สมศักดิ์ศรีนัดชิง! เกมพลิกไปมาก่อน ‘ฟ้า-ขาว’ ดวลเป้าดับ ‘ตราไก่’ ซิวแชมป์สมั...
สมศักดิ์ศรีนัดชิง! เกมพลิกไปมาก่อน 'ฟ้า-ขาว' ดวลเป้าดับ 'ตราไก่' ซิวแชมป์สมัย 3 "ฟ้า-ขาว" อาร์เจนตินา ดวลจุดโทษก่อนจะเอาชนะ "ตราไก่" ฝรั่งเศส 4-2 หลังดราม่าเสมอในเวลา 120 นาที 3-3 ในการแข่งขันฟุตบอ...
สมศักดิ์ศรีนัดชิง! เกมพลิกไปมาก่อน ‘ฟ้า-ขาว’ ดวลเป้าดับ ‘ตราไก่’ ซิวแชมป์สมัย 3
“ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินา ดวลจุดโทษก่อนจะเอาชนะ “ตราไก่” ฝรั่งเศส 4-2 หลังดราม่าเสมอในเวลา 120 นาที 3-3 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก “ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2022” นัดชิงชนะเลิศ ที่ลูซาอิล สเตเดียม ประเทศกาตาร์ เมื่้อวันที่ 18 ธันวาคม
ทางฝั่งอาร์เจนตินา ผู้ท้าชิง ลิโอเนล สกาโลนี่ ปรับทัพมาใช้ระบบ 4-4-2 ผู้รักษาประตูเป็น เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ แนวรับประกอบด้วย นาเวล โมลิน่า, คริสเตียน โรเมโร่, นิโคลัส โอตาเมนดี้, นิโคลัส ตาเกลียฟิโก้ ขณะที่กองกลาง อังเคล ดิ มาเรีย กลับคืนตัวจริงอีกครั้ง เล่นร่วมกับ โรดริโก้ เดอ ปอล, เอ็นโซ่ เฟร์นันเดซ และ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ ส่วนคู่กองหน้าเป็น ลิโอเนล เมสซี่ กับ ฮูเลียน อัลวาเรซ
ด้านแชมป์เก่าอย่างฝรั่งเศส ผู้เล่นทุกคนผ่านความฟิตลงสนามได้แม้ว่าจะเจอมรสุมไข้หวัดในแคมป์ ใช้ 11 ตัวจริงที่ดีที่สุด ในระบบ 4-2-3-1 ประกอบด้วย อูโก้ โยริส กัปตันทีมเป็นผู้รักษาประตู แนวรับจากขวาไปซ้าย ฌูลส์ คุนเด้, ราฟาเอล วาราน, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, ธีโอ เอร์นานเดซ มิดฟิลด์ตัวรับ 2 คนใช้ ออเรเรียง ชูอาเมนี่ กับ เอเดรียง ราบิโอต์ แดนบน 3 คนมี อุสมาน เดมเบเล่, อองตวน กรีซมันน์ และ คีเลียง เอ็มบัปเป้ พร้อมกับ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เป็นกองหน้าตัวเป้า
เริ่มต้นเกมเป็นฝั่งอาร์เจนตินาที่ครองบอลได้เยอะกว่า และได้โอกาสยิงครั้งแรกจากการยิงไกลของอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ แต่ว่าตรงตัวของอูโก้ โยริส ก่อนที่ในนาทีที่ 17 จะเป็นโอกาสยิงของอังเคล ดิ มาเรีย แต่ยิงไม่ดีข้ามคานออกไปไกล
จนนาทีที่ 22 อาร์เจนตินามาได้จุดโทษจากจังหวะที่ดิ มาเรียกระชากเข้าเขตโทษก่อนโดนอุสมาน เดมเบเล่ เตะฟาล์ว และเป็นลิโอเนล เมสซี่ รับหน้าที่สังหารไม่พลาด เข้าประตูให้อาร์เจนตินาขึ้นนำ 1-0 พร้อมกับขึ้นนำดาวซัลโวแบบเดี่ยวๆ ที่ 6 ประตู
จากนั้นเกมของฝรั่งเศสยังคงไม่ดีขึ้น ในจังหวะบุกโดนตัดบอลได้ก่อนที่อาร์เจนตินาจะต่อบอลกัน เริ่มจากเมสซี่ ให้ฮูเลียน อัลวาเรซ แทงทะลุไปถึงแม็คอัลลิสเตอร์ หลุดเข้าไปก่อนเลือกเปิดตัดข้างให้ดิ มาเรีย ที่เติมขึ้นมาแปสวนตัวโยริส เข้าประตูไป ให้อาร์เจนตินาหนีห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 36
พอโดนนำ 0-2 ทำให้ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ เปลี่ยนตัวเร็วทันที ส่งมาร์คุส ตูราม กับ ร็องดาล โคโล มูอานี่ ลงมาเล่นแทนโอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กับ อุสมาน เดมเบเล่ทันที เพียงแค่นาทีที่ 41 เท่านั้น
ครึ่งหลังเปิดมาไม่ถึง 4 นาที อาร์เจนตินาได้โอกาสอีกครั้ง จากจังหวะที่ดิ มาเรีย เปิดข้ามฝากไปให้โรดริโก้ เดอ ปอล ฮาล์ฟวอลเลย์จังหวะเดียว แต่บอลตรงตัวของโยริสเซฟเอาไว้ได้
เกมของฝรั่งเศสยังไม่ดีขึ้น ทำให้ต้องปรับเกมอีกครั้งด้วยการส่งเอดูอาร์โด คามาแว็งก้า กับ คิงส์ลีย์ โคมัน ลงมาเล่นแทนธีโอ เอร์นานเดซ กับ อองตวน กรีซมันน์ เพื่อเติมเกมรุกมากขึ้น
ในนาทีที่ 79 ฝรั่งเศสมาได้จุดโทษบ้างจากจังหวะที่โคโล มูอานี่ กระชากเข้าเขตโทษแล้วเป็นนิโคลัส โอตาเมนดี้ เตะจากด้านหลังไป และเอ็มบัปเป้รับหน้าที่สังหารไม่พลาดให้ฝรั่งเศสไล่มาเป็น 1-2 และเป็นประตูที่ 6 ของเอ็มบัปเป้ ไล่เมสซี่มาเท่ากัน
แล้วฝรั่งเศสก็มาตีเสมอได้สำเร็จในเวลาแค่ไม่ถึง 2 นาที จากจังหวะที่เมสซี่เสียบอลให้โคมัน ก่อนวางบอลยาวไปให้ตูราม โขกชกให้กับเอ็มบัปเป้เอี้ยวตัวยิงเข้าประตูไป ไล่มาเป็น 2-2 ได้สำเร็จ พร้อมแซงนำดาวซัลโวที่ 7 ประตู
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อาร์เจนตินาเกือบจะได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะลองยิงนอกกรอบของเมสซี่ แต่ว่าบอลยังไปตรงตัวของโยริส ปัดออกไปได้ ทำให้จบ 90 นาทียังเสมอกันอยู่ 2-2 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไป
ต่อเวลาพิเศษครึ่งแรกอาร์เจนตินาบุกจนเกือบได้ประตูที่ 3 จากจังหวะที่แม็คอัลลิสเตอร์ทำชิ่งกับเมสซี่ ก่อนจ่ายให้กับเลาตาโร่ มาร์ติเนซ ตัวสำรองยิงแต่ยังติดบล็อกของอูปาเมกาโน่ที่เข้ามาทัน บอลมาเข้าทางกอนซาโล่ มอนเตียล กระโดดยิงแต่ว่ายังโดนวารานสกัดออกไปได้
แล้วอาร์เจนตินาก็มาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งในนาทีที่ 108 จากจังหวะที่มาร์ติเนซ หลุดจังหวะล้ำหน้า ยิงไปติดเซฟโยริส แต่บอลยังมาเข้าทางเมสซี่ ยิงเข้าประตูไป ให้อาร์เจนตินาขึ้นนำ 3-2 และทำประตูเท่ากับเอ็มบัปเป้ ที่ 7 ประตูเท่ากัน
แต่เกมยังไม่จบ ฝรั่งเศสมาได้จุดโทษในนาทีที่ 116 จากจังหวะที่เอ็มบัปเป้ยิงไปติดแขนของกอนซาโล่ มอนเตียล ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษทันที แล้วเอ็มบัปเป้สังหารไม่พลาดให้ทีมตีเสมอสำเร็จเป็น 3-3 แซงนำดาวซัลโวอีกครั้งที่ 8 ประตู และเป็นแฮตทริกในนัดชิงชนะเลิศคนแรกในรอบ 56 ปี จากคนสุดท้ายที่ทำได้คือเซอร์ เจฟ เฮิร์สต์ เมื่อปี 1966
ช่วงเวลาที่เหลือต่างฝ่ายต่างแลกกันแต่ว่าไม่มีการทำประตูเพิ่ม ทำให้จบ 120 นาที ยังเสมอกันอยู่ 3-3 ต้องตัดสินที่การดวลจุดโทษ
ในการดวลจุดโทษเป็นอาร์เจนตินาที่ทำได้ดีกว่า ยิงเข้าทั้ง 4 คน ในขณะที่ คิงส์ลีย์ โคมัน ยิงไปติดเซฟของเอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ และออเรเรียง ชูอาเมนี่ ยิงหลุดกรอบไปเอง ทำให้อาร์เจนตินาเอาชนะไป 4-2 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ได้สำเร็จ หลังจากเคยทำได้เมื่อปี 1987 และ 1986 ขณะที่เอ็มบัปเป้ ได้รางวัลปลอบใจเป็นดาวซัลโวด้วยจำนวน 8 ประตู
คุณกำลังดู: สมศักดิ์ศรีนัดชิง! เกมพลิกไปมาก่อน ‘ฟ้า-ขาว’ ดวลเป้าดับ ‘ตราไก่’ ซิวแชมป์สมั...
หมวดหมู่: ฟุตบอลต่างประเทศ