่พอก็ขอให้ไปที่ GLS เพราะนี่คือเรือธงเอสยูวีที่มีดีทั้งขนาดและความสามารถในการขับเคลื่อน GLS350d 4Matic AMG Premium ครบเครื่องในเรื่องของทางเรียบและทางฝุ่นรวมถึงราคาค่าตัวที่สูงยันเพดานถึง 8,859,000 บาท ความใหญ่โตของมันออกมาชนกับ BMW X7 และ Audi Q7 โดยมีขนาดความกว้าง 2 เมตร ยาว 5.2 เมตร สูง 1.8 เมตร หนัก 2.4 ตัน AMG Premium มาพร้อมไฟหน้าราคาแพง Multibeam LED ระบบปฏิบัติการณ์ MBUX มัลติมีเดียแบบล่าสุด ล้อ AMG ขอบ 21 นิ้ว กับระบบรองรับแบบถุงลมปรับระดับความสูงได้หรือ Air Matic เครื่องยนต์ของยักษ์เยอรมันคันนี้ วางเครื่องดีเซลแถวเรียง 6 สูบเทอร์โบ รุ่นล่าสุดจากแบรนด์ตราดาว ความจุ 3.0 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบ เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 9-G Tronic พ่วงการทำงานกับชุดขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic ตัวเลขสมรรถนะ เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.0 วินาที ห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง การปรับพับเบาะใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมด เป็นรถเอสยูวีที่ขายดีในอเมริกาเหนือ พอเข้ามาไทยก็เจอภาษีนำเข้าสูงปรี๊ดทำให้ค่าตัวของมันถึงกับยันเพดาน แว่วๆว่าอีกไม่นานอาจมีการนำชิ้นส่วนของเจ้ายักษ์ GLS มาประกอบในไทยซึ่งจะทำให้ราคาของมันเหลือแค่ 6 ล้านปลายๆ เท่านั้นเอง!

งานMercedes-Benz SUV Driving Experience ที่สนามทดสอบการขับขี่แบบออฟโรดของกรังด์ปรีซ์ในอำเภอบ่อพลอย กาญจนบุรี มีความโหดหินเอาเรื่อง สถานีต่างๆ ที่จำลองพื้นที่โหดบนเส้นทางออฟโรด ถูกออกแบบให้ผังและรูปแบบของสนามเหมาะกับรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ มากกว่าจะเอาเอสยูวีหรูราคาแพงลงไปลุยแบบจัดหนัก สถานีแรกกับการขับ Mercedes-Benz New GLE300d 4Matic นั่นก็คือ การขับแบบ 4x4 Adventure ความยาวรวม 4.5 กิโลเมตร จำลองสถานการณ์โหดของการขับลุยทุ่งลุยป่า ฝ่าเนินดินที่มีความสูงชัน พื้นที่รอบๆ สนามทดสอบที่เป็นเนินดินสลับป่าละเมาะถูกสร้างขึ้นเพื่อการลุยโดยเฉพาะ เมื่ออยู่บนเส้นทางออฟโรด GLE รุ่นเครื่องยนต์เล็กสุดทำหน้าที่ได้ดี ฮาร์ดแวร์ของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic ที่ปรับปรุงใหม่ทำให้ระบบขับเคลื่อนตอบสนองได้เร็วขึ้น ระบบไต่ลงจากเนินสูงชันทำงานไวช่วยประคับประคองไม่ให้ส่วนหน้าของ GLE ทิ่มลงไปบนดินแข็งๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหาย การปิดระบบควบคุมการทรงตัว ทำให้แรงบิดขณะเร่งขึ้นเนินสูงไหลออกมาเต็มๆ การตะกายไต่ขึ้นเนินเขาสูงชันทำได้ดี ส่วนการถ่ายทอดกำลังและการวางตำแหน่งรถให้ถูกต้อง เป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ต้องทำให้ดีเพื่อเอาตัวรอดและหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้หากวางตำแหน่งรถผิดพลาด GLE มีจุดอ่อนที่ใต้ท้องรถ เมื่อเจอทางวิบากหนักข้อก็อาจทำให้ท้องรถติด ระบบขับเคลื่อนทำหน้าที่ได้ดีมากเมื่อลุยฝ่าทางที่เต็มไปด้วยดินและหิน ในชีวิตจริง การขับลุยน้ำท่วมหรือขับฝ่าทางขรุขระมีบ่อโคลนเล็กๆ ไม่ใช่ปัญหาของมัน แต่อย่าหวังว่ามันจะลุยได้หนักกว่านี้ เป็นรถที่ดีและมีบุคลิกตามแบบฉบับของรถอเนกประสงค์ ความใหญ่โตของห้องโดยสาร ให้ความรู้สึกสะดวกสบาย แถมยังควบคุมได้ง่ายจากระบบต่างๆ ที่คอยประคับประคองทั้งบนทางเรียบและทางวิบาก

สถานีที่ 2 เป็นการผสมผสานความโหด 10 รูปแบบ เช่น ทางที่มีหลุมลึกสลับซ้าย-ขวา บ่อโคลนและทางโคลน ร่องเนินระนาดซุงและดินกับหิน เนินเอียงสลับซ้าย-ขวาเนินเอียงและโค้งครึ่งวงกลม สถานีน้ำตกที่จำลองน้ำจำนวนมากซึ่งจะถูกเทลงมาจากที่สูง ผมเดินไปที่รถทดสอบ Mercedes-Benz GLS350d 4Matic AMG Premium ซึ่งถือเป็นรถทดสอบในกลุ่ม SUV ของแบรนด์ตราดาวที่ใหญ่และแพงที่สุด หากไม่นับความแพงเฉียดๆ 10 ล้านบาทของ G350d AMG Premium เจ้า GLS350d ราคา 8.8 ล้านบาทก็ถือว่าแพงอย่างโหดแล้ว แว่วๆมาว่า Mercedes-Benz อาจนำชิ้นส่วนของ GLS มาประกอบในประเทศเพื่อทำราคา หากเกิดขึ้นจริง ราคาของมันก็น่าจะถูกลงอีก 2 ล้าน เหลือแค่ 6 ล้านปลายๆ ซึ่งถูกกว่ารถคู่แข่งอย่าง BMW X7 อยู่พอสมควร

GLS เอาชนะคู่แข่งบนเส้นทางที่ยากลำบากด้วยความหรูหราสะดวกสบาย ขับง่ายและมีความใหญ่โตแบบรถ 7 ที่นั่ง ทุกสิ่งทุกอย่างของมัน ไม่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า ก็จะถูกควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แทบทั้งหมด GLS เป็นรถที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายบรรยายกันไม่หมด มันใช้เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 6 สูบ เทอร์โบ รุ่นใหม่ล่าสุด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full time แบบ 4 MATIC ทำงานอย่างสอดคล้องโดยการกระจายแรงบิดระหว่างล้อคู่หน้าและล้อคู่หลัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรถและการทรงตัวบนถนนที่เปียกลื่น รวมถึงการขับขี่บนทางแบบ OFF-ROAD ช่วงล่าง AIRMATIC เป็นครั้งแรกที่จะได้พบกับฟังก์ชันเตรียมรถเข้าสู่เครื่องล้างรถอัตโนมัติ โดยจะทำงานอย่างสอดคล้องร่วมกับระบบ AIRMATIC เมื่อสั่งงานผ่านหน้าจอ Media Display แรงบิดมหาศาลเกิดจากเครื่องยนต์ดีเซลแบบสูบเรียง 6 กระบอกสูบ Two Stage Turbo (เทอร์โบสองตัวประกบอยู่ใกล้ๆ กัน) ช่วยทำให้น้ำหนักลดลงถึง 10 กิโลกรัม

เครื่องยนต์ใหม่รหัส OM656 แบบดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป 4 วาล์วต่อสูบ มีปริมาตรความจุ 2,925 ซีซี ความกว้างกระบอกสูบ 82.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 92.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5:1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common rail Direct injection ให้กำลังสูงสุด 210 กิโลวัตต์ หรือ 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุดมากถึง 600 นิวตัน-เมตร เครื่องยนต์ดีเซลตัวใหม่ใช้เชื้อเพลิงน้อยลง 6% มีคุณสมบัติพิเศษของเครื่องยนต์ระดับสูงในตระกูลดีเซลตราดาว เช่น กระบวนการเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบ เทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ two-stage turbocharging ควบคุมระบบวาล์วแปรผันด้วย CAMTRONIC การออกแบบประกอบด้วยการรวมกันของบล็อกเครื่องยนต์อะลูมิเนียมและลูกสูบเหล็ก รวมทั้งการเคลือบสารหล่อลื่น NANOSLIDE® ที่ผนังกระบอกสูบ ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic automatic transmission พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-wheel Gearshift Paddles) ช่วงล่างแบบปรับความสูง-ต่ำ Adaptive airmatic suspension พร้อมระบบควบคุมระดับความสูง-ต่ำอัตโนมัติ ทำงานกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม ควบคุมการทรงตัวได้ในทุกสภาวะ ทำงานด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมยังสามารถปรับให้เหมาะกับการขับขี่และโหมดของการขับเคลื่อนที่ถูกเลือกโดยคนขับ ความแข็งแกร่งของช่วงล่างถุงลมถูกปรับใหม่เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลและเพิ่มการยึดเกาะถนนเมื่อขับด้วยความเร็วสูง ในโหมด Comfort และ Sport โดยความสูงจะเพิ่มแบบอัตโนมัติเมื่อเลือกใช้โหมด off road ระบบกันสะเทือนควบคุมด้วยไฟฟ้าจะถูกปรับใช้งานให้สอดคล้องในแต่ละโหมดและสภาพถนน โดยสามารถปรับยกตัวรถได้สูงถึง 30 มิลลิเมตร เมื่อขับขี่บนถนนที่ขรุขระหรือมีหลุมบ่อ ระบบจะปรับตัวรถลง 20 มิลลิเมตร โดยอัตโนมัติเมื่อขับด้วยความเร็วสูง เพื่อลดอาการโคลงตัวและเพิ่มการยึดเกาะจากค่า CG ที่ลดลง

ทักษะการควบคุมบนเส้นทางออฟโรดที่ยากลำบาก มีสองสิ่งที่ต้องควบคู่กันไปกับการขับฝ่าเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคก็คือ การวางตำแหน่งรถให้ถูกต้องและการใช้คันเร่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป Mercedes-Benz Hill Start Assist และการเฉลี่ยแรงบิดไปยังแต่ละล้อของระบบ 4 Matic เข้ามาจัดการให้เกือบทั้งหมด เหลือแค่การคอนโทรลพวงมาลัยให้ถูกต้องกับเส้นทางที่จะมุ่งไปข้างหน้า และการใช้คันเร่งแบบไม่เข่น ค่อยๆ เติมในจังหวะที่รถอยู่ในระนาบที่ผิดปกติ ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคบนเส้นทางได้อย่างสบายๆ สถานีหลุมลึกสลับไปมาเป็นการใช้เบรกช่วยถ่ายน้ำหนักที่มากถึง 2.4 ตัน โดยค่อยๆ คลายเบรกให้รถไหลอย่างช้าๆ แบบหย่อนลงและไต่ขึ้นโดยใช้ความเร็วต่ำแทบจะคลาน ส่วนสถานีเนินเอียงสลับซ้ายที ขวาที ก็มีสภาพที่ไม่แตกต่างกันนัก นั่นก็คือ ล้อหลังจะยกขึ้นจึงต้องใช้ความระวังในการวางตำแหน่งรถโดยแทบจะไม่ไปยุ่งกับคันเร่ง ส่วนสถานีเนินดินสูงชัน เป็นจุดเดียวที่ต้องกดคันเร่งมากกว่าปกติเพื่อให้รถสามารถไต่ขึ้นเนินไปได้พร้อมระบบ Hill Start Assist ที่ช่วยประคองตอนไหลลงเนิน ส่วนการลุยน้ำลึก 50 เซนติเมตร ก็ไม่ใช่ปัญหาของเจ้ายักษ์เอสยูวีคันนี้ แค่แตะคันเร่งเบาๆ ประคองความเร็วให้อยู่ในระดับต่ำแค่ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง GLS สามารถวิ่งผ่านแอ่งน้ำลึกได้อย่างสบาย เครื่องยนต์ 6 สูบดีเซลยังมาพร้อมกับความประหยัดและมีมลพิษต่ำ รวมถึงควมประณีตของงานประกอบภายใน บวกกับความสามารถในการฝ่าฟันอุปสรรคบนเส้นทางออฟโรด แต่จะมีเศรษฐีสักกี่คนที่กล้าเอารถราคาเฉียดๆ 10 ล้านไปลุยโหดแบบนี้!

สถานีสุดท้ายของวันทดสอบและเรียนรู้การขับขี่ออฟโรด Mercedes-Benz SUV Driving Experience เป็นสถานีแก้เสี้ยน จำลองการขับในสนามทดสอบด้วยสปีดความเร็วสูงสไตล์ Rally Cross ด้วยรถ Mercedes-Benz GLC / GLA และ ครอสโอเวอร์ขับหน้ารุ่นใหม่ประกอบต่างประเทศ Mercedes-Benz GLB ผมเดินไปที่ GLA200 Urban แบบไม่ลังเล เนื่องจากความคล่องตัวและขนาดที่เล็กกะทัดรัด เหมาะกับการสาดโค้งทำความเร็วในสนามที่มีผิวทางที่เต็มไปด้วยหินก้อนโตและฝุ่นลูกรังสีแดง Twin Track Speed Circuit ความยาว 3,000 เมตร เป็นการขับที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ท้ายรถที่บานออกด้านข้างทำให้ต้องแต่งพวงมาลัยและคันเร่งไปตลอดทาง สถานีนี้มีรถยางแหกไปหลายคัน เนื่องจากเป็นยางสปอร์ตทางเรียบ แต่โดนเอามาทรมานด้วยการบดลงไปบนหินและกรวด เมื่อจบสเตชั่นสุดท้ายรถทดสอบก็มีทั้งลมรั่วและดอกยางร่อน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ ทั้ง GLC GLA และ GLB นั้นวิ่งในสนาม Rally Cross ได้อย่างเมามัน ทั้งๆที่เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าแต่สไลส์ราวกับรถขับเคลื่อนล้อหลังยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

Crossover และ SUV ของแบรนด์ตราดาวนั้นมีให้เลือกมากมาย อยู่ที่เงินในกระเป๋าของคุณว่าจะมากหรือน้อย GLA ที่ขายมานานและกำลังจะเปลี่ยนโฉมเร็วๆ นี้ เป็นครอสโอเวอร์คันเล็กที่ขับได้ดี ส่วน GLC ซึ่งเป็นรถขายดีนั้นก็ทำตัวดีงามบนเส้นทางที่มีความยากลำบาก รุ่นตัวถังปกติมีพื้นที่เบาะหลังกว้างขวางกว่ารุ่น Coupe แต่ความสามารถในการลุยนั้นพอฟัดพอเหวี่ยงกันแต่ควรระวังเรื่องใต้ท้องรถที่ไม่ได้สูงมากเหมือนออฟโรดตัวเต็ม สำหรับ GLE รุ่นใหม่ เป็นน้องรองของพี่ใหญ่อย่าง GLS และอยู่ในกลุ่มเดียวกับ BMW X5 เมื่อขับลุยทางวิบาก ระบบขับเคลื่อนที่ออกแบบมาสำหรับการวิ่งนอกถนนรับหน้าที่ได้ดี ที่ชอบก็คืองานภายในที่คล้ายกับ GLS แต่ที่ดูแปลกตาก็คือส่วนหน้าของมันโดยเฉพาะชุดไฟหน้า

พระเอกของงานอย่าง GLS คือคำตอบที่ง่ายและสบาย ถ้าคุณเป็นเศรษฐีนักขับออฟโรดตัวจริง มันมาพร้อมกับระบบและความสะดวกนานัปการ ควบคุมง่าย ขับไม่เก่งก็สามารถฝ่าออกมาได้อย่างไม่ทุลักทุเลมากนัก ในตลาดรถหรูเอสยูวีก็มีแค่ X7 และ GLS เท่านั้นที่มีความใหญ่สูสีกัน การทดสอบขับออฟโรดกลายเป็นความรู้สึกที่ลงตัวในการจับสัมผัสบางอย่างของ GLS นี่คือตัวลุยของแบรนด์ตราดาวที่คุณสามารถวิ่งแหกลงไปในไร่โดยที่ลูกๆยังนั่งกินเค็กได้อย่างสบายอารมณ์ แม้จะใหญ่แต่ขับแล้วรู้สึกคล่องและตอบสนองได้ดี เมื่อเข้าไปนั่งอยู่ในห้องโดยสารของมัน คุณจะรู้สึกได้ถึงความมั่นคง และนั่งอยู่ในตำแหน่งการควบคุมที่ยอดเยี่ยม การเสริมระบบต่างๆ เพื่อความสบายคือจุดเด่นของ GLS แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ชวนให้รู้สึกชอบ โดยเฉพาะการวิ่งอย่างเนียนบนไฮเวย์นั้นสุดยอดมาก Mercedes-Benz SUV Driving Experience ถือเป็นงานทดสอบแนวออฟโรดที่สนุกสนาน สถานีต่างๆ ที่สนามออฟโรดของกรังด์ปรีซ์ในอำเภอบ่อพลอย ช่วยเพิ่มพูนทักษะการขับและได้เรียนรู้การควบคุมรถยนต์ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งบางครั้งอาจต้องนำมาใช้ในชีวิตจริง เมื่อจบงานทดสอบและต้องขับรถกลับที่พักในตัวจังหวัดกาญจนบุรี รถที่ดีที่สุดของผมในช่วงเย็นวันนั้นก็คือ Mercedes-AMG CLA35 4Matic ครับ!

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/


คุณกำลังดู: มาครบ จบที่การลุย! MERCEDES-BENZ OFF ROAD SUV DRIVING EXPERIENCE

หมวดหมู่: รถยนต์

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด