จุดกำเนิดของ Bentley รถหรูที่เกิดมาจากการแข่งเมื่อร้อยปีที่แล้ว
หมุนเวลาหาอดีต ประวัติศาสตร์แบรนด์รถหรูเบนท์ลีย์
จากดราม่าล่าเสี่ยเบนท์ลีย์ ชนบนทางด่วนที่เกิดขึ้นมาได้ราวสัปดาห์กว่าๆ ในขณะที่กระแสชนส่วนมากมุ่งเป้าไปที่รูปคดี ก็มีท่านผู้อ่านบางส่วนที่อาจยังไม่คุ้นกับชื่อแบรนด์นี้ ต้องยอมรับว่าในยุทธจักรรถหรูนั้นผู้คนของแต่ละประเทศจะจำค่ายไหนได้ดีก็ต่อเมื่อรถเหล่านั้นมีราคาแพงพอ เป็นที่นิยมในกลุ่มคนมีเงินมากพอที่จะเห็นได้บ้างบนถนน ไม่ใช่ปีนึงได้เห็นแค่ครั้งสองครั้ง หลายคนจึงรู้จัก “เบนซ์” แต่ยังมีบางคนไม่รู้จัก “เบนท์ลีย์” รู้แค่ว่าเป็นรถราคาแปดหลักที่คนหาเช้ากินค่ำบางคนยังพอบอกได้ว่าเป็นรถอังกฤษ สำหรับคนที่เชี่ยวชาญเรื่องรถอยู่แล้ว เราไม่มีอะไรต้องพูดกัน แต่สำหรับท่านที่อยากรู้จักความเป็นมาของค่ายนี้ให้มากขึ้น ผมขอรับใช้ท่านในจุดนี้แล้วกันนะครับ
ประวัติ Bentley
Bentley เป็นแบรนด์เก่าแค่ไหน? ก็ไม่เก่าเท่า Mercedes-Benz ที่เกิดจากมือของคนสร้างรถยนต์คันแรกของโลกหรอกครับ แต่นับจากวันแรกที่ก่อตั้งแล้วล่ะก็ กลางปีนี้ค่ายนี้ก็จะอายุครบ 104 ปีแล้วล่ะครับ ถ้าจะเล่าต้องย้อนกลับไปถึงผู้ให้กำเนิดค่าย ก็คือนาย Walter Owen Bentley (ซึ่งเราจะเรียกเขาสั้นๆ ว่า W.O. ซึ่งเป็นชื่อที่เขาชอบให้คนเรียก) W.O. เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1888 เป็นลูกคนสุดท้องมีพี่อีก 8 คน เมื่ออายุ 9 ขวบ W.O. ฉายแววความเป็นช่าง อะไรที่ไขควงกับประแจรื้อได้ พี่แกจะรื้อเล่นหมด เอาเงินไปซื้อจักรยานใช้แล้วมาถอดเป็นชิ้นเล็กๆ พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ไปทำงานการรถไฟ คอยตักถ่านไม้เติมไฟหม้อน้ำหัวรถจักรอยู่หลายปี
แต่ในระหว่างที่ทำงานการรถไฟอยู่นั้น เขาก็เริ่มสนใจเรื่องมอเตอร์สปอร์ต ตามประสาเด็กอายุ 16 Up ที่จะต้องมีความสนใจในอะไรสักอย่างที่ทำให้พ่อแม่กุมขมับนั่นล่ะ จะบอกให้ว่าผู้ก่อตั้งแบรนด์รถหรู มีประวัติเริ่มต้นจากการเป็นเด็กแว้นก็ไม่ผิดหรอก เพราะ W.O. แกลงขันกับพี่ชาย เอาเงินไปซื้อมอเตอร์ไซค์เก่ายี่ห้อ Quadrant มาปรับแต่งเครื่อง แต่ในขณะที่แว้นบ้านเรานิยมซิ่งยามดึก W.O. จะออกไปแว้นตอนเช้าครับ เพราะตำรวจอังกฤษตั้งด่านตอนสาย ฝึกการควบคุมที่ความเร็วสูง แล้วก็กลับมาหาทางปรับแต่งเครื่อง จนไปเข้าแข่งรายการสำคัญๆ บางรายการก็ได้ถ้วยกลับมาทับกระดาษที่บ้านด้วย
พออายุ 25 ปี W.O. กับพี่ชายก็ลงขันกันอีกรอบ เอารถฝรั่งเศสยี่ห้อ DFP (Doriot, Flandin & Parant) มาขายในอังกฤษ โดยในระหว่างได้รับเชิญไปเยี่ยมชมรถที่ฝรั่งเศสนั้น W.O. เหลือบไปเห็นที่ทับกระดาษบนโต๊ะสำนักงานที่นั่น แล้วก็มือซนไปหยิบมาโยนเล่น “เอ๊ะ ทำไมอันโต..แต่น้ำหนักมันเบาวะ” ทำให้เขาได้ทราบว่าเจ้าก้อนทับกระดาษนั่นทำมาจากอะลูมินั่มอัลลอย ด้วยความเป็นคนชอบหาเรื่องแต่งเครื่อง เขาจึงคิดได้ว่า “เฮ้ย ถ้าเบาขนาดนี้ เราเอาไปทำลูกสูบใส่ในเครื่องแทนลูกสูบเหล็กหล่อเดิมๆ ที่หนัก มันน่าจะแรงเลยนา” แต่อย่างที่คุณทราบครับ อะลูมิเนียมเบาจริงแต่ไม่เหนียว พอเอาไปทำลูกสูบก็ละลาย W.O. จึงต้องลองผสมแร่อื่นลงไป ลองพังเครื่องไปหลายตัวจึงพบว่า ถ้าใส่อะลูมิเนียม 88% บวกทองแดง 12% ล่ะก็มันจะใช้การได้ เขาจึงประดิษฐ์ลูกสูบอัลลอยผสมนี้ นำไปใช้กับเครื่องยนต์ของรถ DFP จนคว้าชัยชนะในการแข่งที่ Brooklands ซึ่งรถของเขาทำความเร็วได้กว่า 140 กม./ชม. เร็วที่สุดในการแข่งปี 1912
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น ไอ้เทคโนโลยีลูกสูบอัลลอยผสมของเขานี่ล่ะครับ กลายเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของเครื่องบินรบอังกฤษ เขาพัฒนาสูตรเพื่อเพิ่มความทนทาน และสร้างเครื่องยนต์ใบพัด BR1 จากโรงงานของ Bentley นำไปติดตั้งในเครื่องบิน Sopwith Camel และทำให้ได้เครื่องที่มีสมรรถนะสูง ไต่ความเร็วเป็นเยี่ยมและไม่พังง่าย ผลพลอยได้จากการช่วยทางเทคนิคในสงคราม ทำให้ W.O. ได้รับพระราชทานยศ พร้อมเงินจำนวน 8,000 ปอนด์ ทำให้เขาสามารถสานฝัน ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ของตัวเอง ในวันที่ 10 กรกฎาคม 1919 ในชื่อ Bentley Motors จำกัด โดยโลโก้บริษัทตัว B มีปีกสองข้าง (Winged B) นั้น ได้รับการออกแบบโดยเพื่อนของเขา Frederick Gordon Crosby ซึ่งทำงานเป็นนักวาดภาพรถอยู่นิตยสาร Autocar โดยให้ตัว B แทนชื่อ Bentley ให้ปีกแสดงถึงความก้าวหน้า ความฝัน และยังนำเสนอถึงประวัติของตัว W.O. เองที่เคยเป็นถึงคนออกแบบเครื่องยนต์ให้เครื่องบินใบพัด
รถคันแรกของ W.O. คือ Bentley 3 Litre ซึ่งออกขายจริงในปี 1921 แต่ต้องบอกก่อนว่าในสมัยนั้นเวลาสร้างรถขาย Bentley จะขายเป็นแชสซี ช่วงล่างกับเครื่องยนต์นะครับ ส่วนบอดี้หลักนั้นจะไปจบที่บรรดาบริษัทประกอบและตกแต่งบอดี้ (Coachbuilders) ซึ่งสมัยนั้น Bentley มักแนะนำให้ลูกค้าเลือกสำนัก Vanden Plas เพื่อส่งรถไปทำก่อนมอบให้ลูกค้า ส่วนที่มาของชื่อรุ่น 3 Litre นั้นก็คือเครื่องยนต์นั่นเอง ซึ่งเครื่องยนต์นี้พัฒนาโดย Clive Gallop อดีตนักบินสงครามโลกที่ชอบเล่นรถและมารู้จักกับ W.O. โดยตัวเครื่องนั้นมีพื้นฐานมาจากเครื่องยนต์ของ Mercedes-Daimler ซึ่งติดตั้งในรถแข่งและนำมาโชว์ตัวในอังกฤษ ในช่วงที่สงครามอุบัติขึ้น W.O. นี่ล่ะเป็นตัวชง ไปบอกรัฐบาลให้ยึดรถคันนั้นไว้ แล้วในภายหลัง ก็ส่งไปรื้อที่โรงงาน Rolls-Royce แกะทุกชิ้นดูเทคโนโลยีแล้วสร้างใหม่ให้เหนือกว่า
คุณคิดว่าเครื่องยนต์ยุค 1920s จะเป็นอย่างไร? เครื่องของ Bentley 3 Litre น่ะ เป็นเครื่องล้ำยุคมากนะครับ ร้อยปีที่แล้ว พวกเขาทำเครื่อง 4 วาล์วต่อสูบ 2 หัวเทียนต่อสูบ คือทั้งมัลติวาล์วและทวินสปาร์ค และยังเป็นระบบ Overhead Camshaft ด้วย ล้ำสมัย แต่ขึ้นชื่อว่าซ่อมบำรุงยาก รถของ Bentley สร้างชื่อในการแข่งขันหลายรายการ ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ Le Mans 24 Hour แล้วยังมีสาวกเป็นบรรดานักแข่งที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า Bentley Boys ซึ่งส่วนมากเป็นลูกของเศรษฐีที่เลือกจะไปรบในสงคราม พอกลับมา มีทั้งเงิน หน้าตา และชื่อเสียง ก็มาจับกลุ่มแข่งรถกัน หนึ่งในนั้นคือ Joel Woolf Barnato ซึ่งเป็นอดีตทหารสงครามโลก มีพ่อรวยเป็นเจ้าของเหมืองเพชรแอฟริกาใต้ แต่พ่อตายแล้ว ความสำคัญของ Barnato คือ นอกจากจะกลายเป็นนักแข่งที่รักรถ Bentley แล้ว ในช่วงที่บริษัท Bentley Motors ขาดทุนใกล้เจ๊ง เขาตัดสินใจอัดฉีดเงินเข้าไปจนพยุงบริษัทต่อมาได้หลายปี และกลายเป็นเจ้าของบริษัท โดยที่ W.O. ถูกลดยศลงไปเป็นลูกจ้างของ Barnato แทน
ต่อมา W.O. มองว่าจะขายเครื่อง 3 Litre ต่อไป ก็คงไม่ดีแน่ จำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนยกบริษัทให้ Barnato เขาเคยสร้างรถรุ่น 4 ¼ ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ ติดตั้งในแชสซีส์แล้วสร้างบอดี้หลอกๆ มาครอบ ลองเอาวิ่งไปดูการแข่งที่ฝรั่งเศส ระหว่างทางกลับก็ได้เจอกับรถทดสอบอีกคันที่แยกไฟแดง ซึ่งภายในแวบแรกที่เห็น W.O. ก็จำได้ว่าผู้ขับ เป็นนักทดสอบที่ทำงานให้กับ Rolls-Royce จึงเกิดการเขม่นกันขึ้น W.O. เอา Bentley ของเขาไล่ล่าไปตามทางหลวงฝรั่งเศส แต่ก็ไม่สามารถขึ้นนำ Rolls-Royce ได้ ต้องรอจนกระทั่งหมวกของคนขับ Rolls-Royce ปลิวตกข้างทางแล้วเขาตัดสินใจย้อนกลับไปเก็บเท่านั้น W.O. ถึงชนะมาได้ เหตุการณ์นี้ทำให้เขากลับมาอังกฤษและตัดสินใจขยายความจุเครื่อง 6 สูบเรียงออกไปเป็น 6.6 ลิตร และปรับเครื่องจนมีกำลังถึง 147 แรงม้า กลายเป็นจุดกำเนิดของ Bentley 6 ½
ทว่าความเห็นของคนใน Bentley Boys ไม่ตรงกันในการแข่งขันที่กำลังจะมา W.O. มองว่าการเพิ่มความจุเครื่องยนต์คือทางออกของความแรง แต่ Sir Tim Birkins กับ Woolf Barnato มองว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ต้องใช้ซุปเปอร์ชาร์จสิถึงจะถูก ซึ่งในช่วงปีนั้น Mercedes ใช้ซุปเปอร์ชาร์จในรถแข่งมาพักใหญ่แล้ว นี่คือจุดที่ต่างคนต่างก็มองว่าตัวเองคิดถูก แต่ W.O. ด้วยความที่เถียงเจ้านายไม่ได้จึงต้องเล่นบททวนน้ำบ้าง และตามน้ำบ้างเพื่ออยู่รอดไป เขาสร้างรุ่น Speed Six ซึ่งใช้พื้นฐานจากรุ่น 6 ½ แต่ปรับปรุงเครื่องยนต์เวอร์ชันแข่งจนมีพลัง 200 แรงม้า ด้วยความที่ใช้เครื่อง 6 สูบเรียงขนาดยาวมาก เมื่อ Ettore Bugatti เห็นรถแข่งของ W.O. ก็คิดว่ามันเป็นรถที่เร็ว แต่ขนาดตัวโตและหน้าตาเห่ยเกินไป ถึงขนาดตั้งฉายาให้ว่า “รถบรรทุกที่เร็วที่สุดในโลก”
ฝั่ง Tim Birkins นั้น เลือกที่จะใช้รถ 4 สูบอย่าง Bentley 4 ½ แต่นำมาติดตั้งซุปเปอร์ชาร์จลงไป รถเหล่านี้กลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “Blower Bentley” ซึ่งมีจุดเด่นคือ เอาซุปเปอร์ชาร์จมาวางไว้ข้างหน้ารถ ทำไมต้องวางข้างหน้า? ก็เพราะพอจะเอาไปติดบนเครื่องยนต์ W.O. ก็เสียงแข็งไม่ยอมทำให้โดยอ้างว่าจะส่งผลกระทบต่อความทนทานของตัวเครื่อง ทีมของ Birkins เลยติดตั้งมันเองเสียเลย และสามารถจูนจนรถเวอร์ชันแข่งมีพลังถึง 242 แรงม้า
แม้ว่าจะสร้างสถิติโลกด้านความเร็ว ด้วยตัวเลข 222 กม./ชม. แต่ในการแข่งขัน ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ Birkin สร้างรถมาไม่ทันการแข่ง Le Mans ปี 1929 จึงต้องจำใจขับ Speed Six คู่กับ Barnato ซึ่งก็ชนะ ส่วนตัวรถ Blower Bentley นั้นไปแข่งในรายการ Endurance 500 Miles ซึ่งในระหว่างการแข่ง เครื่องยนต์ซุปเปอร์ชาร์จที่อุณหภูมิไอเสียร้อนจัด ส่งผลให้ท่อรวมไอเสียร้าวและวัสดุผ้าในบอดี้ลุกติดไฟ ส่วนปี 1930 นั้น Barnato ขับ Speed Six และ Birkins ขับ Blower Bentley ซึ่งขับเคี่ยวกับ Mercedes SSK ที่ขับโดย Rudolf Carraciola อย่างเมามัน ก่อนพังทั้งคู่ เหลือแค่ Speed Six ที่เข้าป้ายไป
ก่อนที่จะได้สรุปกันว่าตกลงแนวคิดของใครเจ๋งกว่า ระหว่างปอดโตได้เปรียบ (W.O.) และอัดลมสิซ่ากว่า (Birkins) สถานการณ์ทางการเงินของ Bentley Motors ก็อยู่ในขั้นวิกฤติสุด ความพยายามสุดท้ายของพวกเขาก็คือการสร้างรถตลาดระดับบนราคาแพง อย่าง Bentley 8 Litre ซึ่งเป็นรถ (แชสซี) ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ Bentley เคยสร้างมา โดยในบอดี้แบบที่โตสุด จะมีความยาวถึง 5.4 เมตร และกว้าง 1.74 เมตร ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ความจุ 8 ลิตรตามชื่อ ประกบกับเกียร์ 4 จังหวะ ช่วงล่างแหนบ เบรกดรัม 4 ล้อแบบมีหม้อลม และสามารถทำความเร็วได้ระดับ 160 กม./ชม. โดยที่ผู้โดยสารข้างในรถรู้สึกเงียบสบายหู มันจึงได้ฉายาว่าเป็นรถ 100 ไมล์/ชม. ที่เงียบเป็นป่าช้า เมื่อนักทดสอบได้มาลองก็พบว่าจริงดังว่า Bentley 8 Litre สร้างมาตรฐานใหม่ให้ค่ายด้วยความรู้สึกทรงพลัง เร่งได้รุนแรงรวดเร็ว แต่นุ่มนวลนั่งสบาย
แต่แล้ว ในปี 1929 ตลาดหุ้น Wall Street ล้ม ทำให้เกิดวิกฤติการเงินไปทั่ว ส่งผลกระทบมาถึงอังกฤษ ความที่ Bentley 8 Litre ราคาแพงจัด เลยขายได้แค่ 100 คัน เมื่อ Barnato ไม่มีเงินหมุนมาเพิ่ม จึงจำเป็นต้องขายกิจการ โดยคนที่เข้ามาซื้อกิจการไป ก็คือ Rolls-Royce นั่นเอง ซึ่งสิ่งที่น่าเจ็บใจก็คือ Rolls-Royce ได้เห็นประสิทธิภาพของ 8 Litre แล้ว รู้ตัวว่าเสืออย่าง Bentley นั้น หากปล่อยเข้าป่าไป วันหนึ่งก็จะย้อนมาทำร้ายตนเองได้ เพราะ 8 Litre นั้นเจ๋งพอที่จะวัดเท้ากับ Rolls-Royce Phantom ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน
นับตั้งแต่นั้นมา W.O. ก็ทำงานให้กับ Rolls-Royce ตามสัญญาทางกฎหมาย เมื่อ Rolls-Royce ลดบทบาทรถยนต์จาก Bentley ลงจนเหลือแค่เพียงชื่อ เพราะพวกเขาพยายามนำเอารถค่ายตัวเอง มาเปลี่ยนสไตล์ให้ดูสปอร์ตขึ้น แล้วขายในชื่อแบรนด์ของ Bentley อย่างเช่นรถรุ่น 3 ½ ที่ไม่ใช่รถจากมันสมองของ W.O. และทีม แต่เป็นแค่ Rolls-Royce 20/25 ที่ปรับลุคให้ดูสปอร์ตขึ้น แม้ว่า W.O. จะชอบรถรุ่นนี้ แต่เขาก็ไม่แฮปปี้กับการทำงานที่ Rolls-Royce อีกต่อไป ในปี 1935 เขาจึงลาออกไปอยู่กับค่าย “Lagonda” ซึ่งเป็นค่ายรถอังกฤษก่อตั้งมาก่อน ในปี 1906 ส่วน Bentley นั้น ก็กลายเป็นร่างทรงรสชาติที่สองของ Rolls-Royce ไปอีกกว่า 60 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่า Bentley ในยุค 1935 จนถึง 1998 นั้น ไม่ว่าออกรุ่นไหนมา จะเห็นความคล้ายคลึงกับ Rolls-Royce รุ่นที่จำหน่ายอยู่ได้เสมอ ตั้งแต่เส้นสายบอดี้ไปจนถึงเครื่องยนต์กลไก ต้องรอจน Volkswagen Group มาซื้อกิจการไปในปี 1998 แล้วหลังจากนั้นเราจึงได้เห็น Bentley ที่มีเอกลักษณ์แยกจาก Rolls-Royce อย่างชัดเจนขึ้น
ในปัจจุบัน Bentley เป็นหนึ่งในเครือ Volkswagen Group เยอรมนี ที่มีตำแหน่งทางการตลาด สูงกว่าแบรนด์พรีเมียมอย่าง Audi และเทียบเคียงได้กับ Porsche ซึ่งเป็นรถในเครือเดียวกัน แต่มีภาพลักษณ์ออกไปในแนวต่างกัน สำหรับ Bentley จุดขายของรถพวกเขาคือ เทคโนโลยีและพลังขับเคลื่อนที่สูงเหนือกว่ารถทั่วไป แต่มาคู่กับความหรูหรา ประณีต ไม่ว่าจะเป็นหนังชั้นดีที่นำมาตัดภายใน หรือลายไม้ ซึ่งตัดมาจากต้นไม้ที่ปลูกมาจากป่าที่ได้รับสัมปทานอย่างถูกต้องเท่านั้น ทำให้ในขณะที่รถหลายคันมีความแรง ความสะใจ ความห้าว รถของ Bentley คือรถที่สามารถวิ่ง 250 ได้อย่างเงียบเชียบบนเอาโต้บาห์น โดยคนขับไม่รู้สึกเหนื่อยล้า สบายตัวบนเบาะหนังนุ่มๆ
นี่ล่ะครับ คือจุดเริ่มต้นและประวัติคร่าวๆ ของแบรนด์ Bentley ซึ่งผมอาจจะโฟกัสไปที่ช่วงเริ่มต้นมากไปสักนิด เพราะความน่าติดตาม และเสน่ห์ของแบรนด์ มันอยู่ในช่วงนี้มากที่สุดแล้วครับ เอาไว้ถ้ามีโอกาส จะลองเขียนถึง Bentley ในช่วง Modern Period ให้ท่านอ่านกันเล่นๆ ครับ.
Pan Paitoonpong
คุณกำลังดู: จุดกำเนิดของ Bentley รถหรูที่เกิดมาจากการแข่งเมื่อร้อยปีที่แล้ว
หมวดหมู่: รีวิวรถใหม่