เปิดประวัติ "ขุนหลวงท้ายสระ" พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 30 แห่งอาณาจักรอยุธยา "พรหมลิขิต"
เข้าสู่ยุคใหม่ "ขุนหลวงท้ายสระ" หรือ "เจ้าฟ้าเพชร" พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 30 แห่งอาณาจักรอยุธยา หนึ่งตัวละครที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ใน "พรหมลิขิต"
ละคร พรหมลิขิต ภาคต่อของละคร บุพเพสันนิวาส พาคนดูกลับสู่กรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง และแน่นอนว่านอกจากเรื่องราวในละครจะมีความสนุกสนานน่าติดตามแล้ว ยังมีตัวละครสำคัญในเรื่องที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาอยู่ ออกมาให้คนดูได้ทำความรู้จัก จนอยากรื้อฟื้นความรู้ทางประวัติศาสตร์ช่วงสมัยกรุงศรีฯ ในสมัยนั้นอีกทาง
- เรื่องย่อ พรหมลิขิต (Love Destiny 2) ละครแนวพีเรียดอิงประวัติศาสตร์
- ตารางฉาย พรหมลิขิต เปลี่ยนวันออกอากาศใหม่ ปักหมุดไว้ให้ดีนะออเจ้า
- ขุนหลวงท้ายสระ (ขุนหลวงทรงปลา) โปรดเสวยปลาตะเพียน จนสั่งห้ามราษฏรจับ "พรหมลิขิต"
- ย้อนฉาก เจ้าฟ้าเพชร-เจ้าฟ้าพร จาก พรหมลิขิต ร่วมงานแต่งแม่นายการะเกดตั้งแต่วัยเด็ก
หนึ่งตัวละครสำคัญที่มีจริงในประวัติศาสตร์ในละคร พรหมลิขิต และจะมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการเมืองในละครอย่าง สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 หรือ พระเจ้าภูมินทราชา หรือ พระเจ้าบรรยงก์รัตนาสน์ รับบทโดย เกรท-วรินทร ปัญหกาญจน์ พระเอกหนุ่มมากฝีมือที่มารับบทอันทรงเกียรตินี้ ในบทบาทตัวละคร ขุนหลวงท้ายสระ หรือ เจ้าฟ้าเพชร เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 30 แห่งอาณาจักรอยุธยา และเป็นพระองค์ที่สามแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2251 - พ.ศ. 2275
ขุนหลวงท้ายสระ หรือ เจ้าฟ้าเพชร
สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ หรือ เจ้าฟ้าเพชร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือ หลวงสรศักดิ์) กับพระอัครมเหสีสมเด็จพระพันวษา มีพระอนุชาและพระกนิษฐาร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าพร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หรือ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชที่ 2) และเจ้าฟ้าหญิงไม่ทราบพระนาม
พระองค์ประสูติตั้งแต่พระราชบิดา (พระเจ้าเสือ) เป็นขุนนางในตำแหน่งออกหลวงสรศักดิ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ หลังจากพระอัยกา (พระเพทราชา) ทรงครองราชย์ และแต่งตั้งพระเจ้าเสือเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ทำให้สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระได้เป็นเชื้อพระวงศ์ และออกพระนามว่า สุรินทกุมาร ซึ่งที่มาของ สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ มาจากนามพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ซึ่งพระองค์ใช้เป็นประทับอันอยู่ข้างสระน้ำท้ายพระราชวัง
พระองค์โปรดเสวยปลาตะเพียนมาก โดยออกพระราชกำหนดห้ามราษฎรจับหรือรับประทานปลาตะเพียน หากผู้ใดฝ่าฝืน มีบทลงโทษคือปรับเป็นเงิน 5 ตำลึง หรือ 20 บาท
ความโดดเด่นในยุคสมัย ในด้านการต่างประเทศ ได้มีการส่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศจีน ทำให้การค้าขายระหว่างสยามกับจีนนั้นเพิ่มพูนขึ้น ยุคสมัยรัชกาลขุนหลวงท้ายสระ ทางจีนเกิดทุพภิกขภัยภาวะข้าวยากหมากแพงที่กวางตุ้งและฝูเจี้ยน ทำให้ต้องทำการสั่งซื้อข้าวจากไทย มีการค้าขายมากขึ้นจนไทยและจีนมีความสัมพันธ์โดดเด่นขึ้นมา
เมื่อพระราชบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. 2251 จึงขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนามว่า พระเจ้าภูมินทราชา และด้วยความสนิทสนมปรองดองทรงสถาปนา เจ้าฟ้าพร (รับบทโดย เด่นคุณ งามเนตร) พระราชอนุชาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เปรียบเสมือนทายาทที่จะสืบต่อบัลลังก์ ซึ่งสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ ทรงมีพระราชโอรส 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าฟ้านเรนทร (กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์), เจ้าฟ้าอภัย, เจ้าฟ้าชายปรเมศร์
ในยุคสมัยนั้น ถือว่าเป็นยุคบ้านเรือนสงบร่มเย็น แม้จะมีศึกภายนอกแต่ปราศจากศึกภายใน แต่หลังจาก สิ้นสมัยพระเจ้าท้ายสระ เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสของพระเจ้าท้ายสระอ้างสิทธิในราชสมบัติ และเจ้าฟ้าปรเมศร์ได้สู้รบกับ เจ้าฟ้าพร พระอนุชาของพระเจ้าท้ายสระและวังหน้า พระเจ้าอาของเจ้าฟ้าอภัยกับเจ้าฟ้าปรเมศร์ เกิดการต่อสู้ระหว่างอาและหลานคือวังหน้าและวังหลวง ผลสุดท้ายฝั่งอาวังหน้าเป็นฝ่ายชนะ และขึ้นเป็นกษัตริย์มีนามว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้ทำการกวาดล้างฝ่าย เจ้าฟ้าอภัย จนเกลี้ยงจนขาดกำลังคนและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อยุธยาอ่อนแอ
สงครามครั้งนี้กลายเป็นสงครามกลางเมืองภายในรุนแรงยาวนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองอีกหลายครั้ง จนนำมาสู่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
การสวรรคต สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ
ในระหว่างที่เจ้าฟ้าอภัยฝ่ายวังหลวงคิดแย่งชิงราชสมบัติกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พร้อมที่จะพุ่งรบแล้วนั้น ทั้ง 2 พระองค์ต่างก็รอเวลาที่สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระเสด็จสวรรคต ไม่นานนักอาการพระประชวรแย่ลงจนแพทย์หลวงไม่สามารถวายการรักษาได้ สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระจึงเสด็จสวรรคตลงในปีจุลศักราช 1094 (พ.ศ. 2275)
จดหมายเหตุของคณะบาทหลวงฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งบาทหลวงเอเดรียง โลเน ระบุว่า สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระประชวรมีฝีในพระโอษฐ์หรือพระศอ ขณะที่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) บันทึกไว้ว่า พระองค์ประชวรที่พระชิวหา (ลิ้น) จึงสันนิษฐานว่าพระองค์อาจเป็นมะเร็งช่องปาก พระองค์ประชวรด้วยพระโรคนี้เป็นเวลานานจนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2275 ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ มีพระชนมายุ 54 ปี เสวยราชสมบัติอยู่ 26 ปีเศษ
การพระบรมศพ
หลังจากกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระอนุชาเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงแค้นพระทัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ ด้วยเหตุทรงยกราชสมบัติให้เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรส ดำรัสว่าจะไม่เผาพระบรมศพให้แต่จะนำไปทิ้งน้ำแทน
พระยาราชนายกว่าที่กลาโหม กราบทูลเล้าโลมพระองค์หลายครั้งจนพระองค์ทรงตัดสินพระทัยจัดการพระบรมศพตามราชประเพณี แต่ทรงลดขนาดพระเมรุลงเป็นพระเมรุน้อย ขื่อ 5 วา 2 ศอก มีพระสงฆ์สดับปกรณ์ 5,000 องค์ (จากเดิม 10,000 องค์) ใช้เวลาทำ 10 เดือนจึงแล้วเสร็จ แล้วเชิญพระบรมศพถวายพระเพลิงเมื่อเดือน 4 ปีฉลู พ.ศ. 2276
ทรงดำรัสว่าทำบุญน้อยนักไม่สบายพระทัยแล้วทรงนิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์เพิ่มเป็น 6,000 องค์ ให้สดับปกรณ์ 3 วันแล้วถวายพระเพลิงเสร็จแล้วนำพระบรมอัฐิใส่พระโกศน้อยแห่เข้ามาบรรจุไว้ท้ายจระนำ (ซุ้มคูหาท้ายวิหาร หรือท้ายโบสถ์) ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ การพระบรมศพสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระมีความสมพระเกียรติยศจึงแตกต่างกับรัชกาลก่อนๆ
คุณกำลังดู: เปิดประวัติ "ขุนหลวงท้ายสระ" พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 30 แห่งอาณาจักรอยุธยา "พรหมลิขิต"
หมวดหมู่: หนัง-ละคร