ประเภทของยางรถยนต์ ยังไง? อะไรบ้าง?

ยางคือชีวิต เลือกผิด ชีวิตเปลี่ยน ส่องประเภทของยาง และวิธีเลือกยางให้ตรงกับการใช้งาน

ประเภทของยางรถยนต์ ยังไง? อะไรบ้าง?

ประเภทของยางรถยนต์ ยังไง? อะไรบ้าง?

ในชีวิตหลังพวงมาลัยของพวกเราทุกคน ปฏิเสธไม่ได้ว่ายางรถยนต์คือสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตและทรัพย์สินมากที่สุดอย่างหนึ่ง มวลน้ำหนักมหาศาลของรถ พลังม้ากี่ร้อยตัวจากเครื่องยนต์ ระบบช่วยเหลือการทรงตัวอันทันสมัย จะมีของดีขนาดไหนท้ายสุด ทุกอย่างก็จะมาแตะถนนผ่านยาง บางครั้งการมีรถสมรรถนะสูงแต่เลือกยางไม่เหมาะสม มันก็จะเปลี่ยน “อัญมณี” ให้เป็น “กาลกิณี” ติดล้ออย่างไม่ต้องสงสัย

เรื่องประเภทของยางรถยนต์นั้น มีหลายท่านหลายตำราเขียนเอาไว้แล้ว ถามกู (เกิล) ดูก็ได้ แต่เมื่อพี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ แห่งสำนักพิมพ์ยักษ์เขียว อยากให้ผมลองเขียนเรื่องประเภทของยางลงในคอลัมน์รถประจำวันอาทิตย์ ก็เห็นทีจะต้องจัดเสียหน่อยครับ เพื่อให้โฟกัสมันเหมาะกับกลุ่มผู้อ่านของเรา ผมจะตีกรอบคุยกันเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่ง รถกระบะ รถอเนกประสงค์ ส่วนยางรถบรรทุก รถเหมืองแร่ อันนี้เราคงไม่ต้องไปแตะ

รถบนท้องถนน อย่างที่คุณเห็น มันก็มีทั้งรถเก๋ง รถกระบะ รถ SUV ซึ่งต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า แม้บริษัทผู้ผลิตยางจะแบ่งรุ่นยางออกตามประเภทการใช้งานของรถ แต่ในบางครั้ง เราก็สามารถนำมาใช้สลับกันได้เพื่อให้ตรงกับการใช้งาน คุณขับรถกระบะแต่งซิ่ง เปลี่ยนล้อวงใหญ่มา พลังแรงบิดคุณทะลุ 600 นิวตันเมตร ถ้าเป็นสายซิ่งตัวเตี้ย บางทีคุณก็ไปหยิบยางรถเก๋งที่ขนาดและดัชนีการรับน้ำหนักมันลงตัว ก็จะได้ประโยชน์ในการใช้และความปลอดภัยดีกว่ายางรถกระบะที่ทำมาเน้นการขนสินค้า หรือแม้แต่กระบะซิ่งยีราฟ ล้อโตยกสูง บางคันก็ใช้ยางจากพวก SUV ยุโรปแรงม้าสูงๆ ก็ช่วยให้วิ่งบนถนนเรียบได้มั่นขึ้น

ดังนั้น ของบางอย่าง ข้ามค่ายข้ามพันธุ์กันได้ ถ้าขนาด การรับน้ำหนัก และจุดประสงค์แท้จริงในใจเจ้าของรถมันอำนวย

ส่วนยางประเภทไหนจะแบ่งเป็นอะไรบ้าง ก็ตามนี้เลยครับ แทนที่จะแบ่งตามตำรา ผมเลือกจัดประเภทตาม “สิ่งที่เจ้าของรถต้องการ” มากกว่า ซึ่งมันจะง่าย เวลาคุณไปคุยกับร้านขายยาง ไม่ต้องเถียงกันนาน

ยางรถเก๋ง
1-ยางประหยัดน้ำมัน
ยางเหล่านี้มักจะถูกเลือกใส่ในรถอีโคคาร์ รถเก๋งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และมักจะถูกสร้างมาให้มีราคาถูก ก็แน่สิ ใครวะที่อยากประหยัดเงินค่าน้ำมันแล้วดันอยากจ่ายค่ายางแพงๆ ยางเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้มีแรงต้านการหมุนที่ต่ำ แรงต้านการหมุนต่ำคืออะไร? สมมติคุณเอายางสองเส้นวางแล้วให้เด็กประถมโดดถีบยางด้วยแรงเท่ากันทั้งสองเส้น ไอ้ยางเส้นที่มีแรงต้านการหมุนต่ำกว่าจะไหลไปได้ไกลกว่า ฟังดูเหมือนง่าย แต่บริษัทยางต่างหมดเป็นพันล้านนะครับกับการเลือกวัสดุ ส่วนผสมยางให้สามารถกลิ้งได้ไกลขึ้น รูปแบบดอกยางก็จะเน้นลดแรงต้านอย่างถึงที่สุด รวมถึงบางยี่ห้อจะมีผนังยางบางลง เพื่อลดน้ำหนัก เพราะถ้ายางเบา ภาระการทำงานเครื่องยนต์ก็ลดลงด้วย

การเลือกใช้ยางประเภทนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องวิ่งรถเยอะ ออกตัวแล้วหยุดบ่อย วิ่งไปมาในเขตความเร็วไม่เกินกฎหมายกำหนด ยางประเภทนี้บวกกับการเรียนรู้เทคนิคการปล่อยคันเร่งไหลในจุดที่ทำได้ ช่วยเซฟค่าน้ำมันได้ครับ แต่ยางประเภทนี้มักไม่ชอบผู้นิยมความรุนแรง เบรกแรง เข้าโค้งแรง เหยียบคันเร่งแรง ตกหลุมแรง มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เค้นสมรรถนะแบบนั้น ส่วนถ้าพยายามจะหาว่ายางแบบไหนประหยัดน้ำมัน เอาเป็นว่าถ้าคุณดูรุ่นยางแล้วเจอคำว่า Green, Blue หรือ Eco นั่นแหละ ความเป็นไปได้สูงเลย

2-ยางแบบใช้ทั่วไป (General Use)
เป็นแบบที่พบมากที่สุดในรถเก๋งราคาล้านห้าลงมา ยางประเภทนี้คือยางที่ผู้ผลิตพยายามตอบการใช้งานทุกรูปแบบ แต่อาจจะไม่ได้คะแนนเต็ม 10 ในทุกหัวเรื่อง ดังนั้นถ้าคุณขับเร็วบ้าง แต่ไม่ถึงขนาดทิ้งโค้งจนยางร้องหาบุพการี ยางประเภทนี้ก็อาจจะพอแล้วสำหรับคุณ โดยส่วนมากราคามักไม่แรง แต่เนื่องจากเป็นยางที่มีผู้คนเลือกใช้เยอะ คุณจึงสามารถพบยาง General Use ที่ผลิตออกมาในหลายราคา และหลากคุณภาพ ตัวอย่างเช่น Bridgestone T005 กับ Dayton DT30 สองเจ้านี้คนละยี่ห้อ แต่เครือเดียวกัน เป็นยาง General Use เหมือนกัน แต่ T005 จะมีราคาสูงกว่าจากเนื้อยางที่วิจัยมาดี ได้เรื่องเงียบแบบไม่น่าเกลียดและเกาะถนนดีในโค้ง ส่วน DT30 ราคาจะต่ำลงมามาก ลดความซีเรียสเรื่องนุ่มเงียบเกาะลง แต่ใช้งานทั่วไปได้ดี

คุณสมบัติทั่วไป มักจะมีความนุ่ม ความเงียบ และความเกาะถนนอยู่กึ่งกลางระหว่างยาง Comfort กับ Sport ดังนั้นถ้าคุณไม่รู้จะเลือกอะไรดี และรู้ตัวว่าไม่ได้ขับรถเร็วระดับหาพระแสง ยางประเภทนี้ก็สามารถรับใช้คุณได้ แต่ต้องหมายเหตุไว้นิดว่า ยาง General Use หลายรุ่น จะมีตัวเลือกเป็นยาง Runflat ที่เวลาโดนตะปูตำแล้วยังวิ่ง 60 กม./ชม. ต่อไปได้อีก 80-100 กม. ถ้ามีคำว่า Runflat (RF) เมื่อไหร่ ยางมันมักจะแข็งกระด้างขึ้น เพราะโครงสร้างในตัวยางมันบังคับให้เป็นแบบนั้น ข้อดีก็คือเหมาะกับสุภาพสตรีที่ต้องทำงานกลับบ้านดึกดื่นคนเดียวประจำ ถ้ายางรั่วตอนห้าทุ่มบนถนนเปลี่ยวๆ ใครจะมาอยากจอดรอเพื่อนผู้ชายมาเปลี่ยนยางให้ล่ะครับ ใส่ Runflat ไปจบๆ ขับกลับบ้านเลย รุ่งเช้าค่อยว่ากัน มี Runflat บางที ดีกว่ามีผัวอีกนะจะบอกให้

3-ยางแบบเน้นความนุ่มนวล (Comfort)
ยางพวกนี้ก็ถูกสร้างมาโดยเอาต้นทุนไปลงกับการออกแบบดอกยางไม่ให้มีเสียงดังตอนวิ่ง และแก้มยางที่สามารถดูดซับแรงกระแทกไว้ในตัวได้ดี สิ่งที่ยางแบบนี้แตกต่างกับพวกยางประหยัดน้ำมัน มักจะเป็นเรื่องส่วนผสมยางครับ ยางแบบ Comfort บางรุ่น เนื้อยางมีความเหนียวหนึบน้องๆ ยางแบบสปอร์ต ทำให้เรื่องประหยัดน้ำมันอาจไม่ได้เด่น รวมถึงเวลาหักเลี้ยวโค้งแรงๆ ก็จะมีอาการย้วย ตอบสนองช้า หรือที่บางท่านชอบพูดว่า “พวงมาลัยไม่คม” นั่นเอง แต่เวลาเบรกแรงๆ กลับทำระยะเบรกได้สั้น เอาอยู่อย่างมั่นใจ มันก็เป็นเพราะเนื้อยางนี่ละครับ

ยางประเภทเงียบนี้ บางทีพวกรถตู้ MPV คันใหญ่ๆ ก็ชอบหยิบยืมของรถเก๋งไปใช้ เพราะได้ประโยชน์เรื่องความสบายในการโดยสาร หรือรถเก๋งบางรุ่นที่ช่วงล่างออกจากโรงงานมามีความแข็งกระด้างเกินไปนิด ยางแบบ Comfort ก็สามารถซับแรงและทำให้ขับมีความสุขขึ้นได้ อาจจะ 10-20%

4-ยางแบบเน้นสมรรถนะ (Sport)
ตัวเลือกของวัยรุ่นวัยแรงทั้งหลาย ซึ่งถ้าคุณเลือกยางสปอร์ตแท้ๆ คุณลักษณะหลักที่มักเน้นกันก็คือ ความสามารถในการยึดเกาะโค้งที่ความเร็วสูง การเบรก หรือกระแทกคันเร่งอย่างรุนแรง ถ้าคุณมีแผนจะขับเหมือนเพิ่งทะเลาะกับแฟนมาอยู่ตลอด ยางแบบสปอร์ตคือยางแบบที่มีโอกาสจะสามารถรักษาชีวิตคุณ (และคนอื่นที่อาจจะซวยมาอยู่ใกล้คุณ) เอาไว้ได้มากที่สุด ในยางแบบนี้ การที่เน้นความเร็วในการขับ ทำให้วิศวกรยางมักจะคิดหาวิธีทำให้มันทนการทรมานทรกรรมได้โดยดอกยางไม่หลุด แก้มคงรูปไว้ได้ดี แต่การทรมานแบบเป็นยกๆ เป็นคนละเรื่องกันกับการใช้งานแบบปกติที่เน้นความยาวนาน ถ้าคุณเอายางบ้านๆ มาขับโหดๆ บางทีเจอเข้าไป 12 รอบสนาม ดอกยางโบยบินมานอกรถแล้วครับ แต่ยางสปอร์ตจะทนได้จนจบเรื่องและขับกลับบ้านได้ อย่างไรก็ตาม พอนำมาใช้งานแบบปกติ ขับแบบคนทั่วไป บางทียางสปอร์ตก็มีชีวิตอยู่ได้แค่ 2-3 หมื่นกิโลเมตร ในขณะที่ยางบ้านๆ อาจอยู่ได้เกิน 50,000 ก็มี

ยางสปอร์ตส่วนมาก มักไม่เน้นความนุ่มนวลหรือความเงียบนะครับ แต่ในปัจจุบัน บางค่ายจะพยายามทำยางสปอร์ตที่ลดความแข็งของแก้มยางลงแต่เพิ่มความเหนียวในเนื้อยาง ทำให้นุ่ม เกาะ แต่อาจจะไม่คมแบบยางสปอร์ต 100% ส่วนยางสปอร์ตที่เป็น Runflat คุณแทบจะไม่ต้องถามหาความนุ่มนวลใดๆ เลยครับ เพราะมันไม่มี ยางสปอร์ตบางรุ่นอย่าง Yokohama V107 ทำไซส์มารองรับรถ SUV ยุโรปด้วย เพราะทุกวันนี้รถ SUV ขายดีมาก และเจ้าของบางคนก็เท้าโหดมาก

5-ยางแบบกึ่งมอเตอร์สปอร์ต (Semi-racing)
ยางพวกนี้ ผมไม่อยากจะเรียกว่าเป็นยางใช้งานทั่วไป เพราะเนื้อยางถูกพัฒนามาให้เกาะถนนแห้งได้ดีแบบสุดๆ ทนการทรมาน ทนความร้อนสูง ดังนั้นเมื่อนำมาวิ่งใช้งานบนถนนจึงสึกไว ไปเร็ว บางรุ่นแค่ 15,000 กม. ก็อยากไปเกิดใหม่แล้ว และที่สำคัญคือส่วนมากจะแข็งและเสียงดังโหวกเหวกโวยวายเสียด้วย บางคนจะชอบเรียกว่ายางซอฟต์ คือ Soft Compound เนื้อยางนุ่มเหนียวเกาะเป็นตุ๊กแก แต่แก้มยางแข็งมากเพราะต้องทนการทิ้งโค้ง 140-160 กม./ชม.แล้วยางกระแทกขอบทางระหว่างเข้าโค้งด้วย แต่มันยังไม่โหดเท่ายางรถแข่งของจริง ซึ่งราคาสูงกว่าและสึกเร็วขึ้นไปอีก

ความต่างระหว่างยางสปอร์ต กับยางกึ่งมอเตอร์สปอร์ตก็คือ ไอ้อย่างหลังเกาะถนนกว่า และวิ่งโหดๆ ในสนามแข่ง แก้มยางดอกยางทนการทรมานได้มากกว่า แต่ยางสปอร์ตมักจะมีรูปแบบของดอกยางที่เผื่อสำหรับการขับเร็วๆ บนถนนเปียกเอาไว้ ในขณะที่ยางกึ่งมอเตอร์สปอร์ตส่วนมาก เวลาเจอน้ำมักจะเหินแบบรุนแรง บางทีคุณเจอวัยรุ่นขับรถมาดโหดๆ แต่ดันขับ 70 เลนกลาง ไม่ใช่ว่ามันอยากประหยัดน้ำมันหรอก แต่เขาอาจจะใส่ยาง Semi-racing นี้อยู่ กำลังขับไปสนามแข่งแล้วฝนดันตก

ยางรถกระบะ/รถตู้/SUV
1-ยาง SUV แบบใช้งานทั่วไป
ยางพวกนี้มักเป็นแบบที่พัฒนามาเอาใจ SUV ที่มีพื้นฐานมาจากรถเก๋ง เช่นพวก CR-V หรือ X-Trail รวมถึงรถยุโรปอย่าง X3 และ GLC ซึ่งจะเน้นความนุ่มนวลและการเก็บเสียงที่ดี คุณสมบัติหลายด้านจะคล้ายกับยางรถเก๋งแบบใช้งานทั่วไป (General Use) เพียงแต่มักมีการปรับปรุงให้รับน้ำหนักบรรทุกได้มากขึ้น มีแก้มยางที่ทนต่อแรงกระแทกมากขึ้น

2-ยาง SUV แบบเน้นสมรรถนะ
เช่นเดียวกับยางสปอร์ตของรถเก๋ง ยาง SUV แบบเน้นสมรรถนะ ก็คือยางสปอร์ตที่นำมาปรับสูตรการทำยางให้เหมาะกับการใช้ในรถ SUV โดยเพิ่มความสามารถในการแบกน้ำหนัก SUV ตัวโตหนัก 2 ตันกว่าๆเข้าไป และมีแก้มยางที่ทนต่อแรงกระแทกมากขึ้น ดังนั้น การจะใช้ยางสปอร์ตเก๋ง หรือยางสปอร์ต SUV บางครั้ง ก็ต้องพิจารณาจากน้ำหนักตัวรถ และน้ำหนักของที่คุณบรรทุกเป็นประจำ บางครั้ง รถ SUV ที่เจ้าของขับรถทารุณมากๆ กลับไปได้ดีกว่า กับยางสปอร์ตที่ยืมของรถเก๋งมาใส่

3-ยางแบบเน้นการขนส่ง/พาณิชย์
ยางเหล่านี้ สร้างมาเพื่อรองรับการใช้งานของรถกระบะ และรถตู้โดยสารแบบที่ต้องแบกน้ำหนักมากๆ ต้นทุนของยางจะถูกนำไปวิจัยเรื่องโครงสร้างของแก้มยางที่เหนียวแข็ง ทนแรงกระแทก ทนแรงดันสูงเพราะรถพวกนี้คนไทยใช้บรรทุกแบบคุ้มยันชาติหน้า รถเขาทำมาให้บรรทุก 500 กิโลแต่เราใส่ไป 1.5 ตันก็ยังมี รถกระบะบางคันเอาไปแปลงเป็นรถยกสไลด์ แบก Porsche Cayenne หนัก 2.4 ตันไปต่างจังหวัดเพราะเจ้าของขี้เกียจขับไปเอง อยากขับแค่เมื่อถึงจุดหมายก็มี ดังนั้นยางแบบนี้ เรื่องนุ่ม ไม่ใช่เรื่องของเขา เรื่องเงียบ ก็ไม่ใช่เช่นกัน แต่เรื่องงานหนัก ใช่เลย

ผมถึงมักบอกคนใช้รถกระบะบางคนว่า บางทีถ้าพี่ไม่ได้บรรทุกหนัก พี่เปลี่ยนไปใส่พวกยางของรถเก๋งก็ได้ครับ มันจะได้ความนุ่มนวลมากกว่า ขับสบายกว่าด้วย เก็บยางงานหนักไว้ให้สำหรับคนที่เขาจำเป็นต้องใช้จริงๆ ตัวอย่างของยางประเภทนี้ก็เช่น Duravis ของ Bridge Stone

4-ยางแบบ H/T (Highway Terrain)
บางคนอาจงงว่า เอ้า ยาง H/T ก็เอาไว้วิ่งถนนดำ แล้วมันต่างอะไรกับยาง SUV แบบใช้งานทั่วไปล่ะ? จากประสบการณ์ของผม มันต่างครับ ยางภายในยี่ห้อเดียวกัน ค่ายเดียวกัน ถ้านำยางแบบ SUV ใช้ มาเทียบกับยางที่พะโลโก้ว่า H/T จะพบว่ายาง H/T นั้น ถูกพัฒนามาให้มีความแข็งของแก้มมากกว่า นุ่มนวลน้อยกว่า เสียงดังกว่านิดๆ แต่สิ่งที่แลกมาก็คือความทนทานต่อการใช้งานแบบที่ส่วนมากจะวิ่งถนนยางมะตอย แต่บ่อยครั้งต้องวิ่งทางลูกรัง โดยเฉพาะทางแบบที่มีหินก้อนโตๆโรยทางไว้ รวมถึงการลุยแบบออฟโรดนิดๆ ยาง H/T จะเบนโฟกัสมาเผื่องานพวกนี้เอาไว้มากกว่ายาง SUV แบบเน้นวิ่งถนนดำล้วนๆ

5-ยางแบบ A/T (All Terrain)
All-Terrain ก็คือ ข้าต้องวิ่งได้ทุกที่ แน่นอน ในโลกของยาง ไม่มียางแบบไหนหรอกที่จะทำคะแนน 100% ได้ในการใช้งานทุกรูปแบบ ยาง A/T นี่ก็คือยาง H/T ที่เอามาทำดอกให้ลึกและเป็นบั้งหนาขึ้น เพิ่มความสามารถในการตะกุยโคลนลื่นๆ หรือทางแบบออฟโรดเข้าไปมากขึ้น ทนแรงกระแทกมากขึ้นอีก แต่สิ่งที่แลกมาก็คือความนุ่มนวลที่หายไป เสียงยางที่ดังขึ้น และน้ำหนักของยางที่มีมวลหนาแน่นกว่ายางแบบอื่นๆ ทำให้มีแรงต้านการขับเคลื่อนเยอะ กินน้ำมันขึ้น รถคันเดียวกัน เปลี่ยนยาง H/T เป็น A/T บางครั้งก็เห็นได้เลยว่ารถเร่งแซงอืดลง แต่ถ้าการใช้งานของคุณจำเป็นต้องลุยออฟโรด หรือทางลูกรังที่โหดมากๆ บ่อยๆ คุณคงไม่ห่วงเรื่องความเร็วหรอกครับ ตัวอย่างของยางประเภทนี้ที่นิยมกันมาก ก็อย่างเช่น BF Goodrich T/A KO2

6-ยางแบบ M/T (Mud Terrain)
ก็คือยางที่รวมเอาความนุ่มนวล ความเงียบ ความเกาะโค้ง ความประหยัดน้ำมัน เข้าไว้ด้วยกันในขวด แล้วก็ปาทิ้งแม่.มไปเลย เพราะยาง M/T เกิดมาเพื่อที่ที่ไม่มีถนนจริงจัง ทางเลน โคลนลื่น ทางที่ขนาดช้างยังไม่อยากจะเดินเข้าไป คือที่ที่ยาง M/T แฮปปี้จะอยู่ ดอกยางหนา เป็นบั้งใหญ่และลึกเพื่อให้จิกเข้าไปในโคลนได้ลึก ทำให้รถสามารถตะกุยขึ้นเนินได้อย่างปลอดภัย มีความแข็งแรงของแก้มสูงที่สุด ทนต่อการกระแทกของหินคมๆ ได้ดี โดยสิ่งที่ต้องแลกกันก็คือการโยนความสบายทุกอย่างทิ้งไป เพื่อให้คุณสามารถมีชีวิตรอดได้ในป่าใหญ่ ตัวอย่างของยางประเภทนี้ ก็อย่างเช่น Maxxis MT764 และ BF Goodrich KM3

และนี่ก็คือยาง 11 แบบตามการแบ่งของผม ซึ่งอย่างที่เรียนให้ทราบไว้ว่าอาจจะไม่ตรงกับตำรายานยนต์ที่เขียนมาก่อนหน้านี้ แต่ถ้าคุณเปิดพวกเว็บไซต์ร้านยางแล้วจะเลือกยางสักแบบ ท้ายสุดคุณก็ต้องมาจัดกลุ่มแล้วเลือกไปตามรูปแบบการนำไปใช้งานอยู่ดี นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องเลือกแบ่งอย่างนี้

อย่าเพิ่งยึดติดกับแพตเทิร์นดอกยางมาก เช่น ยางนุ่มเงียบ ต้องทรงดอกยางเรียบเล็ก เพราะยางบางตัวดอกยางโคตรเรียบร้อยเหมือนจะไปประกวดมารยาท พอวิ่งจริงๆ กลับดัง หรือยางบางรุ่น ดอกบั้ง บากเป็นตัว V ดูแล้วเหมือนทำมาให้ใส่ซุปเปอร์คาร์ แต่แท้จริงแล้วกลับแค่เป็นยางใช้งานทั่วไป องค์ประกอบเนื้อยางเหมือนยางธรรมดา แต่ดันทำให้ดูโหด เพราะอยากขายวัยรุ่น แบบนี้ก็มี ดังนั้น ก่อนจะไปร้านยาง นอกจากคุณจะเลือกประเภทยางที่จะใช้ไว้ในใจแล้ว บางทีมันก็คุ้มถ้าจะเสียเวลาลองแวะไปในเว็บไซต์ยางยี่ห้อต่างๆ ซึ่งเขาจะบอกเอาไว้หมดครับ ว่ายางรุ่นไหนทำมาเพื่อการใช้งานแบบไหน

ขอให้มีความสุขกับยางชุดใหม่ของคุณครับ

Pan Paitoonpong

คุณกำลังดู: ประเภทของยางรถยนต์ ยังไง? อะไรบ้าง?

หมวดหมู่: เคล็ดลับยานยนต์

แชร์ข่าว