เอ็ม นันทวัฒน์ ยืนยันจะฟ้อง ม้า อรนภา ให้เป็นคดีตัวอย่าง ไม่ใช่ใครก็โดนตบได้
เอ็ม นันทวัฒน์ ยืนยันเดินหน้าฟ้อง ม้า อรนภา อยากให้เป็นคดีตัวอย่าง ไม่ใช่ใครก็โดนตบได้ เสียใจโดนชาวเน็ตบูลลี่เรื่องหน้าตา จนรู้สึกไม่มีที่ยืนในสังคม
หลังจากที่ ม้า อรนภา ได้ตั้งโต๊ะชี้แจงถึงประเด็นปมตบหน้านักแสดงหนุ่มน้องใหม่ เอ็ม นันทวัฒน์ ที่เกาหลี โดยเจ้าตัวชี้แจงว่าเป็นแค่การแตะเท่านั้น ไม่ได้ตบแต่อย่างใด ซึ่งล่าสุด เอ็มนันทวัฒน์ ก็ได้ออกมาเคลียร์ประเด็นดังกล่าว โดยเจ้าตัวบอกว่า เดินหน้าที่จะฟ้อง ม้า อรนภา เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่าง เพราะมองว่า ไม่มีใครสมควรที่จะได้รับการทำร้ายร่างกายแบบนี้ แม้ว่าจะมีการพูดขอโทษกันแล้วก็ตามที อยากให้เป็นคดีตัวอย่าง
“ก็อย่างที่เห็นว่าถูกตบหรือถูกแตะ ผมเป็นคนเดียวที่รู้ว่าคืออะไร มันไม่ใช่มุมกล้อง หน้าหันเลยครับ”
เหตุการณ์ก่อนหน้าเกิดอะไรขึ้น?
“วันนั้นผมจะไปโซลทาวเวอร์ อย่างที่แม่ม้าบอกเลยครับ แต่ผมอิ่มไง
ผมไม่ได้คิดเรื่องนี้ แล้วผมก็บอกว่า ผมไม่กินปูแล้วครับ
นั่นแหละมันก็เลยเป็นเหตุการณ์นั้น”
ความรู้สึกเราว่าตบหรือแตะ?
“อย่างที่บอกเลยว่า คนทำอาจจะรู้สึกว่าแตะ แต่คนโดนซึ่งก็คือผม
ผมรู้สึกว่าตบ”
เจ็บมั้ย?
“เจ็บครับ”
แล้วเราโมโหพี่เค้าด้วยใช่มั้ย?
“ผมโมโหครับ ถึงได้บอกว่าพี่ทำอย่างนั้นไม่ได้”
พอหลังจากที่โดนแตะหรือโดนตบ ได้คุยกันมั้ย
ปฏิกิริยาต่อจากนั้นยังไง?
“ก็ที่เมียงดงใช่มั้ย ผมก็หยุดเค้า ผมรู้ว่าตอนนั้นเค้าขึ้นอยู่
ผมก็หยุดเค้าด้วยคำพูดที่ว่า พี่ครับ ทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ
เพราะว่าพ่อกับแม่ผมยังไม่เคยทำเลย ถ้าผมฟ้องแม่ เรื่องมันใหญ่นะ”
เราโกรธ แต่เราก็ไปกินปูกันต่อ?
“อันนั้นเป็นเรื่องที่เราเคลียร์กันประมาณ 1 ชม.เลยครับ
ว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ เค้าก็อธิบาย 1-2-3-4
ซึ่งผมก็รู้เลยว่าพอเค้าอธิบายมา เค้าผิด แต่เค้าขอโทษผมก่อน
ในเรื่องของกรณีการตบ พอเค้าขอโทษผมเสร็จ ผมก็ขอโทษเค้า
เพราะว่าผมก็ผิดเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน
เราเพิ่งเรียนรู้กัน เพิ่งไปเที่ยวด้วยกัน ผมก็เลยโพล่งออกไปบอกว่า
ต่อไปนี้เรามีอะไร เราพูดกันตรงๆ อยากกินอะไร อยากไปไหน
อยากเดินที่ไหน”
ทำไมเราถึงย้ายโรงแรม ปิดเครื่องหนี?
“เรื่องย้ายโรงแรมนะครับ สารภาพตรงนี้เลยนะครับ ผมไม่ได้ย้ายโรงแรม
ผมขอฟรอนต์ย้ายไปอยู่ชั้น 13 ส่วนแม่ม้าอยู่ห้องเดิมก็คือชั้น 4
แล้วผมตอนกลางคืนตี 2 ผมไปเอาของ ซื้อขนมแล้วผมก็เก็บไปไว้ชั้น 13
แล้วก็ไม่ออกจากห้องเลย ถ้าออกมาก็จะออกตอนดึกๆ หรือตอนเช้าๆ
แล้วก็จะเข้าห้อง”
หลังจากเคลียร์กันวันนั้น
ต่างคนต่างอยู่เลยเหรอ?
“ไม่ใช่ครับ วันนั้นตอนเช้าผมก็ต้องไปทำจมูกแล้ว
ระหว่างนั้นผมก็ถามคำตอบคำอ่ะพี่ ผมว่าเค้าน่าจะรู้ว่ามันมีอะไรตุ่ยๆ
แล้ว ถามว่าที่คุยกันว่าจะจบตรงนี้ แล้วทำไมถึงไปบอกคนอื่น
ผมไม่ได้บอกเลยนะ ผมคุยกับแม่ผมตามปกติทุกวัน แม่ผมก็จะตะล่อมถามว่า
วันนี้ยังไงๆ ผมก็พูดไปเรื่อย เราคุยกับแม่วันละชั่วโมงเลยครับ”
ย้อนกลับไปตอนที่เราเคลียร์กันแล้ว
แต่ในใจเราต้องรู้สึกอยู่ใช่มั้ย?
“แน่นอนครับพี่ เราโดนตบหน้า กลับมาจากร้านปู เราอาบน้ำแล้ว
วันนั้นผมก็นั่งคิดว่าผมทำอะไรไม่ดีขนาดที่โดนตบหน้าเลยเหรอ
กับคำที่ว่าไม่กินปู จากการทื่เราเงียบๆ ไปแล้ว พอเล่าให้แม่ฟัง
เราก็เริ่มคิวด่าแล้ว 7-8 วันที่เหลือจะเป็นยังไง
ผมก็เลยเอาตัวเองออกมาห่างๆ ดีกว่า เค้าก็ไปส่งผมทำจมูก
แล้วก็แค่นั้นเลยครับ เมื่อก่อนผมต้องไปรับเค้าที่หน้าห้อง
ตอนหลังผมไม่ไปแล้วครับ โทรมาเมื่อก่อนก็จะรับตลอด
ตอนหลังก็รับบ้างไม่รับบ้าง”
ที่บอกว่าต่างฝ่ายต่างเคลียร์ แล้วคุยกันตรงๆ
แต่ทำไมวันนั้นเราถึงไม่เลือกคุย ว่าเราคาใจ
เรารู้สึกแย่?
“เพราะว่าผมไม่ได้เปิดโอกาสให้แม่ม้าเข้ามาใกล้ๆ เลย
ผมต่างคนต่างอยู่เลยครับ เพราะว่าวันนั้นผมก็ทำจมูกแล้ว
ในเมื่อทำแล้วก็ไม่มีวันไหนที่ต้องไปเจอกันเลย
มีอีกวันที่ไปเจอกันตอนล้างแผล แม่เค้าบอกว่า เอ็มถ่ายคลิปให้แม่หน่อย
ผมก็บอกว่าได้ครับ ซึ่งเป็นคลิปที่เห็นกันล่าสุดครับ”
ตอนที่เคลียร์กันแล้ว แล้วพอมานั่งทบทวนตัวเอง
มีความคิดที่จะฟ้องมั้ย?
“ผมอยากได้คลิปเพื่อเป็นหลักฐานมากกว่า ว่าผมโดนตบจริง
ยังไม่ได้คิดว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
แต่มีความคิดที่จะไปแจ้งความเพื่อเอากล้อง CCTV
แล้วผมถึงได้คลิปมา”
แล้วถึงมีภาพที่เราไปเก็บข้อมูลที่เกาหลี?
“ใช่ครับ อันนั้นผมไปเก็บข้อมูลเอง ไม่ได้ส่งให้ทนาย ภาพที่ทนายได้ไป
เป็นภาพที่ผมส่งไปให้ครับ คือคนเราจะปรักปรำอะไร
ทุกอย่างมันต้องมีหลักฐานอยู่แล้ว แล้วผมก็ไปดู โชคดีมากเลย CCTV
มันอยู่บนหัว ไปขอคลิปที่ร้านที่เมียงดง เค้าไม่เปิดให้
เค้าบอกต้องไปแจ้งความก่อน ผมก็ไปแจ้งความ แล้วตำรวจมา”
เอ็มติดต่อพี่ทนายยังไง?
“ติดต่อพี่ทนายนี่พอเราตัดสินใจว่าจะฟ้อง เราก็ติดต่อไปหลายคน
แต่เรายังไม่รู้อะไร เราก็ตั้งคำถาม แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เอ่ยชื่อ ม้า
อรนภา ซึ่งผมส่งไปถามว่า ถ้าเราโดนทำร้ายที่เกาหลี แล้วถูกตบ
จะทำยังไงได้บ้าง แต่ไม่มีใครตอบเลยครับ
มีทนายคนหนึ่งเค้าตอบมาเป็นพารากราฟเลยครับ
ผมก็เลยบอกผู้จัดการเลยว่าผมจะได้ทนายแล้วครับ”
แต่เราเคลียร์กับเค้าแล้วว่าเราจะไม่เอาเรื่อง
แต่ตอนหลังเราส่งไปถามทนาย ตอนนั้นเราบอกเค้ามั้ยว่า
เราจะเอาเรื่องเค้าแล้วนะ?
“ไม่ได้บอกเลยครับ พอรู้ตัวว่าได้ทนาย ผมเก็บของเลยครับ
วันหนึ่งหนีไปนอนอีกโรงแรมหนึ่ง
แล้วค่อยกลับมานอนโรงแรมตัวเองแล้วหนีไปชั้น 13”
หลังจากนี้จะฟ้องมั้ย?
“คืออันนี้มันกดดันผมมากเลย ว่าผมจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
ถามโมเมนต์ตอนนี้เลย ตอนที่ผมอยู่เกาหลี ผมจะฟ้องครับ
มันแน่นอนเลยครับ การถูกตบมันผิดกฎหมาย
ไม่ว่าจะเป็นที่เกาหลีหรือที่ไทย”
วันนี้รู้สึกยังไง?
“ผมรู้สึกโล่งเลยครับ ปลดล็อกที่สุดเลยครับ ตั้งแต่ผมอยู่ที่เกาหลี
ไม่เคยรู้เลยครับ แต่เผลอไปอ่านคอมเมนต์บ้างอะไรบ้าง
บางทีไปคุยกับเพื่อนที่คิดว่าสนิท เพื่อนก็แคปออกไปว่า ผมบอกว่า
แม่ม้า เป็นคนดีนะ แต่เพื่อนแคปออกไปอย่างนั้น ทัวร์ก็มาลงผม
หาว่าเราจะเอายังไง อยากจะดังรึเปล่า
พี่ครับ ผมอยู่ตรงนี้มา ไม่เคยรู้จักใครเลย แต่พอมาข่าวนี้ คนรู้จักผมจนผมแบบควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนสนใจเราขนาดนี้ ทำไมทุกคนอยากฟังเราขนาดนี้ ผมไม่ได้คิดว่ามันอย่างนั้นเลย แต่จริงๆ อยากดังมั้ย ก็ดูพี่ ผมไปทำจมูกมา ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครรู้เลยนะครับ แต่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมบอกผู้จัดการว่า ผมขอทำจมูกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ถ้าไฟดวงนี้มันไม่เปิด เดี๋ยวผมขอไปทำอย่างอื่นดีกว่า สุดท้ายทุกคนรู้หมดเลยว่าผมไปทำศัลยกรรมที่เกาหลี”
คนมองว่าเราต้องการแสง?
“พี่ครับ สาบานเลยนะว่าตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้
เพราะว่าตอนที่ผมคิดว่าตั้งใจจะฟ้อง ในวงการบันเทิงผมจบแล้วนะ
เพราะการฟ้องผู้ใหญ่ เราจะมีโอกาสได้มานั่งแถลงอย่างนี้เหรอครับ
ไปงานอีเวนต์ยังไม่มีคนสนใจผมเลย ยังไม่มีใครรู้เลยว่าผมเป็นคน
ยังมาถามในคอมเมนต์เลยว่า คนนี้ชื่ออะไร ดาราเหรอ
จนวันหนึ่งแสงมาหาผมเอง ผมก็ไม่ได้คิดเลยว่าวันหนึ่งผมจะได้มานั่งตรงนี้ ในเมื่อมันได้มาแล้ว ผมก็ต้องพูดในสิ่งที่ผมเจอ แล้วก็ให้ผู้ใหญ่รับฟัง ว่าผมไม่ใช่เด็กที่ก้าวร้าวเลยครับ พี่ม้ารู้ดี เพราะเราอยู่กันขนาดนั้น ตอนที่เราโกรธกัน เราฟ้องร้องกัน ผมยังยกมือไหว้แม่อยู่เลยครับ”
ไม่อยากเจอเค้า?
“เจอตอนวันตัดไหมครับ วันที่ 29 พ.ย. ผมก็เข้าไปที่ รพ.
แล้วแอบย่องไปชั้น 1 ไม่เจอแม่ มาเจอแม่ที่ชั้น 3 เค้าก็เดินเข้ามา
ผมก็ตกใจว่า เอ้า มาด้วยเหรอครับ แล้วผมก็ยกมือไหว้
เค้าก็บอกว่าเค้าต้องมาสิ เพราะเป็นหน้าที่เค้า”
ณ ตอนนี้ไม่ติดใจอะไรกับพี่ม้าแล้ว?
“ถามว่าความโกรธในวันแรก ผมก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้นะ
ผมไปอ่านก็โกรธสุด ไปเจอในสื่อที่เขียนว่า ม้า อรนภา เตรียมฟ้อง
ผมก็โกรธมาก อารมณ์ขึ้นสุด เลยโทรไปบอกผู้จัดการว่า ตบกูเหรอ ไม่ยอม
ยังไงก็จะฟ้องกลับ แต่พอผู้จัดการบอกว่าเค้าไม่ได้พูด ก็อารมณ์ลงมา
ผมไปเกาหลีไม่ได้เที่ยวเลยนะ อยู่ในโรงแรมคนเดียว
ตั้งใจว่าจะไม่เปิดโทรศัพท์ แต่สุดท้ายข่าวก็มาหาผม”
แล้วทำไมเราไม่อยากเจอเค้าในวันนั้น
ในเมื่อมันไม่มีอะไรแล้ว?
“เอาจริงๆ อันนี้เพราะว่าพี่ม้าได้พื้นที่สื่อไปเมื่อวานแล้วคนเดียว
วันนี้ผมก็อยากได้เหมือนกัน ผมบอกตรงๆ เลยนะ ถ้าเกิดมาคุยด้วยกัน 2 คน
แล้วเหตุการณ์มันไม่ตรงกัน ผมก็จะแย้ง
สิ่งที่กลัวที่สุดเลยอะไรรู้มั้ยครับ ผมคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น
แต่เมื่อวานผมเห็นพี่ม้า ผมรู้สึกว่าทำไมเค้านิ่งขนาดนั้น
ทำไมเค้าเล่าได้หัวเราะได้ แล้วทำไมเราต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้น
แต่ทุกอย่างที่ผมพูดไปมันคือเรื่องจริงแน่นอน”
ได้ฟังที่พี่ม้าแถลงเมื่อวาน
อันไหนที่ได้ฟังเมื่อวานแล้วรู้สึกว่าไม่ตรงกัน?
“ที่พี่ม้าพูดเป็นความจริงหมดเลยครับ แต่มันเกิดขึ้นในส่วนต่างๆ
อย่างเช่นที่แม่ม้าบอกว่า เอ็มแกต้องฟังนะ ถ้าแกไม่ฟัง
แกจะเป็นคนไม่ฉลาด อันนี้ผมได้ยินคำนี้ ผมอึ้งเลย
เกิดมาในชีวิตไม่เคยมีใครพูดอย่างนี้เลย แต่ผมไม่ได้เถียงนะ
ผมยกมือไหว้เลยว่า พี่ครับ แม่ครับ ไม่เคยมีใครพูดกับผมอย่างนี้เลยนะ
ถ้าแม่เห็นอะไรไม่ดี อยากสอน สอนได้นะครับ”
เราจะแจ้งความพี่ม้ากลับมั้ย?
“อันนี้ต้องปรึกษาทนายครับ เพราะผมไม่รู้เรื่องกฎหมายเลยครับ
แต่เอกสารอะไรมีหมด”
ทางที่เกาหลีว่ายังไง?
“พูดตรงๆ เลยนะครับ วันที่แม่ม้าเดินทางกลับ วันที่ 29
ผมยังไปสถานีตำรวจที่เกาหลีอยู่เลย แต่ก็ใช้ล่ามเกาหลี แต่พูดไทยได้
เค้าให้ผมเซ็นยินยอมว่า เอกสารฉบับนี้จะมาใช้ที่ไทยเท่านั้นนะ
ใช้ที่เกาหลีไม่ได้แล้ว เพราะว่าเค้ายกเลิกที่เกาหลีไปแล้ว
มันไม่มีผลที่เกาหลีอยู่แล้ว แล้วผมก็ยินดีที่มันเป็นอย่างนี้
ต้องรอให้แม่กลับไปก่อน”
ทำไมเรากล้าไม่เผชิญหน้ากับพี่ม้า?
“ผมกลัวใจอ่อน เพราะว่าวันนั้นแม่ม้าก็ร้องไห้ วันที่ก่อนไปกินปู
เค้าก็ร้องไห้ ผมก็โอเคครับ ผมให้อภัยแล้ว เพราะรู้สึกสงสารครับ
อย่างวันที่ตัดไหมวันที่ 29 ที่เจอกันก็รู้สึกสงสารครับ”
แต่เค้าออกมายอมรับว่าขอโทษแล้ว
เราให้อภัยเค้ามั้ย?
“โหยพี่ เค้าขอโทษเอ็ม เอ็มก็ขอโทษเค้า เพราะว่าเค้าอธิบายเป็น 12345
พอเค้าอธิบายมา แล้วเค้าขอโทษเราแล้ว เราจะไปเอาอะไรเค้าอีก
ขอโทษก็จบแล้ว แต่ในเรื่องกฎหมายก็อยากจะเอาเป็นตัวอย่างครับ
ไม่ใช่ว่าใครจะถูกตบก็ได้”
จะฟ้องมั้ย?
“ฟ้องครับ ยังไงก็ฟ้องอยู่”
แล้วทนายจะเป็นใคร?
“อย่างทนายที่นำเสนอข่าวไป ผมยังไม่ได้ติดต่อเลยครับตั้งแต่กลับมาไทย
แต่หลักฐานมีหมดแล้วครับ”
ได้เอาเอกสารนี้ให้เจ้าหน้าที่ที่ไทยดูมั้ยว่ามันใช้ได้มั้ย?
“ผมได้ถามล่ามที่เกาหลีว่า ผมขอถ่ายรูปเค้ากับตำรวจได้มั้ย
เค้าบอกว่าไม่ได้ แต่ให้เอาคลิปนี้กับเอกสารนี้ไปที่เมืองไทย”
ตำรวจไม่ได้แนะนำเรื่องในการตรวจร่างกายหรือใบรับรองแพทย์?
"ไม่มีครับ
มีแต่ฝั่งไทยที่ผมถามแล้วผมก็บอกว่าผมทำไม่ได้แล้วเพราะหน้ามันบวมหมดแล้ว"
แล้วที่ปรึกษาทนายมีแนะนำอะไรไหมว่ามันจะสามารถแจ้งความได้ไหม
เพราะมันคนละราชอาณาจักรกัน?
"เขาบอกว่าแจ้งได้นะครับ เพราะว่ายังไงก็ทำร้ายร่างกาย
แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการครับ
เพราะว่าเพิ่งมาถึงเมื่อคืนแล้วก็มาที่นี่เลย"
ตัดสินใจว่าเดินหน้าฟ้องแน่นอน?
"ใช่ครับ"
ทนายงงนิดหนึ่งว่าเหมือนเรากลับลำมาตอนแรกฟ้องแน่นอน
แต่พอกลับมาก็ไม่มีการติดต่อเขา?
"ผมเพิ่งกลับมาเมื่อคืนครับ"
พี่ทนายบอกว่าจะไม่ยุ่งแล้ว?
"เหรอครับ ผมไม่ทราบอะไรเลยครับ เอาจริงๆ ตอนนั้นผมไม่กล้า
ผมเลือกที่จะเงียบดีกว่า ครอบครัวผมยังไม่ตอบเลย
ผมตอบผู้จัดการคนเดียว
แล้วก็ถามผู้จัดการคนเดียวว่าผมไว้ใจเขาได้ใช่ไหม
แล้วเขาก็บอกว่าเราก็อยู่ด้วยกันมา 5-6 ปีแล้ว ไว้ใจได้
ผมบอกว่าทุกอย่างที่ผมสื่อออกไปไม่ว่าจะเป็นอะไรมันผิดเพี้ยนไปหมดเลยครับ
เอาจริงๆ วันนี้ผมตั้งใจว่าจะไม่มาแถลงข่าว เพราะทุกคนไม่รู้นะผมเป็นใคร แต่ถ้าผมไม่มาก็เท่ากับว่าคำพูดพวกนั้นเป็นจริง เพราะฉะนั้นผมไม่รู้ว่าอนาคตของผม วันนี้หรือพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อไป แต่ผมไม่ได้กลัวอะไรแล้วครับ ไม่ได้กลัว แล้วก็อยากให้ทุกอย่างมันจบให้ไวที่สุดเหมือนกัน ถ้าสมมติว่าไฟตรงนี้มันดับลง เพราะผมเอาเรื่องของผมที่ผมโดนมา ผมก็พร้อมให้มันดับผมก็จะไปหาไฟดวงต่อไป"
มั่นใจแล้วใช่ไหมว่าจะดำเนินการทางกฎหมาย
เพราะถ้าเข้ากระบวนการรูปคดีแล้วจะไม่สามารถกลับลำได้แล้ว?
"ใช่ ผมยังบอกกับแม่หรือว่าเดี๋ยวเราจะไปเจอกันที่ศาลนะ
เราอาจจะจูงมือกันไปที่ศาลเหมือนที่ผมจูงเหมือนเขาข้ามถนนก็ได้
ผมก็ต้องให้บทเรียนเขาอ่ะ จริงๆ ตอนนั้นผมไม่ได้กลัวเลยว่าเป็น ม้า
อรนภา ผมรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายเราก็จะต่อยกัน
ผมมองว่าเป็นรุ่นแม่จะให้ไปตบคืน ผมก็ไม่ถึงขนาดนั้น
เราก็อย่างนี้แหละครับ"
คดีนี้เราอยากให้สิ้นสุดที่ตรงไหน?
"ผมไม่รู้เรื่องกฎหมายเลยนะ ก็สู้สุดตามที่ศาลตัดสินครับ"
คดีนี้มันยอมความกันได้
แต่เรายืนยันว่าเราจะไม่ยอมความใช่ไหม?
"ไม่ยอมความ เพราะยังไม่ได้คุย
ขอแก้ข่าวตรงนี้เลยนะคะว่าไม่ได้มีการคุยกันข้างหลังเลย
ตั้งแต่วันที่ผมแจ้งความและเป็นข่าวที่เมืองไทยผมไม่เคยเจอหน้าแม่ม้า
อรนภาเลย นอกจากตอนที่ไปตัดไหมจมูก"
ถ้าม้า อรนภาดูอยู่ตอนนี้ จะบอกอะไรกับเขา?
"ผมขอบคุณนะแม่ม้า คำที่เราบอกว่าเราพูดความจริงกันนะ
เมื่อวานแม่พูดความจริง ผมกลัวมากเลยกลัวไปเอง
กลัวแม่ม้าจะออกมาพูดว่ามันเป็นเด็กฉันซื้อมันมา
แล้วผมก็มั่นใจอย่างหนึ่งว่าแม่เป็นคนจริงระดับหนึ่งเลยนะ เพราะว่าแม่รู้อยู่แล้วว่าคำพูดที่ผมพูดออกไปผมพูดจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงถ้าไม่ใช่ คนระดับม้าอรนภา ออกมาคำเดียวแล้วบอกว่าไอ้เด็กคนนี้มันโกหก ผมก็พร้อมที่จะไม่มีที่ยืน แต่ที่ผมพูดไปมันเป็นเรื่องจริงและเกิดขึ้นจริง"
ในรายการคุยแซ่บโชว์
เราถึงขั้นร้องไห้เป็นเพราะภาวะกดดันหรือเปล่า?
"ผมไม่เคยเล่าให้ฟังเลย อยู่ที่นั่นผมร้องไห้ทั้งวัน ร้องไห้บ่อยมาก
เมื่อกี้ผมก็ไม่ได้อยากจะร้องไห้
แต่มันเหนือการควบคุมและมันอึดอัดไม่ได้คิดว่าอยากมีวันนี้ไหม อยากมี
แต่ไม่ได้อยากมีแบบที่เป็นข่าวฉาว การเป็นนักแสดงมันอยู่กับเขา
แต่มันต้องเป็นข่าวดี แต่ผมเข้ามาแบบนี้คนมารู้จักหน้าผมจากข่าวฉาวเลย
ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทำยังไงต่อไป แต่ผมเลือกแล้วว่าผมจะฟ้อง
แต่ผมไม่คิดว่าทุกคนจะให้ความสนใจกันขนาดนี้
ก็รอดูต่อไป แต่อันนี้คือบทเรียนในชีวิตเลยว่าอย่าไปทำอะไรผมก็ไม่เคยบูลลี่ใครนะ แต่วันนึงผมมาโดนว่า หน้าทำแล้วเหรอ นี่หล่อแล้วเหรอ หนุ่มเกาหลีแล้วเหรอ วอนนะครับ (ยกมือไหว้) ผมไม่ได้เขียนเองในไอจีผม
อันนั้นคือพวกพี่ที่เป็นสื่อมวลชนเขียน อย่ามาถึงผมเลย แล้วอย่างอันนึงที่รู้สึกแย่มากเลย ดาราต๊อกต๋อย ผมพูดไปในรายการแล้วว่า ดารากับนักแสดงมันต่างกัน ผมเป็นนักแสดง ผมเล่นได้ทุกบท แต่ดาราคือเขาดังอยู่แล้ว อันนั้นเป็นสิ่งสมมติที่ว่าเอ็มเป็นดาราแล้วคนไม่รู้จัก"
แสดงว่าเราเช็กในโซเชียลตลอดไหม?
"ไม่ตลอด แต่ผมจะอ่านคนที่มาเมนต์ในข้อความผมกับในไอจีส่วนตัวผม
แล้วก็พวกไดเร็ก อันนี้ผมอ่านเพราะเป็นส่วนตัวผม
แต่ตามโซเชียลไม่ค่อยอ่าน อย่างวันนี้ไปก็จะไม่กล้าอ่าน
เพราะว่าอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบสมัยเรียนมหา'ลัยแล้วครับ
ผมอยากไปกินอะไรอร่อยๆ อยากจบเรื่องนี้แล้ว
ไม่ต้องกลัวแล้วว่าคุณจะด่าผมว่าผมพูดไม่จริง ว่าผมอยากดังหรือเปล่า
ตอนนี้ผมจะออกไปใช้ชีวิตแล้วครับ"
หลายคนสงสัยว่ามีสังกัดหรือเปล่า?
"มีสังกัดมาตลอดครับ แต่ผมก็ไม่เคยบอกว่าผมเป็นนักแสดงช่องหลากสีนะ
ผมแค่แวะไปเล่นครับ มีเป็นตัวประกอบบ้าง
อย่างตอนนี้ก็มีละครออนอยู่เรื่อง ลายกินรี"
สภาพจิตใจเป็นยังไงบ้างเพราะว่าเราโดนเยอะ?
"ผมไม่ได้คุยกับแม่เลย ผมให้ผู้จัดการคุยว่า แม่จะเอายังไง
แต่วันที่แม่ไปรับผมที่สนามบินได้กอดกัน 5 นาที แม่ผมร้องไห้
แล้วผมก็แตะแม่บอกว่าไม่เป็นไรๆ ไหวๆ แม่ก็จะบอกว่าใจเย็นๆ
ผมพยายามจะไม่ฟังอะไรจนกว่าจะถึงวันที่ผมมาแถลงเอง
ผมอาจจะขาดสติบ้าง เพราะการที่ผมมาเจอสื่อแบบนี้ผมยังใหม่มากนะ แต่มันก็หลุดออกมาจากปากเรา ดีกว่าไปฟังจากคนโน้นคนนี้ ถามว่าแสงมันส่องมาถึงตัวผมแล้ว แต่ถ้าจะให้ไปรายการอะไรอีก ผมบอกเลยว่าไม่อยากไปแล้ว และคลิปที่ผมโดนตบก็ไม่อยากให้แม่หรือตัวผมเห็นหลายๆ รอบแล้ว ผมพร้อมมูฟออนจากตรงนี้แล้วครับ"
ถ้าพี่ม้าขอนัดเคลียร์จะโอเคไหม?
"มันพูดยากนะ แต่ทุกอย่างมันก็ต้องเคลียร์ครับ
แต่ต้องเอาที่ผมพร้อมก่อน เพราะผมเป็นคนโดนกระทำ"
จะไปแจ้งความวันไหน?
"อาจจะต้องถามผู้จัดการ"
มีบางคนมองเรื่องชู้สาว?
"อันนี้ตอนแรกอ่านแล้วก็ขึ้น แต่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ผมก็เห็นเขาเป็นรุ่นแม่ เวลาเขาจะเข้าห้องผม
มันมีช่วงหนึ่งที่ผมทำจมูก เขาก็จะเปิดประตูทิ้งไว้
เขาก็ไม่ค่อยกล้าเข้ามา เรื่องชู้สาวไม่มีแน่นอน
แต่ผมก็กลัวมากว่าแม่ม้าจะออกมาพูดว่ามันเป็นแฟนฉันเองแหละ"
ทำไมถึงกลัวเขาจะพูดแบบนั้น?
"ก็มันเป็นสิ่งที่ผมคิดไปเอง ให้ผมคิด
ผมกลัวเพราะใครจะเชื่อผมว่าผมเป็นแบบนั้น แล้วเราไปกันสองคน"
เขามีท่าทางให้เรารู้สึกแบบนั้นเหรอเราถึงกลัว?
"ไม่มีเลยครับ มีแค่เวลาที่จะข้ามถนนแล้วผมจูงมือเขาบ้างนะ"
ซึ่งตัวเราก็ระวังตัวอยู่?
"ผมก็ระวังตัวอยู่
เพราะคนไทยทักแม่ตลอดทาง ผมเดินกันแค่ 2 คน แต่คนน่าจะไม่คิด
ข่าวมันใหม่มาก ผมกลัวว่ามันจะไม่จริง จะแต่งเรื่องขึ้น
แต่สุดท้ายผมก็ได้ขอบคุณเขา เพราะมันเป็นเรื่องจริง"
ปมว่ากินงู?
“อันนี้ผมว่าแรงมาก ใครจะกล้า”
เอ็มไม่ชอบกินปู เพราะขี้เกียจแกะ
แต่ที่ไปกินเพราะใจอ่อน?
“ใจอ่อนครับ เห็นน้ำตาเขาแล้วสงสาร”
วันที่ไปโรงพักเกาหลี
ทำไมไม่บอกว่าเขาเป็นใคร?
“มันเป็นเรื่องใหญ่นะที่ต่างประเทศ ผมมองว่าไม่ได้เอาสะใจ
เราเอาความถูกต้อง เขาตบผม ผมยืนเฉยๆ ผมจะไปแจ้งความที่ไทย
แค่จะเอาใบแจ้งความมาเป็นหลักฐานเฉยๆ
และผมกลัวเรื่องขึ้นศาลต้องบินไปเกาหลีเหรอ”
อยากบอกอะไรกับคนที่ติดตามข่าว?
“ผมใหม่กับเรื่องนี้จริงๆ ผมไม่รู้ว่าจะยืนตรงไหน ผมควรจะสงสารตัวเอง
หรือโฟกัสใคร ผมโดนตบ ผมเป็นผู้เสียหายทุกคนมาวิจารณ์หน้าผม
ไปบูลลี่แม่เขา หลงประเด็น ข่าวไม่กี่วันก็หาย
แต่คอมเมนต์พวกนั้นผมอ่านไปแล้ว มันอยู่ในใจผม อยากให้คิดนิดนึง
เมนต์อะไรก็คิดหน่อย คนที่ได้อ่านมันก็จี๊ด
ตอนนี้ผมใช้ชีวิตแล้ว
เพื่อนรออยู่จะไปกินส้มตำกับเพื่อนแล้วจากนี้จะไม่ร้องไห้อีกแล้ว
ขอบคุณมากๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับความสนใจขนาดนี้ (ยกมือไหว้)
เคยมีความฝันว่าตัวเองอยากจะมาอยู่ตรงนี้แล้วถือรางวัลแล้วได้พูด
แต่วันหนึ่งก็ได้มาอยู่ตรงนี้
แต่ผลมันจะเป็นยังไงก็รอติดตามต่อไป”
ได้คุยกับทนายตั้มมั้ย?
“ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้คุยเลย ผมยังไม่ได้เช็กข่าวเลย
เดี๋ยวว่ากัน”
ทนายตั้มบอกว่าคุยกับเอ็มและบอกว่าโทรไปหาทำไมถึงพูดเข้าข้างพี่ม้า?
“ตอนนั้นในคลับเฮ้าส์ก็เข้าไปฟัง
ผมพูดเป็นรายละเอียดว่าอย่าเพิ่งโทรหาผม รอให้ผมกลับไปแล้วค่อยว่ากัน
ส่วนเรื่องบูลลี่อย่าไปบูลลี่เขา มันไม่ควรอยู่แล้ว
ผมแค่อยากให้ทุกคนหยุดก่อน แล้วรอฟังผมทีเดียว”
ทนายตั้มคุยอะไรกับเอ็ม?
“พิมพ์คุย ไม่ได้โทรคุย ก็บอกว่าขึ้นคลับเฮ้าส์หรือเปล่า
ผมก็พูดตามที่บอกไป เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เราเป็นคนถูก รอเขาดีกว่า
ไม่มีการตำหนิ พี่ตั้มไม่ได้ตำหนิผม ไม่มีครับ”
บทเรียนที่ได้คืออะไร?
“ผมต้องมีวิจารณญาณ เพราะมีคนส่งข่าวมาให้
ผมก็เก็บทุกอย่างมาใส่ตัวเอง”.
คุณกำลังดู: เอ็ม นันทวัฒน์ ยืนยันจะฟ้อง ม้า อรนภา ให้เป็นคดีตัวอย่าง ไม่ใช่ใครก็โดนตบได้
หมวดหมู่: ความบันเทิง