ยุคเกรียงไกรของ ‘ซามูไรบลูส์’ อาจไม่ต้องรอแชมป์โลกถึงปี 2050
ยุคเกรียงไกรของ 'ซามูไรบลูส์' อาจไม่ต้องรอแชมป์โลกถึงปี 2050 ญี่ปุ่นทำผลงานที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำได้ในฟุตบอลโลก 2022 ด้วยการชนะทั้งเยอรมนีและสเปน คว้าแชมป์กลุ่มอี ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมไปได้ ก่อนทัว...
ยุคเกรียงไกรของ ‘ซามูไรบลูส์’ อาจไม่ต้องรอแชมป์โลกถึงปี 2050
ญี่ปุ่นทำผลงานที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำได้ในฟุตบอลโลก 2022 ด้วยการชนะทั้งเยอรมนีและสเปน คว้าแชมป์กลุ่มอี ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมไปได้
ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้น เมื่อผลการจับสลากแบ่งสายออกมาว่าทีมซามูไรบลูส์ร่วมกลุ่มกับเยอรมนี, สเปน, คอสตาริกา ซึ่งนับเป็นกลุ่มที่หนักที่สุดของทัวร์นาเมนต์ เมื่อดูจากชื่อชั้นของคู่แข่ง ความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นจะเป็นแชมป์กลุ่มเรียกได้ว่าน้อยจริงๆ
แต่เกมกับทั้งอินทรีเหล็กและกระทิงดุ ทีมตัวแทนจากเอเชียพลิกนรกแซงชนะได้แบบหนังม้วนเดียวกัน และชนะไปได้สกอร์ 2-1 ทั้งสองเกม ทั้งๆ ที่โดนขึ้นนำไปก่อน และมีโอกาสจะเสียประตูที่ 2 อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนถูกขนานนามให้เป็น “คัมแบ๊กคิง” ประจำฟุตบอลโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากผลงานในรอบแรก ทำให้มีการมองไปถึงว่า
ญี่ปุ่นจะก้าวไปถึงแชมป์ฟุตบอลโลกในครั้งนี้ได้หรือไม่?
ญี่ปุ่นมีแผนระยะยาวที่จะพัฒนาฟุตบอลชายให้เป็นแชมป์โลกภายในปี 2050
อยู่แล้ว ซึ่งพวกเขายังมีเวลาอีก 28 ปีที่จะเดินไปทีละขั้น
ส่วนทีมหญิงก็ไปถึงแชมป์โลกมาแล้ว เมื่อปี 2011
แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นมีแผนอยู่บนพื้นฐานของความจริง ไม่เร่ง ไม่เพ้อฝัน และเติมจุดแข็ง ลบจุดอ่อน เริ่มจากการพัฒนาระดับเยาวชน และทำเจลีกให้แกร่งขึ้นอีก ส่งออกนักเตะไปลีกใหญ่ในยุโรปจากรุ่นสู่รุ่น
การที่นักเตะจากแดนปลาดิบไปเล่นในลีกใหญ่ของยุโรป เป็นผลพวงจากการที่เจลีกได้รับการยอมรับเรื่องมาตรฐาน ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานทีเดียวในการจะได้เครดิตนี้
ในฟุตบอลโลก 2022 มีนักเตะทีมชาติญี่ปุ่นที่ค้าแข้งอยู่ในยุโรปถึง 19 คน บุนเดสลีก้า เยอรมนี มีถึง 8 คน ดังนั้นนักเตะอย่าง มายะ โยชิดะ, ไดจิ คามาดะ, ทาคุมะ อาซาโนะ หรือ ริสุ โดอัน ก็ไม่จำเป็นจะต้องเกร็งและกลัวนักเตะเยอรมัน เพราะเจอกันในลีกมาจนชินแล้ว หรือแม้แต่ ทาเคฟุสะ คุโบะ ตัวรุกที่เติบโตมากับรีล มาดริด และปัจจุบันอยู่กับ รีล โซเซียดัด ก็มีประสบการณ์ในสเปนมาไม่น้อย ไม่นับรวม ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ และ คาโอรุ มิโตมะ ที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นอกจากนั้นกระจายอยู่ในฝรั่งเศส โปรตุเกส เบลเยียม สกอตแลนด์ นักเตะที่อยู่กับทีมในเจลีกมี 7 คน แต่ก็นับเป็นตัวท็อปของลีกทั้งนั้น
ถ้าจะบอกว่าญี่ปุ่นมีขุนพลที่ไม่ต่างจากทีมระดับกลางจากยุโรปเลยก็ไม่ผิดนัก การเอาชนะทีมจากยุโรปได้มีเหตุผลของมัน เมื่อได้ความมั่นใจจากการชนะ 2 ทีมยักษ์ใหญ่แล้ว คู่แข่งทีมต่อไปอย่างโครเอเชีย ก็คงต้องกังวลกับซามูไรบลูส์อยู่ไม่น้อย
ฮาจิเมะ โมริยาสึ กุนซือญี่ปุ่น เน้นไปที่ความเหนียวแน่นในครึ่งแรก ส่งแนวรับลงสนาม 5 คน ยิงไม่ได้ก็ต้องไม่เสีย แล้วค่อยไปเร่งเครื่องในครึ่งหลัง อาซาโนะและโดอัน ที่ยิง 2 ประตูในเกมชนะเยอรมนี ก็ถูกเปลี่ยนตัวลงในครึ่งหลัง ส่วนในเกมชนะสเปน โดอันก็ลงสนามในครึ่งหลัง แล้วยิงประตูได้อีก แต่ก็ไม่แน่ในรอบลึกกว่านี้จะยังใช้ได้ผล เพราะโครเอเชียคงเตรียมรับมือกับแนวทางเอาไว้อย่างดีแล้ว
ถ้าผ่านทีมตาหมากรุกไปได้ รอบ 8 ทีม ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ญี่ปุ่นจะต้องเจอกับบราซิล คงต้องใช้ความมหัศจรรย์มากกว่ารอบแบ่งกลุ่มอีกหลายเท่า ถ้าหวังจะปราบทีมแซมบ้าให้ได้อีก แต่เมื่อเกมเตะยังไม่เริ่ม อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
เหมือนที่กัปตันโยชิดะบอกไว้หลังจบเกมชนะสเปนว่า เรารู้ดีว่าต้องเจองานยากตั้งแต่แรก แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ อาจจะดีหรือร้าย ดังนั้นตั้งเป้าหมายของเราแค่ชนะเกมต่อไปให้ได้ก็พอ แค่นั้นก็เพียงพอที่จะสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการฟุตบอลญี่ปุ่นได้แล้ว
ไม่ว่าเส้นทางในฟุตบอลโลกหลังจากนี้จะจบลงตรงไหน แต่ญี่ปุ่นก็ทำให้เห็นกันแบบแจ่มแจ้งแล้วว่า ฟุตบอลเอเชียไม่ใช่ลูกไล่ของใครอีกต่อไป
และอาจจะเดินหน้าไปถึงแชมป์โลกก่อนปี 2050 ด้วยซ้ำ
คุณกำลังดู: ยุคเกรียงไกรของ ‘ซามูไรบลูส์’ อาจไม่ต้องรอแชมป์โลกถึงปี 2050
หมวดหมู่: กีฬาอื่นๆ