ส่องรถมือสองน่าสน HONDA CR-V GEN 3

มือสองน่าสน Honda CR-V Gen 3 เริ่มต้นสองแสนกลางกับรถอเนกประสงค์ขับคล่องใช้สบาย

ส่องรถมือสองน่าสน HONDA CR-V GEN 3

มีท่านผู้อ่านขอปรึกษามาเรื่องของรถครอบครัวที่เหมาะกับคนไซส์ใหญ่ แต่เป็นรถมือสองที่ราคาไม่แรง ปียังไม่เก่าเกินจนต้องลุ้นเหงื่อตกเวลาขับทางไกล ที่สำคัญคือต้องเป็นรถแบบที่ทั้งตัวพี่เขา และภรรยาสามารถขับได้คล่องสบายมือ เน้นเรื่องหาที่ซ่อมได้ง่าย ไม่เน้นความโดดเด่นหวือหวาแบบสาวเห็นแล้วกรี๊ด เพราะถ้าสาวกรี๊ด สามีน่าจะโดนภรรยาตรวจสอบ เมื่อโจทย์มาแบบนี้ แน่นอนครับว่าตัวเลือกย่อมมีไม่มาก เมื่อท่านผู้อ่านกำหนดงบประมาณมาให้ว่าสามแสนบาทบวกลบ Honda CR-V เจเนอเรชันที่ 3 โผล่มาเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคุณสมบัติตรงกับครอบครัวนี้ต้องการแบบ 9 ใน 10 เลยทีเดียว นอกจากนี้ คุณพ่อของผู้เขียนเองก็เป็นผู้ที่นิยม CR-V มาก ใช้มาตั้งแต่รุ่นแรก เปลี่ยนไปรุ่นที่สอง และเมื่อท่านอายุ 67 ปี ก็ตัดสินใจซื้อ CR-V Gen 3 ป้ายแดงมาในปี 2010 และปัจจุบันก็ยังใช้งานอยู่ประจำ ทำให้เราบอกได้ว่า ถ้าคุณรับข้อเสียใหญ่ของมัน 1 ข้อได้ มันจะเป็นรถที่ใช้สบายใจมาก 1 ข้อนั้นคืออะไร ใจเย็น..เดี๋ยวจะเฉลยภายหลัง

Honda เริ่มต้นทำตลาดกับ CR-V ตัวถังแรกในประเทศไทยตั้งแต่ปลายยุค 90s โดยชูจุดเด่นเรื่องขนาดตัวรถที่ไม่โต แต่ห้องโดยสารจุได้มากจากทรงรถที่เกือบเป็น 4 เหลี่ยม แฝงลูกเล่นในการใช้งานที่แปลกใหม่เช่นย้ายคันเกียร์ไปอยู่ที่พวงมาลัยเหมือนรถอเมริกันยุคเก่า เพื่อเคลียร์พื้นที่คอนโซลตรงกลาง ติดตั้งโต๊ะถาดเล็กแบบพับได้ เอายางอะไหล่มาห้อยท้ายรถเหมือน SUV รุ่นโตๆ (ซึ่งยุคนั้นคนไทยรวยๆ กำลังเริ่มคลั่งไคล้รถ SUV กัน) ท้ายรถแยกเปิดบานกระจกกับฝาท้ายส่วนล่างได้ พื้นห้องเก็บสัมภาระดึงออกมาเป็นโต๊ะปิกนิกได้ ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบที่ส่งกำลังไปล้อหลังเฉพาะเมื่อล้อหน้าเสียแรงยึดเกาะ รวมกับบุคลิกรถที่เหมาะกับคนหลายวัย ทั้งวัยรุ่นหรือวัยชราต่างใช้ชีวิตกับมันได้อย่างมีความสุข แต่อย่าถามหาเรื่องความหรู เพราะวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ นั้นแทบไม่ต่างกับ Civic 1.6 รุ่นท็อป

เวลาผ่านไปนาน และดูเหมือนว่า Honda พยายามทำให้ CR-V นั้นเจริญวัยไปพร้อมๆ กับลูกค้า เมื่อมาถึงเจเนอเรชันที่สาม ทีมพัฒนารถของ Honda ก็พยายามปรับรูปแบบของรถ ให้ลดความขี้เล่นแหวกแนวแบบวัยรุ่นลง แม้จะใช้รูปทรงเส้นสายโค้งบวกกับไฟท้ายยาวจรดหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์จดจำ แต่ภายในของรถรุ่นนี้ กลับดูดีขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่หรูเรียบๆ มากกว่าเจเนอเรชันก่อนๆ และเป็นดีไซน์ที่ยังไม่ล้าสมัยแม้เวลาจะผ่านมาสิบกว่าปี จุดเด่นของรถรุ่นนี้ที่ทำให้หลายคนชอบ ก็อยู่ที่ภายในนี่แหละครับ เพราะมีช่องวางช่องใส่ของเยอะแยะไปหมด ลิ้นชักฝั่งคนนั่งมีสองชั้น ตรงกลางก็มีช่องเก็บของที่ใหญ่โต ใส่ CD ได้ 12 แผ่น มีที่วางแก้วสองใบ พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศ และการออกแบบ ยังเน้นการใช้งานที่ง่าย ปุ่มควบคุมต่างๆ แยกโซนชัดเจน ไม่ต้องอ่านคู่มือก็สามารถใช้สิ่งต่างๆ ในรถได้น่าจะร้อยละ 80 นี่คือเสน่ห์ของ Honda ซึ่งเข้าใจพฤติกรรมการใช้รถของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายดีในสมัยนั้น

เบาะนั่งตอนหน้า อาจจะไม่ได้อู้ฟู่แบบรถหรูหลายล้าน แต่ก็นั่งสบายสำหรับรถญี่ปุ่นราคาล้านต้นในสมัยนั้น การออกแบบแดชบอร์ดที่มีเกียร์อยู่บนคอนโซล แล้วแยกที่วางแก้วกับช่องเก็บของมาอยู่ระหว่างเบาะ ทำให้สามารถอ้าขาเอียงเข่าได้ตามใจชอบ รวมถึงพนักเท้าแขนชุดใน ที่สามารถเอาลงและยกพับเก็บได้ ทำให้ผมกล้าพูดว่า ถ้าคุณนั่ง CR-V รุ่นนี้ไม่ได้ คุณต้องลดความอ้วนสถานเดียวเท่านั้น เพราะไซส์ 9XL อย่างผมนั่งขับไปรอบประเทศมาแล้วไม่มีปัญหา เบาะนั่งหลัง อาจจะชัน แข็ง และไม่ถือว่าสบายเท่าไรเมื่อเทียบกับรถเก๋งอย่าง Accord แต่ถ้าคุณนั่งเบาะหลังของรถกระบะ 4 ประตูมาก่อน เบาะของ CR-V ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ผู้ชายสูง 180 ซม. หนัก 80-100 กก. สามารถนั่งเบียดกันสามคนได้ โดยที่ไอ้คนกลางอาจจะอึดอัดบ้าง ตัวฐานเบาะสามารถเลื่อนหน้า/หลังได้แบบแยก 60:40 แต่พนักพิงหลังท่อนบน จะแบ่งเป็น 40:20:40 ซึ่งทำให้คุณสามารถจัดแบ่งพื้นที่ระหว่างคน และของได้ตามใจชอบ เหมาะมากกับครอบครัวที่มีรถคันเดียว และทำกิจการที่ต้องรับวัตถุดิบหรือสินค้าใส่รถไปด้วยประจำ

ที่ด้านท้ายรถ CR-V รุ่นนี้ เปลี่ยนจากฝาท้ายแบบแยกเปิดบานบนได้ มาเป็นฝาท้ายแบบรถปกติ เปิดยกทั้งบาน เมื่อเปิดสุดแล้วคนที่ตัวเตี้ยอาจจะเอื้อมถึงได้ยากหน่อย แต่เรื่องขนาดพื้นที่ด้านท้ายนั้นใหญ่โตมาก ใส่ถุงกอล์ฟไซส์เต็มได้สองใบโดยไม่ต้องพับเบาะหลังช่วย แล้วยังมีแผ่นกั้นชั้นให้มา ซึ่งช่วยให้จัดระเบียบสัมภาระเป็นสองชั้นแยกกันโดยสัมภาระชิ้นบนก็ไม่ไปเบียดกดทับพวกชิ้นล่าง และยังสามารถพับเปิดบางช่วงได้ คุณลองไปเล่นดู จะรู้ว่าทำไมครอบครัวชนชั้นกลางบ้าหอบฟางจึงหลงรัก CR-V คนที่ออกแบบรถ ให้เวลาคิดกับเรื่องการใช้งานมากจริงครับ

สำหรับคนมีลูกหลานวัยซน คุณลองเปิดตรงกล่องเก็บแว่นตาของ CR-V รุ่นนี้ดูครับ มันจะแบ่งการเปิดเป็นสองขยัก แล้วคุณจะเห็นกระจกโค้งซึ่งทำให้คนขับสามารถมองเห็นได้หมดว่าใครทำอะไรอยู่บนเบาะหลัง นี่คือลูกเล่นน่ารักแบบ Honda ยุคเก่าซึ่งหาได้ยากแล้วในรุ่นใหม่ๆ ครับ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีผู้โดยสารเป็นสุภาพสตรีใส่กระโปรงสั้น แนะนำว่าอย่าให้เธอนั่งเบาะหลังเลยครับเพราะไอ้กระจกนี่มันส่องเห็นลงไประดับใต้หัวเข่า ถ้าต้องรับสาวๆ นุ่งสั้นขึ้นรถ อย่ากางกระจกนี้ออกมา เปอร์เซ็นต์โดนเมียฆ่าสูงมาก

ในด้านการขับขี่ ต้องพูดกันก่อนว่า Honda CR-V เจเนอเรชันนี้ มีขุมพลัง 2 ระดับ คือ 2.0 ลิตร 150 แรงม้า เป็นตัวเริ่มต้น และรุ่น 2.4 ลิตร 170 แรงม้า มีไว้สำหรับคนที่ต้องการความกระฉับกระเฉงมากขึ้น ทั้งสองขุมพลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ 5 จังหวะ ซึ่งทนทานน้องๆ เกียร์ Toyota และไม่มากปัญหาเท่าเกียร์รุ่นใหม่ๆ แถมยังสามารถสนองการทำงานได้ดี ไม่กระตุกกระชากแบบ Honda ยุค 90s และฉลาดเดาใจคนขับ เวลาต้องการบู๊ แพตเทิร์นเกียร์จะเป็น P-R-N-D-2-1 และมีปุ่มที่หัวเกียร์ซึ่งพอกดแล้ว รถจะปิดการทำงานเกียร์ 4-5 ออก ส่วนระบบขับเคลื่อนนั้น มีทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้า และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ REAL-TIME 4WD ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อมาจากรุ่นเก่าให้มีความทนทานมากขึ้น ส่งกำลังขับไปล้อหลังได้มากขึ้น แต่เรียกว่าเป็นระบบที่พอช่วยรถขึ้นจากหล่ม หรือช่วยป้องกันอาการล้อหมุนฟรีบนถนนลื่น ไม่ใช่ระบบขับสี่ที่เน้นเกาะถนนแบบ Subaru หรือเน้นลุยทางโหดแบบพวก SUV ตัวโต

ถ้าคุณเลือกรุ่น 2.0 ลิตร คุณจะได้อัตราเร่งที่ค่อนข้างหนืดไปนิดสำหรับคนใจร้อน แต่น่าจะเพียงพอถ้าสมมติว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาคุณไม่เคยกดคันเร่งมิดติดพื้นรถเลย มันให้พลังบนทางเรียบพอๆ กับรถเก๋งตัวเล็กเครื่อง 1.5 ลิตร ที่เป็นเช่นนั้นเพราะน้ำหนักตัว CR-V ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ทะลุ 1.5 ตัน ก็เลยเป็นภาระเครื่องยนต์บ้าง ดังนั้นถ้าคุณใจร้อน ชอบรถแซงจบไว หรืออยากได้พลังสำรองไว้ไต่ทางชันภาคเหนือบ้าง รุ่น 2.4 ลิตรมีกำลังที่เหนือกว่าแบบชัดเจน ถ้าคุณกดคันเร่งเกิน 50% ถ้าไม่บรรทุกน้ำหนักเยอะนัก วัดกันแบบตัวเปล่า CR-V 2.4 พุ่งไปเร็วพอๆ กับ Fortuner 3.0 ได้ แต่ต้องใช้การลากรอบช่วยครับเพราะไม่ใช่เครื่องดีเซล และไม่มีเทอร์โบช่วยเสริมพลัง

แต่ข้อเสียที่ผมบอกไว้ตอนแรกว่าจะเฉลย มันอยู่ตรงนี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 2.0 ลิตร หรือ 2.4 ลิตร ไม่มีตัวไหนจัดว่าเป็นรถประหยัดน้ำมันเลยสักรุ่น รถ 2.4 ลิตรเกียร์อัตโนมัติขับเคลื่อนล้อหน้าของพ่อผม เติมแก๊สโซฮอล์ 95 วิ่งทางไกล 100-110 ประคองเท้าแทบตายยังได้แค่ 11.7 กิโลเมตรต่อลิตร ยิ่งถ้าใช้ในเมือง โอกาสเห็นตัวเลขดีกว่า 9 กิโลลิตรนั้นน้อยมาก ส่วนมากจะอยู่แถวๆ 7 ด้วยซ้ำไป ถ้าคุณเลือกรุ่น 2.0 ซึ่งจูนเครื่องมาประหยัดน้ำมันกว่า สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ผมให้บวกอย่างมากไม่เกิน 20-25% จากรุ่น 2.4 ลิตรครับ แถมถ้าขับแบบรีบๆ กดคันเร่งบ่อย จะยิ่งแทบไม่ต่างจากรุ่น 2.4 เลย ถ้าใครบอก Honda ประหยัดน้ำมัน มาลองตัวนี้ครับ กินดุกว่า Accord ที่เครื่องเท่ากัน

ทางแก้แบบจริงจัง ก็เห็นจะมีแต่หันไปพึ่งพาพลังงานทางเลือกอย่าง LPG ซึ่งโชคดีที่ช่างอู่แก๊สไทยเก่งๆ สมัยนี้เยอะแล้ว มีเครื่องมือที่ทำให้จูนแก๊สได้เนียนขึ้น รถ Honda เครื่องยนต์ R-Series 2.0 ลิตรและ K-Series 2.4 ลิตรติดแก๊สกันมาเยอะจนทางอู่รู้หมดแล้วว่าต้องจูนยังไง ต้องคอยเช็กส่วนไหน อาจไม่ทนเหมือนพวก Toyota แต่ไม่เปราะหรอกครับ

รถรุ่น 2.0 ลิตร จะใช้พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ซึ่งมีน้ำหนักเบามือเหมาะกับสุภาพสตรี แต่โหวงไปนิดเวลาวิ่งทางไกลเร็วๆ ส่วนรุ่น 2.4 ลิตรจะใช้พวงมาลัยเพาเวอร์แบบน้ำมันไฮดรอลิกดั้งเดิมที่น้ำหนักต้านมือเยอะกว่า ก่อนจะซื้อ ลองหมุนดูครับว่ามันหนักเกินไปสำหรับเราหรือไม่ ส่วนช่วงล่างนั้น ไม่นุ่มแบบรถยุโรปคันโต เวลาหักโค้งแรงๆ ล้อเกาะอยู่ แต่รถจะยวบ เวลาเจอถนนลูกคลื่น มีอาการโยกเยกบ้าง แต่ก็ยังสะเทือนน้อยกว่ารถ SUV ที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ คนส่วนมากนั่งแล้วไม่เวียนหัว ดังนั้นจึงเป็นรถแบบที่คุณขับไปทำงาน ขับกลับบ้าน ขับบนถนนพระรามสอง พระรามสามแล้วไม่ล้าตัวมากนัก แต่ถ้าใครขับเร็ว คงต้องหาทางปรับแต่งช่วงล่างกันไป เวลาไปลองรถก่อนซื้อให้สังเกตด้วยว่าใช้ยางอะไร เนื่องจากยางขนาด 225/65 ขอบ 17 นั้น มีทั้งยางประเภทนุ่ม และยางใช้งานหนักแบบกระบะ การเลือกยางที่ต่างกันทำให้ความนุ่มนวลบนถนนขรุขระต่างกันชัดเจนมาก ระบบเบรกเดิม มีผ้าเบรกเป็นจุดอ่อน ถ้าขับเร็วแนะนำให้เปลี่ยนผ้าเบรกยี่ห้อ/รุ่นที่ทนความร้อนสูงขึ้น

CR-V Gen 3 เป็นรถที่น่ารักอยู่อย่างคือ ไม่มีโรคประจำตัวเรื้อนชนิดส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับ สิ่งที่คุณจะพบในรถที่ผ่านการใช้งานมาบ้าง ก็คือสิ่งที่พังตามอายุ เช่น ลูกหมากช่วงล่าง ซึ่งถ้าไม่พาไปกระแทกแรงๆ บ่อยๆ ทำจบทีเดียวอยู่กันแสนโลได้ แอร์ไม่เย็นเพราะหน้าคลัตช์คอมแอร์พัง ให้ซ่อมที่อู่หรือร้านแอร์ที่ชำนาญ Honda อะไหล่บางส่วนจะสามารถแยกซ่อมได้ ประหยัดกว่าการเข้าศูนย์ เพราะศูนย์จะเปลี่ยนยกชิ้น ไม่แยกซ่อม เครื่องยนต์เดินสะดุด เวลาเร่งมีสะอึกบางๆ ถ้าพบอาการนี้คือ คอยล์จุดระเบิดเริ่มเสื่อม มักจะพังทุก 100,000 กิโลเมตร ไดชาร์จเสื่อม มีเสียงดัง เข้าอู่ทั่วไปได้ ลูกรอกสายพาน พังตามอายุ ถ้าเปิดฝากระโปรงฟังจะมีเสียงฟ้องนำมาก่อน

พูดง่ายๆ คือ มันเป็น Honda ที่ทนน้องๆ Toyota ล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นรถพ่อผม รถญาติ หรือของเพื่อนที่ผมสอบถามมา รถอายุ 10 ปีอัพ เปิดบิลมาจะมีแต่การซ่อมบำรุงแบบปกติ อะไหล่ที่พังหรือเสียแบบชุดใหญ่มีน้อยมาก เป็นรถที่ถือว่าไม่จุกจิก ออกแบบระบบมาเผื่อการใช้งานในเมืองไทยได้ค่อนข้างดี แม้แต่สนิมที่ Honda รุ่นใหม่ๆ พบกัน CR-V พ่อผมนี่ขนาดไปโดนมอเตอร์ไซค์เบียดสีหลุดมา ปล่อยไว้สามปีสนิมก็เป็นจุดอยู่แค่ตรงสีกะเทาะเท่านั้น

ทีนี้ ถ้าคุณคิดว่า จะเล่น CR-V Gen 3 แล้ว จะเล่นรุ่นไหน?

รถรุ่นนี้เปิดตัวในไทยตั้งแต่พฤศจิกายน 2006 โดยมีรุ่น 2.0 S, 2.0 E และ 2.4 EL ซึ่งถ้าจะเน้นซื้อรถเข้าถูก และซ่อมบำรุงถูกกะตังค์สุด ต้องเป็นรุ่น 2.0 S เพราะเป็นรุ่นเดียวที่ขับเคลื่อนล้อหน้าล้วน ชุดคลัตช์ส่งกำลังและเพลากลางก็ไม่ต้องมี ระบบปรับอากาศก็เป็นแอร์ธรรมดา ซึ่งรถลอตแรกๆ จะมีระบบทำความอุ่นมา แล้วทยอยตัดออกในลอตหลัง ตัว S นี้อุปกรณ์จะน้อยสุด ไม่มีปุ่มปรับเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ไฟตัดหมอก เบาะปรับไฟฟ้า ไฟหน้าก็เป็นแบบธรรมดา ซึ่งถ้าชนหรือพังก็เปลี่ยนได้ในราคาที่ถูกกว่า จึงเหมาะสำหรับคนที่มุ่งเน้นการใช้งาน ขับทั่วไป ลดจุดที่จะเสียเงินซ่อมในอนาคตลง

ถัดมาเป็นรุ่น 2.0 E ซึ่งภายนอกเกือบเหมือนรุ่น S ยกเว้นมีไฟตัดหมอกเพิ่มเข้ามา แต่คุณจะได้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ REAL-TIME 4WD และแอร์ออโต้ ปุ่มควบคุมวิทยุบนพวงมาลัย กับเซนเซอร์ถอยหลัง ส่วนรุ่นท็อป 2.4 EL จะได้ล้อ 7 ก้าน (2.0 เป็น 5 ก้าน) และเพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้าง i-Side SRS เบาะคนขับปรับไฟฟ้า ไฟหน้า HID เปิด/ปิดอัตโนมัติ ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พวกรถโฉมแรกนี้ จะใช้เครื่องเสียงแบบธรรมดาทั้งหมด ไม่มีจอกลางหรือกล้องถอยหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะหลายคนนำไปเปลี่ยนเครื่องเสียงเป็นแบบจอ เพิ่มกล้องถอยหลังกันเองหมดแล้ว ยกเว้นท่านที่ต้องการรักษาสภาพเดิม ลองดูลิสต์อุปกรณ์ที่ต่างกัน พิจารณารวมพฤติกรรมการขับ คนขับรถใจเย็น เน้นเบามือขับในเมืองเป็นหลัก 2.0 S และ E คือทางเลือก แต่ถ้าใจร้อน ต้องการพลังมากขึ้นก็ไป 2.4 แบบไม่ต้องลังเล รถที่ผลิตปี 2006-2008 พวกนี้ 2.0 S มักค่าตัวถูกสุด แต่ 2.4 EL กลับราคาสูสีกับ 2.0 E เพราะชื่อเสียงเรื่องการสวาปามน้ำมันคอยกดราคาไว้

ในช่วงปลายปี 2008 ต่อปี 2009 รัฐบาลไทยเริ่มโปรโมตน้ำมัน E20 รถของ Honda ก็ทยอยปรับระบบเชื้อเพลิงให้รองรับ รถรุ่นที่รองรับ E20 นี้ จะมีจุดสังเกตคือสติกเกอร์ E20 บนกระจกฝาท้าย ซึ่งมักจะเปื่อยซีดโดนขูดออกจนหมดแล้ว ยังไม่หมดหวังครับ เปิดฝาถังน้ำมันดู จะมีสติกเกอร์บ่งชี้ประเภทเชื้อเพลิง ถ้าเห็น E20 ก็จบ แปลว่าเติมได้

ต่อมาในเดือนธันวาคมปี 2009 Honda ประเทศไทยก็ปล่อยรุ่นไมเนอร์เชนจ์ของ CR-V Gen 3 ออกมา ซึ่งวิธีแยกความต่างระหว่างรุ่นแรก กับรุ่นหลังนี้ ดูที่กระจังหน้าครับ รุ่นใหม่จะดูแก่กว่า..เอ้าจริง ไม่เชื่อลองดูดีๆ รุ่นแรกเขาตีชิ้นโครเมียมรอบโลโก้ H เป็นทรงปีก ดูเฟี้ยวเลย แต่พอรุ่นไมเนอร์เชนจ์กลับเป็นเส้นเดี่ยวบางๆ ดูหรูแบบอนุรักษ์นิยม ส่วนช่องรับลมเหนือแผ่นป้ายทะเบียน รุ่นแรกกลับดูเรียบ แล้วรุ่นไมเนอร์เชนจ์กลับเป็นลายตาข่ายที่ดูสปอร์ต..เอ้า เอาไงฟระ ต่อมา กันชนหน้าจะต่างกัน รุ่นเก่า กันชนส่วนที่เป็นกาบสีดำหรือเทานั้นจะล้อมกรอบไฟตัดหมอก รุ่นใหม่จะเว้าหลบไฟตัดหมอก ล้ออัลลอย เดิมรุ่น 2.0 เป็น 5 ก้าน รุ่น 2.4 เป็น 7 ก้าน แต่รุ่นไมเนอร์เชนจ์ จะสลับกันครับ รุ่น 2.4 จะเป็น 5 ก้าน แล้ว 2.0 เป็น 7 ก้าน โดยที่ลายล้อก็จะเป็นลายใหม่หมด ด้านท้ายรถ ก็จะมีลักษณะกันชนท้ายต่างกัน ถ้ากาบสีดำ/เทาล้อมแผงทับทิมแดงล่าง นั่นคือรุ่นเก่าครับ

ส่วนภายใน ส่วนเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน อยู่ตรงแผงประตูช่วงที่เป็นก้านเหนี่ยวสำหรับจับดึงประตูปิด และถ้าดูบนหน้าปัด จอกลางหน้าปัดรุ่นไมเนอร์เชนจ์จะเป็นสีแบ็กกราวนด์จากสีดำเป็นสีน้ำเงินฟ้าครับ ชุดเครื่องเสียงในรุ่น 2.0 ก็จะมีหน้าตาเปลี่ยนไป..คือดูโบราณกว่าเดิม แต่จุดนี้เดี๋ยวคุณก็ไปหาเครื่องเสียงจอทัชสกรีนใหม่ๆ ใส่ อย่าคิดมาก บรรดารุ่นที่มีให้เลือกก็ยังคงเดิม และอุปกรณ์ที่ให้มาก็คล้ายเดิม แต่มีการเพิ่มรุ่น 2.4 EL ขับเคลื่อนล้อหน้ามาเป็นทางเลือกใหม่ ราคาแพงกว่า 2.0 E 4WD ไม่มากและอุปกรณ์เท่าตัวท็อป ต่างกันเพียงแค่ 2.4 ตัวขับหน้าจะไม่มีเบาะฝั่งคนนั่งปรับไฟฟ้า ในขณะที่ 2.4 ขับสี่จะได้เพิ่มมา (รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์เบาะคนนั่งจะปรับด้วยมือ)

รถ 2.4 ลิตรไมเนอร์เชนจ์ทุกรุ่นจะได้เครื่องเสียงใหม่เป็นจอทัชสกรีน พร้อมระบบนำทางฝังในตัว (ซึ่งในพ.ศ.นี้ อย่าไปใช้เลยครับ โบราณแล้ว) และกล้องถอยหลัง มีระบบเชื่อมต่อ Bluetooth แบบโบราณที่ต้องเป็นตัวรับสัญญาณก้อนดำๆ แปะอยู่ที่เสาด้านในรถฝั่งคนขับ แต่ที่สำคัญและเป็นของดี คือระบบช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวและการลื่นไถล Honda VSA ซึ่งถูกพัฒนามาและติดตั้งใช้กับ CR-V เป็นครั้งแรกในไทยกับ Gen 3 ไมเนอร์เชนจ์นี้ คนที่ต้องขับรถทางไกลบ่อยๆ ขับผ่านบริเวณถนนลื่น มีสวนยาง มีรถบรรทุกปลาผ่านเยอะๆ เล่นตัว 2.4 ไมเนอร์เชนจ์ไว้ก็ดีครับ ระบบ VSA มันพอจะช่วยกู้สถานการณ์ได้บ้าง ไม่ได้แปลว่ารถจะไม่หมุนนะ แต่มีสิทธิ์รอดมากกว่ารุ่นที่ไม่มี ส่วนในปี 2010 ช่วงปลายปี ก็มีการเปลี่ยนเครื่องเสียงจอกลางในรุ่น 2.4 อีกครั้ง เพราะเครื่องเสียงชุดเดิมนั้น เป็นแบบเล่น DVD ได้ จะใส่แผ่นต้องกดปุ่มแล้วจอจะสไลด์ลงให้คุณใส่แผ่น ปัญหาคือ จอสไลด์มักพังครับ หรือไม่ก็อาจจะแพงเกิน ปี 2010 ช่วงปลายปี Honda เลยเปลี่ยนจอให้ขนาดเล็กลง ดูน่าเกลียดน่าชังขึ้น แต่มีช่องใส่แผ่น DVD จากข้างหน้าได้เลย จอไม่ต้องสไลด์ ขนาดจอเล็กลง แต่ระบบ Bluetooth ก็เป็นแบบใหม่กว่าที่ฝังอยู่ในตัวจอ ไม่ต้องมีก้อนสัญญาณแปะที่เสาในรถอีกต่อไป

นี่คือรายละเอียดของอุปกรณ์ทั้งหมด แต่ถ้าอ่านแล้วปวดหัว ก็แบ่งง่ายๆ ว่า ถ้าอยากเน้นขับสบาย ไม่เน้นแรง เลือก 2.0 ได้เลย ส่วนคนที่อยากได้พลังมากขึ้น ให้เล่นตัว 2.4 และคนที่ขับทางไกลฝ่าฝนบ่อยๆ รถ 2.4 ไมเนอร์เชนจ์คือตัวเลือกที่เหมาะที่สุด แต่พวกรถปีท้ายๆ แถว 2010-2012 ราคาก็จะขยับไปหา 350,000-400,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพ

ตามที่ผมบอก CR-V ไม่ใช่รถแบบที่คุณซื้อมาเพราะอยากให้ใครมามองคุณ แต่มันคือรถที่อยู่กับคุณแล้วถังไม่แตก ไม่ค่อยมีเรื่องให้ปวดหัว..ยกเว้นเรื่องค่าน้ำมันที่คุณต้องเข้าใจว่า ตัวรถนั้นไม่ได้เล็ก และถ้าเทียบกับรถที่ตัวหนักใหญ่เท่ากัน เครื่องยนต์ใกล้เคียงกันอย่าง Nissan X-Trail ซึ่งเป็นรถเจเนอเรชันใหม่กว่า CR-V ก็กินจุกว่าไม่มาก แต่ที่ต้องเตือนเรื่องค่าน้ำมัน เพราะหลายคนที่โดดมาจับ CR-V Gen 3 มือสองนั้น รถคันเดิมอาจเป็นรถเล็กอย่าง Soluna หรือ City ซึ่งหากไม่เตรียมใจรับเรื่องนี้ไว้ อาจจะมีอาการช็อกน้ำบ้าง แต่ถ้าทนไม่ไหวจริง LPG ช่วยคุณได้

CR-V Gen 3 เป็นรถที่คุณซื้อมาเพื่อสร้างความเร้าใจให้ชีวิต แต่เป็นรถที่คุณซื้อมาเพื่อใช้ชีวิตไปกับมัน อย่าคาดหวังสิ่งใดมากไปกว่าความเป็นรถครอบครัว แอร์เย็น นั่งสบาย มีพื้นที่ให้มากมายและไม่พังจุกจิกมากเรื่องบ้าบอ เป็นรถที่ทั้งชายและหญิงสามารถขับได้สบาย มีความคล่องตัวพอสำหรับเมืองแออัด ใหญ่พอให้วิ่งต่างจังหวัดได้โดยไม่ปลิวเวลารถบรรทุกแซง ถ้าคุณกำลังมองหารถประเภทนี้อยู่ ลองดูสิครับ มันอาจเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคุณก็เป็นได้ หารถให้สภาพดีสุด ลงทุนซ่อมแบบไม่ขี้เหนียว ใช้ต่ออีกสิบปี ผมว่ารถมันทนได้ครับ ไม่เช่นนั้น คุณพ่อผมท่านคงไม่พูดหรอกว่า พ่อจะใช้รถคันนี้เป็นคันสุดท้ายในชีวิต.

Pan Paitoonpong

คุณกำลังดู: ส่องรถมือสองน่าสน HONDA CR-V GEN 3

หมวดหมู่: รถยนต์

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด