“แพท พาวเวอร์แพท” วิธีรับมือกับด้านมืด และการปลุกชีวิตให้ตื่นจากการตั้งคำถาม

“แพท พาวเวอร์แพท” วิธีรับมือกับด้านมืด และการปลุกชีวิตให้ตื่นจากการตั้งคำถาม

กราฟชีวิตที่ขึ้นสุดลงสุดของ แพท - วรยศ บุญทองนุ่ม นักร้องนำ วงพาวเวอร์แพท เป็นบทเรียนล้ำค่าที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงบ่อยครั้งบนพื้นที่สื่อ การประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินขณะที่มีอายุเพียงยี่สิบปี พลันวูบดิ่งเมื่อต้องคดียาเสพติด หลายคนตัดสินว่าอนาคตของแพทดับสนิท แต่ช่วงเวลาที่หายไปในเรือนจำจนถึงวัยสี่สิบปีในวันนี้ เราคงต้องบอกว่า “ไม่ดับสิ้น หรือสูญเปล่า” เพราะนอกจากสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอีกมากมาย “แพท พาวเวอร์แพท” ในวันนี้ยังสามารถกลับคืนวงการได้อีกครั้งในฐานะศิลปินที่มีด้อมแฟนคลับตามติดชีวิต “แดดดี้แพท” อย่างอบอุ่น

Sanook Men มีโอกาสได้สัมภาษณ์แพทในช่วงเวลาสั้นๆ จังหวะเดียวกับที่แพทปล่อยซิงเกิ้ลเพลงใหม่ “คิดไม่ซื่อ” แนวเพลง City Pop ที่เล่าถึงความรู้สึกของอาการ “ห้ามใจไม่ไหว” เนื้อเพลงอาจเป็นเรื่องของหัวใจ แต่ไหน ๆ ก็ได้คุยกันแล้วต้องขออาศัยมุมมองในชีวิตจริงที่อาจส่งต่อบางสิ่งให้พวกเราได้นำไปใช้เพื่อพัฒนาใจตนเอง  

หลายครั้งที่ด้านมืดมาชวนให้เรา คิดหรือทำสิ่งที่รู้ว่าไม่ดี มีวิธีห้ามใจอย่างไร   

แพท : เราก็ต้องค่อย ๆ ทบทวน อย่าเพิ่งรีบใจร้อนตัดสินใจอะไร และพยายามดูเรื่องของผลเสียและผลลัพธ์ที่จะตามมาว่า ถ้าเราคิด พูด หรือทำอะไรลงไปสิ่งที่เราต้องการ ณ ตอนนั้น ผลกระทบที่จะตามมามีอะไรบ้าง  พยายามมองให้รอบด้าน ให้หลากหลายมิติ แล้วมาชั่งน้ำหนักดูว่ามันคุ้มค่ากันมั้ย  สิ่งที่เราจะทำลงไปเป็นเพราะอะไร หาเหตุผลว่าต้องการอะไร ต้องการทำตามความรู้สึกตัวเอง ต้องการความสะใจ หรือแค่เอาใจใคร ก็ต้องดูหลายอย่างประกอบกัน

พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องมีสติ ในการที่จะคิด ตัดสินใจ ที่จะทำอะไรลงไป อย่าเพิ่งรีบร้อน

คำว่า “มีสติ” เกิดขึ้นกับตัวเองตอนไหน

แพท : น่าจะเกิดขึ้นตอนที่อยู่ในเรือนจำ เหมือนกับว่า เรามีเวลาที่จะทบทวนตัวเองมากขึ้น ได้อยู่ในสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่นิ่ง ๆ เหมือนกันทุกวัน ไม่มีอะไรเข้ามาในชีวิตมากมาย เราก็แค่ใช้ชีวิตไปตามครรลอง ตามกฎระเบียบ ตามที่เขาวางไว้ พอรู้สึกว่าเราไม่ได้มีสิ่งเร้าอะไรมากในชีวิต ก็ทำให้เราได้ทบทวน คิดหลายอย่าง ได้พูดคุยกับตัวเองถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เรื่องของความผิดพลาดต่าง ๆ ชะตากรรมที่ต้องมาเจอ หาคำตอบว่าเพราะอะไรสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นกับชีวิตเรา พยายามศึกษา หาเหตุและผลในชีวิตโดยใช้เหตุและผลเป็นหลัก ไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัว

เราพยายามหาคำตอบกับหลาย ๆ อย่าง เช่น ทำไมเราเห็นคนอื่นในข่าวว่าทำไมเขาจึงเป็นแบบนี้ พยายามมองอย่างเป็นกลาง หรือว่าเราอาจจะแยกตัวมาเป็นอีกคนที่พยายามมองเข้ามาในเรื่องนั้น ๆ แทนที่ตัวเองจะลงไปสัมผัสหรือเล่นเอง ลองคิดแทนใจคนที่เขามองอยู่ข้างนอกดูว่าเป็นอย่างไร ก็ช่วยได้ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า สติ ขึ้นมาได้ เป็นความรู้ตัว โดยที่ไม่ได้เอาเรื่องของอารมณ์ ความโลภ หรือกิเลส มาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราคิดหรือทำอะไรบางอย่าง

เป็นการเรียนรู้ธรรมะ จากชีวิตจริง?

แพท : ใช่ครับ เพราะถ้าพูดถึงธรรมะ หรือพุทธศาสนาในสมัยก่อนของเรา ค่อนข้างที่จะห่างไกลมาก ไม่เคยได้ศึกษาอะไรจริงจัง แต่ช่วงที่เราเริ่มเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ แล้วก็ได้รับผลกรรมต่าง ๆ มากมาย มันเกิดการตั้งคำถามถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเอง แม้กระทั่งคนรอบข้างก็ดี เราพยายามหาเหตุและผล และสุดท้ายมันก็โยงกลับไปเรื่องของธรรมะ

พอศึกษาไปเรื่อย ๆ เราก็รู้ได้ว่า ธรรมะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ มีเหตุและผล และสามารถเกิดขึ้นได้จริง คือธรรมชาติของโลก ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เรียนรู้และทดลองมาด้วยตนเองแล้ว อย่างที่รู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นกษัตริย์ ได้ใช้ชีวิตหลาย ๆ อย่าง และได้มีการตั้งคำถามต่าง ๆ นา ๆ แล้วได้ทดลองเองด้วย ทั้งถูก ทั้งผิด ท่านได้เรียนรู้จึงนำมาเผยแพร่ต่อชาวโลก ซึ่งก็ไม่ได้จำกัดว่าเป็นชาติไหน ศาสนาใด  ธรรมะเป็นเรื่องความจริงของโลก เพราะฉะนั้นทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ ไม่ว่าจะอยู่ชาติไหน นับถือศาสนาอะไรก็เชื่อว่า ผลของการกระทำจะเป็นผลลัพธ์ ตามที่ท่านทรงสั่งสอน

ธรรมะนี่ล่ะ คือธรรมชาติของโลก สิ่งนี้ผมได้มาไขความหมายหรือแก่นจริง ๆ ที่สงสัย ก็ตอนที่บวชกับพระอาจารย์หลังออกจากเรือนจำ ก่อนหน้านี้ก็คือ เชื่อในเรื่องของคำสอนอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ถึงแก่น หรือความหมายจริง ๆ พอได้ไปบวชก็ได้เข้าใจเรียนรู้ถึงแก่นจริง ๆ

จุดที่รู้สึกได้เลยว่าตัวเองเปลี่ยนไปเลยจากเดิม

แพท : สิ่งที่เปลี่ยนชัดเลยน่าจะเป็นเรื่องชื่อเสียง การประสบความสำเร็จ การได้รับการยอมรับจนถึงจุดที่ตกต่ำที่สุด คนก็ไม่ได้อยากบอกใครว่าเคยรู้จักเรา หลายคนก็อาจจะต่อว่า ว่ากล่าวเราจากการกระทำของเรา อยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าตกต่ำที่สุดชีวิต เพื่อนฝูงก็หายหน้าเหลือแต่ครอบครัวที่คอยดูแล ในเรือนจำก็ไปเจอบุคคลต่าง ๆ ที่มาในสภาพที่แตกต่างกัน เราก็ได้เรียนรู้และรู้สึกว่า ลาภยศสรรเสริญ หรืออะไรที่เป็นเปลือกนอก ก็ไป ๆ มา ๆ มันไม่มั่นคงยั่งยืน หรืออยู่กับเราถาวร อย่าตื่นเต้น หรือยินดีอะไรกับสิ่งต่าง ๆ ที่มันเข้ามา มันเกิดการปล่อยวาง ไม่ยึดติด สิ่งนี้ล่ะที่ทำให้เราค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อย ๆ

พอเรามองเห็น ก็เข้าใจว่ามันคือ ธรรมชาติของโลก ทุกอย่างหมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญ แม้กระทั่งความสุข ความทุกข์ มันเข้ามาหาเรา วันหนึ่งเมื่อถึงจุดยุติของมัน มันก็จะผ่านไป ซึ่งเราก็เชื่อมั่นในจุดนี้ เป็นข้อธรรมที่เรายึดมาในจิตใจ

วันที่มีความทุกข์ อยู่จุดที่แย่ที่สุดในชีวิต เราก็เชื่อว่าวันนึงมันต้องผ่านไป เราก็อดทนรอคอยวันนั้น และระหว่างที่รอคอย เราก็ต้องใช้สติ ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีคุณค่า ในวันดี ๆ ที่เข้ามา โอกาสดี ๆ ที่เข้ามา เราต้องพร้อมที่จะรับมันด้วย อย่าปล่อยให้ตัวเองซังกะตาย หรือปล่อยตัวเองให้หายใจทิ้งไปวัน ๆ แล้วก็มัวแต่โทษนู่นโทษนี่ ควรจะมุ่งไปข้างหน้า เปิดใจ เปิดโอกาสให้กับตัวเองเพื่อรับสิ่งใหม่ ๆ ด้วย

แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่กลับมาแล้ว จะได้ความรักจากทุกคน

แพท : ใช่ ๆ อันนี้ถือเป็นความโชคดี หลัก ๆ ก็มาจากพี่ ๆ สื่อมวลชนด้วยที่มองเห็นในความจริงใจของเรา เห็นว่าเราได้ปรับเปลี่ยนตัวเองแล้ว ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมจริง ๆ จึงได้รับการยอมรับ มีแฟนคลับที่คิดถึงเรา ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ที่เขาคอยสนับสนุน อันนี้ต้องขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวเรา

แต่หลัก ๆ แล้วเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ ระยะเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงใจ และความตั้งใจจริงของเราในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือไม่ได้อยากทำจริง ๆ ก็ต้องมีอะไรที่เผยออกมาแล้ว แต่เมื่อเรารู้สึกอย่างนั้นจริง แล้วทุกคนก็เห็นแล้วเราก็ใช้ชีวิตอย่างที่เคยพูดไว้จริง จึงได้ทำงานที่รักต่อไป ได้ดูแลครอบครัว และหาโอกาสในการช่วยเหลือสังคม ผมเดินสายไปบรรยายแล้วก็ทำเรื่องต่าง ๆ มากมาย ที่คิดว่าตัวเองมีความรู้มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือ ทั้งกรมราชทัณฑ์ และหน่วยงานต่าง ๆ

สิ่งที่แพทบอกต่อผู้อื่นอยู่เสมอ

แพท : ทุกคนที่อาจจะเคยเจอเหตุการณ์อย่างผม อาจจะเป็นอดีตผู้ต้องขัง หรือคนที่กำลังพ้นโทษ ผมมักพูดในเรือนจำอยู่บ่อย ๆ ว่า อย่าด้อยค่าตัวเอง อย่ากังวลว่าจะโดนใครแอนตี้หรือตราหน้า  สังคมทุกวันนี้เป็นสังคมที่ค่อนข้างเปิดกว้าง ถ้าเรามั่นใจว่าต้องการที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองแล้วจริง ๆ มั่นใจว่าเราจะไม่กลับไปทำสิ่งแย่ ๆ แบบเดิม  แล้วก็ขยันทำมาหากิน ขยันทำงาน มีความซื่อสัตย์ มีความกตัญญู รู้คุณแผ่นดิน ถ้าเรายึดมั่นในสิ่งนี้เสมอ ชีวิตเราดีขึ้นแน่นอน แม้วันนี้จะไม่มีใครเห็น จะยังไม่มีใครยอมรับก็ตาม แต่ถ้าเราทำต่อเนื่อง วันหนึ่งจะส่งผลแน่นอน อย่างน้อย ชีวิตคุณก็ดีขึ้น ไม่กลับไปในเส้นทางเก่าที่ทำร้ายตัวเองแบบเดิม

ชีวิตปัจจุบันมีสิ่งเร้ารอบตัวมากมาย มีวิธีสงบใจตัวเองอย่างไร

แพท : ถ้างานไม่ยุ่งจนกลับดึกมาก สิ่งที่ทำเป็นประจำทุกวันคือ หลังจากกลับบ้านตอนเย็นหรือตอนค่ำ ๆ อาบน้ำเสร็จผมก็จะสวดมนต์ก่อนนอน เป็นบทสวดทั่วไป อิมินา พาหุง ชินบัญชร ช่วงที่เรามีสมาธิในการสวดมนต์ เป็นช่วงเวลาที่เราทบทวนตัวเองถึงสิ่งที่เราทำทุกวันว่าดีพอหรือยัง เราได้มีทางไหนที่จะเป๋ หรือผิดรูปผิดทางตรงไหนบ้าง  ถ้าพิจารณาแล้วเจอ ก็พยายามปรับเปลี่ยน

แล้วก็เรื่องของการรักษาศีลห้าก็จะพยายามรักษาให้ได้ เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราทำได้ ชีวิตเราดีขึ้นแน่นอน ตั้งใจจะครองศีล 5 ให้ แต่มันมีบ้าง ที่เผลอไปบี้มด บางทียุงกัดก็เผลอไปตบ พอเผลอก็รู้สึกผิดเหมือนกัน (หัวเราะเบาๆ)

แต่เรื่องดื่มเหล้า อบายมุข ไม่ได้มีเรื่องนี้เลย เพราะไม่อยากจะกลับไปเริ่มต้น เรารู้แล้วว่าสิ่งนี้จะทำให้เรามึนเมา ขาดสติ ขาดการยับยั้งชั่งใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจเราลดความเข้มแข็งลง มันทำให้เราตามใจตัวเองมากเกินไป จนไม่แคร์อะไร ผมกลัวว่าพอเริ่มแล้วมันจะวนลูปไปแบบนั้นอีก เราไม่อยากจะกลับไปซ้ำแบบเดิม 

แล้วอีกอย่างคือ มันเลยวัยแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว ต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ มีภาระ มีหน้าที่ มีงาน มีแฟนคลับที่ต้องดูแล เพราะฉะนั้นมันไม่เหมือนวัยรุ่นที่คิดว่าตัวคนเดียวอยากจะทำอะไรทำแล้ว เรามีคนข้างหลังอีกเยอะที่ได้รับผลพวงหรือผลกระทบจากพฤติกรรมของเรา ไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียว

ที่เคยเชื่อว่า ดนตรีจะสนุกต้องมีเหล้ายาเข้ามาเกี่ยวข้องหายไปเลย?

แพท : ไม่เลย ทุกวันนี้ความเชื่อพวกนั้นหายไปเลย เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับงานเพลง ทุกวันนี้สบาย ๆ กับทุกงานเลย ทุกงานที่ทำ ที่พยายาม เราทำให้มีความสุข  งานดนตรีเป็นตัวตนของเราอยู่แล้ว  เป็นงานที่เราชอบทำอยู่แล้ว ส่วนโอกาสในงานอื่น ๆ  เมื่อมีโอกาสเราก็จะทำให้เต็มที่

เห็นตัวเองในวัยห้าสิบเป็นภาพแบบไหน

แพท : เห็นครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นก็อาจจะยังอยู่กับดนตรี ทำเพลงที่ชอบไปเรื่อย ๆ แล้วก็อาจจะอยู่บ้านเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลาคาร์ฟ  คิดว่าคงใช้ความสุขอยู่ที่บ้านเป็นหลัก ออกไปท่องเที่ยวบ้าง ออกไปคอนเสิร์ตบ้าง  

มองเรื่องการสร้างครอบครัวไหม

แพท : ไม่มองเลย เรายังไม่มีภาพอะไรแบบนั้นในหัวเลย เรามีความสุขกับตัวเราเอง มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ทำงานที่เรารัก ผมเป็นคนที่ชอบคิดชอบทำอะไรไปเรื่อย ๆ คือสนุกกับโปรเจกต์นู้นโปรเจคนี้ที่ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ  แล้วก็งานหลายอย่างต้องการเวลา และการทุ่มเทเลยคิดว่าน่าจะยากที่จะแบ่งเวลาไปมีครอบครัว เพราะผมเองก็มองเห็นหลาย ๆ ตัวอย่างพอมีครอบครัวแล้วความเป็นตัวของตัวเอง มันจะต้องถูกแช่ หรือลดน้อยลงไป ไม่สามารถที่จะทุ่มเทเวลาใหักับสิ่งที่ตัวเองชอบ หรือตัวตนของตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ต่อไปแล้ว

ในวันนี้ “แพท พาวเวอร์แพท” หวังเป็นแค่ “แดดดี้” ของแฟนคลับ ศิลปินที่อาศัยบทเรียนในอดีตและหลักธรรมขับเคลื่อนชีวิตเรียนรู้ทุกข์ที่เข้ามาและผ่านไปในแต่ละวัน แต่ดูเหมือนมีสิ่งที่คงทนถาวรไม่หายไปจากชีวิตของเขาเลยก็คือ “ดนตรี” สิ่งที่แพทไม่คิดละทิ้งเลยแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว

คุณกำลังดู: “แพท พาวเวอร์แพท” วิธีรับมือกับด้านมืด และการปลุกชีวิตให้ตื่นจากการตั้งคำถาม

หมวดหมู่: ผู้ชาย

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด