วิหกดำ Lockheed SR-71 Blackbird เครื่องบินจารกรรมเร็วสุดในสามโลก กับเรื่องแปลกประหลาดทางการบิน!

ส่องระบบนำร่องสุดโบราณของ Lockheed SR-71 Blackbird เครื่องบินจารกรรมเร็วที่สุดในสามโลก

วิหกดำ Lockheed SR-71 Blackbird เครื่องบินจารกรรมเร็วสุดในสามโลก กับเรื่องแปลกประหลาดทางการบิน!

SR-71 Blackbird สิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรมอากาศยานควบคุมโดยมนุษย์ ที่มีความเร็วมากที่สุดในโลก (3,675 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) มีเพดานบินสูงที่สุดในบรรดาเครื่องบินทั้งหมดที่มนุษย์ใช้บินขึ้นไปบนท้องฟ้า (85,131 ถึง 100,000 ฟุต) รวมถึงการเป็นอากาศยานที่สามารถทำความเร็วต่อเนื่องคงที่ได้ดีที่สุดแบบหนึ่งของโลก ความเป็นที่สุดที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์เทอร์โบเจตสมรรถนะสูง เครื่องยนต์ทรงพลังและรูปแบบด้านอากาศพลศาสตร์ที่ดีเยี่ยม วัสดุที่ใช้ประกอบโครงสร้างและพื้นผิวอยู่ในระดับเกือบสูงสุดในยุคนี้ทั้งๆ ที่มันถูกสร้างขึ้นในยุค 60' และปลดประจำการไปกว่า 25 ปีแล้ว นี่คือเครื่องบินจารกรรม Lockheed SR-71 Blackbird ปีศาจดำ หรือวิหกดำ เจ้าแห่งสถิติความเร็วบนท้องฟ้าตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 จนถึงปัจจุบัน

ไม่มีอากาศยานรบแบบใดของรัสเซียในช่วงกลางยุคสงครามเย็น ที่จะมีประสิทธิภาพมากพอ ในการล็อกเป้า เพื่อต่อตีเครื่องบินฝ่ายตรงข้าม ที่บินล่วงล้ำเข้ามายังน่านฟ้า ด้วยความเร็วกว่า 3,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระดับความสูงกว่า 80,000 ฟุต กับพิสัยบินปฏิบัติการณ์ กว่า 4,000 ไมล์ นี่คือวัตถุประสงค์ในการสร้างเครื่องบินตรวจการณ์จารกรรมให้สามารถทำความเร็วได้ถึงกว่ามัค 3.5

Lockheed SR-71 Blackbird ใช้เครื่องยนต์แฝดของ Pratt And Whitney รุ่น J-58 ติดตั้งอุปกรณ์ช่วยในการเผาไหม้ให้สมบูรณ์มากขึ้น เครื่องยนต์ Pratt And Whitney J-58 หนึ่งเครื่อง ให้แรงขับ 32,500 ปอนด์ เมื่อรวมแรงขับของทั้งสองเครื่องจะได้ตัวเลขที่ 65,000 ปอนด์ มีอัตราการไต่ระดับความสูงที่ 1,140 ฟุตต่อนาที พิสัยบินปฏิบัติการ (บินไกล) 4,000 ไมล์ หรือมากกว่านั้นหากเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ ความเร็วสูงสุด 3,675 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพดานบินสูงสุด 85,131 ถึง 100,000 ฟุต น้ำหนักรวมทั้งเครื่อง 78 ตันหรือ 78,000 กิโลกรัม ใช้เจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 2 นาย (นักบิน 1 นาย เจ้าหน้าที่ควบคุมระบบเรดาร์ตรวจการณ์และถ่ายภาพ 1 นาย) ความยาวปีก 16.94 เมตร ความยาวรวม 32.74 เมตร สูง 5.64 เมตร Lockheed SR-71 Blackbird ถูกสร้างขึ้นทั้งหมดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 ถึง 1998 รวม 32 ลำ

สำหรับการตรวจสอบสภาพก่อนขึ้นทำการบินในเครื่องบินชนิดอื่นๆ เช่น เครื่องบินโดยสาร Boeing 747 นักบินจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีในการตรวจตราทุกระบบให้เรียบร้อยก่อนขึ้นบิน แต่เครื่อง Lockheed SR-71 Blackbird จะต้องใช้เวลาตรวจตราระบบต่างๆ นานถึง 1 วันเต็มๆ จากระบบที่สลับซับซ้อนของทั้งชุดไฮดรอลิกที่ควบคุมท่าทางการบิน ระบบนำร่อง ANS ระบบเรดาร์เดินอากาศแบบอนาล็อก ระบบเติมเชื้อเพลิง จุดต่อเชื่อมและโครงสร้างทั่วทั้งลำ แพนหางดิ่งและแพนหางระดับ ฐานล้อ ฯลฯ เหตุการณ์เครื่องบินจารกรรม U2 ของอเมริกันที่ถูกขีปนาวุธพื้นสู่อากาศของรัสเซียสอยร่วงในระหว่างทำการบินเพื่อถ่ายภาพพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ของโซเวียต คือบทเรียนอันแสนเจ็บปวดและน่าอับอาย หลังจากนักบินของเครื่อง U2 ทำการดีดตัวจากซากเครื่องที่พังเสียหายแล้วถูกจับกุมทันทีที่ร่มแตะถึงพื้น

SR-71 Blackbird กับอุปกรณ์นำร่องในยุค 70' ที่เรียกกันว่า Astroinertial Navigation System หรือ ANS อุปกรณ์ดังกล่าวเหมือนกับหุ่นยนต์ R2-D2 หลังจากที่ภาพยนตร์ Star Wars ออกฉายในปี 1977 เนื่องจาก ANS คอยแจ้งเตือนและระบุตำแหน่งของเครื่องว่าอยู่ที่ไหนขณะทำการบิน จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีเครื่องบินลาดตระเวนลำใด ในประวัติศาสตร์การบินของมนุษย์ชาติ ที่ปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าศัตรู หมายถึงประเทศที่เป็นปรปักษ์กับสหรัฐอเมริกา โดยไม่ถูกยิงด้วยขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะไกล SR-71 Blackbird เป็นเครื่องบินจารกรรมทางยุทธศาสตร์ที่เร็วที่สุด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ต air-breathing engine ประสิทธิภาพและความสำเร็จในการปฏิบัติการของ Blackbird ทำให้มันบรรลุถึงจุดสูงสุดของการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน ในช่วงสงครามเย็น

ประสบการณ์ที่ได้รับจากโครงการ A-12 ทำให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ เชื่อว่า การบินด้วยเครื่องบินที่มีความเร็วเหนือเสียงกว่าสามเท่าอย่าง SR-71 นั้น จำเป็นต้องมีลูกเรือสองคน นักบิน 1 คน และเจ้าหน้าที่ระบบลาดตระเวน (RSO) ซึ่งรับหน้าที่ควบคุมระบบตรวจสอบและป้องกันที่หลากหลายที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน อุปกรณ์นี้ประกอบด้วยระบบ Electronic Counter Measures (ECM) ที่มีความซับซ้อน ซึ่งอาจทำให้เรดาร์ของฝ่ายศัตรูตรวจจับได้ และอาจทำให้การกำหนดเป้าหมายการทำงานไม่ประสบผลสำเร็จ ระบบนำทางในอากาศ (ANS) แทนที่จะใช้ดาวเทียม แต่เครื่อง SR-71 กับอุปกรณ์ระบุตำแหน่ง ANS ใช้การตรวจจับตำแหน่งของดาวต่างๆ คล้ายการเดินเรือในมหาสมุทรยุคโบราณ! เนื่องจากในยุคนั้น ยังไม่มีดาวเทียมกำหนดพิกัดที่ถูกส่งให้ขึ้นไปลอยอยู่เต็มฟ้าแบบทุกวันนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ไม่มีเทคโนโลยีใด ที่จะสามารถรบกวน หรือยิงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ หรือดวงดาวได้เลย พวกอเมริกันจึงใช้การดูดวงดาวมากำหนดตำแหน่งของเครื่องบิน นั่นมันเป็นเรื่องที่บ้าเอามากๆ

การบินด้วยเครื่องบินจารกรรมวิหกดำหรือ Blackbird เป็นความพยายามที่อาจก่อให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิต! ในช่วงของการฝึกบิน เคยมีเครื่องบิน SR-71 เครื่องยนต์ดับจนนักบินต้องทำการดีดตัวที่ระยะสูงถึง 60,000 ฟุตมาแล้ว นักบินที่บินเครื่องวิหกดำ ต้องใช้สมาธิอย่างเต็มที่ ทำให้รู้สึกเวียนหัวกับความรับผิดชอบที่ซับซ้อนและกระตุ้นอะดรีนาลีนขณะที่บินเข้าไปในเขตแดนของศัตรู “ที่ความสูง 85,000 ฟุตด้วยอัตราความเร็วถึง 3 มัค มันเกือบจะเป็นประสบการณ์ทางศาสนา” นาวาอากาศเอก จิม วัตคินส์ นักบิน SR-71 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ กล่าว

เมื่อ SR-71 เร่งความเร็วและไต่ระดับจนถึงเพดานบินในระดับความสูงที่ปลอดภัย (60,000-85,000 ฟุต) ก็ถึงเวลาที่นักบินและเจ้าหน้าที่ ต้องมุ่งเน้นไปที่ภารกิจ นั่นก็คือ การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่เป็นศัตรูและอาจเป็นศัตรู โดยใช้กล้องและเซ็นเซอร์ หน้าที่ของนักบิน คือ จัดการเครื่องบินและดูแลระบบอัตโนมัติ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกระบบทำงานได้อย่างถูกต้อง ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ RSO จะจัดการกับกล้องถ่ายภาพระยะไกล เซ็นเซอร์ และระบบนำร่อง ANS ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ ANS เป็น GPS รุ่นปี ค.ศ.1960 แทนที่จะใช้ดาวเทียมเพื่อค้นหาตัวเอง ANS กลับใช้ดวงดาวแทน เนื่องจากก่อนที่จะมีการประดิษฐ์เครือข่ายกำหนดพิกัดและตำแหน่งด้วยดาวเทียมในระบบ satnav ที่ทันสมัยนั้น ไม่มีวิธีการใดที่ใช้ในการนำร่องเครื่อง SR-71 ในพื้นที่ปฏิบัติงานที่เสี่ยงอันตราย SR-71 จำเป็นต้องกำหนดตำแหน่งของตัวเองได้ในระยะ 1,885 ฟุต (575 ม.) และภายในระยะ 300 ฟุต (91 ม.) จากจุดศูนย์กลางของเส้นทางการบิน ขณะเดินทางด้วยความเร็วสูง เป็นเวลาสูงสุดถึง 10 ชั่วโมงในอากาศ

ระบบกำหนดพิกัด ANS ระบุเป้าหมายที่เจาะจง ซึ่งอยู่ในดินแดนที่เป็นปรปักษ์ มันคือเข็มทิศไจโรที่สามารถสัมผัสได้ถึงการหมุนของโลก ในขณะที่วิหกดำยังอยู่บนหัวรันเวย์ ก่อนที่จะบินขึ้น เจ้าหน้าที่ RSO สามารถใช้พิกัดของจุดที่หนึ่ง …บนรันเวย์ …จากนั้นอ่านค่า ANS แต่ไม่ใช่ว่าจะใช้ดาวดวงเดียวกันในทุกภารกิจเสมอไป เนื่องจากระบบนำร่องโบราณนี้ ใช้ดวงดาวที่ขึ้นอยู่กับส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกที่เครื่องกำลังจะบินไป ถ้าบินในซีกโลกใต้ ก็จะใช้เฉพาะดาวที่เห็น แล้วถ้ามองไม่เห็นล่ะ?

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 ลูกเรือของวิหกดำ นาวาอากาศเอก จิม วัตคินส์ นักบิน และเดฟ เดมพ์สเตอร์ นักบินผู้ช่วย ออกปฏิบัติภารกิจบินฝึกไปยังน่านฟ้าต่างประเทศเป็นครั้งแรก ในเครื่องบิน SR-71A หมายเลข 17972 เมื่อระบบกำหนดตำแหน่ง ANS ทำงานล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในภารกิจการฝึก ทำให้วิหกดำบินหลงทิศทางเข้าไปในน่านฟ้าของประเทศเม็กซิโกไกลลิบ!

ANS ทำงานโดยติดตามดาวอย่างน้อยสองดวงในแต่ละครั้ง ตามรายการในแคตตาล็อกออนบอร์ด และด้วยความช่วยเหลือของโครโนมิเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่คำนวณค่าคงที่ของ SR-71 บนพื้น มีการตั้งโปรแกรมก่อนขึ้นบินในแต่ละครั้ง และการจัดตำแหน่งหลักของเครื่องบิน รวมถึงแผนการบินที่ถูกบันทึกลงในเทปเจาะรู ซึ่งทำหน้าที่บอกให้เครื่องบินไปที่ใด เลี้ยวเมื่อไหร่ เปิดและปิดเซ็นเซอร์เมื่อใด นักบินสามารถมองเห็นดวงดาวผ่านหน้าต่างควอทซ์แบบพิเศษ (RSO ติดตั้งอยู่ด้านหลังห้องนักบิน) และมีเครื่องติดตามดวงดาวแบบพิเศษ ที่สามารถมองเห็นดาวได้แม้ในเวลากลางวัน ต่อมาหลังจากภาพยนตร์ Star Wars ออกฉายในปี 1977 อุปกรณ์นำร่องด้วยการตรวจจับดวงดาวหรือ ANS ก็ถูกเรียกว่า เจ้าหุ่น R2-D2.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/

คุณกำลังดู: วิหกดำ Lockheed SR-71 Blackbird เครื่องบินจารกรรมเร็วสุดในสามโลก กับเรื่องแปลกประหลาดทางการบิน!

หมวดหมู่: รถยนต์

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด