แก่แค่กายแต่ไฟยังอยู่ ครบรอบครึ่งศตวรรษ Porsche 911 Carrera RS 2.7

ครบรอบ 50 ปี ตำนานรถสปอร์ตหน้ากบ Porsche 911 Carrera RS 2.7

แก่แค่กายแต่ไฟยังอยู่ ครบรอบครึ่งศตวรรษ Porsche 911 Carrera RS 2.7

ผมยังจำความรู้สึกตอนได้ขับ 911 GT3 ครั้งแรกในชีวิตที่สนามแข่ง Sepang ในมาเลเซียได้ มันคือรถที่ผมไม่ได้ใส่ใจจะขับในช่วงแรก เพราะก่อนหน้านั้นก็ได้ขึ้นขับ 911 Turbo S ซึ่งเป็นรถที่แรงม้ามากที่สุดในคอกของ 911 ขณะนั้นมาแล้ว ทำไมผมจะต้องตื่นเต้นกับรถ 500 แรงม้าถ้าผมขับรถ 560 แรงม้ามาแล้ว? แต่แค่ขับไปครึ่งรอบสนาม ก็พลันเปลี่ยนความคิด มีบางอย่างของรถที่มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ คันเร่งคมกริบ แตะเป็นพุ่ง เครื่องยนต์ 4.0 ลิตร โตเท่ารถหรูคันใหญ่แต่ลากรอบได้ทะลุ 8,000 เสียงหวานหูเป็นที่สุด ในขณะที่ผมขับ Turbo S แล้วจุกเพราะแรงดึง GT3 คือรถที่ผมขับแล้วหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อกระแทกคันเร่งแล้วฟังเสียงเครื่อง ลากให้แตะขีดแดง ตบแป้นเปลี่ยนเกียร์ แล้วรับแรงกระชากที่โดดอร่อยแบบกำลังพอดี

ผมขับรถ GT3 RS Weissach Package คันนั้น และอีกหลายเดือนต่อมา ตามด้วย GT 3 รุ่นปกติอีกครั้ง ตอนนี้ถ้าใครถามผมว่าหากขโมย 911 มาขับได้คันนึง 1 วันจะเลือกรุ่นไหน GT3 คือคำตอบเดียวที่เด่นออกมา มันคือสิ่งที่เจ้าของ GT3 หลายคนจะหัวเราะหึหึ แต่คนที่ไม่เคยขับต้องมาลองจริงๆ รถหนักประมาณ Honda Accord แต่เครื่องมีกำลังเท่า Integra Type-R โมดิฟายเบาๆ สองเครื่องรวมกัน มันจะทำให้คุณลืมเรื่องตัวเลขต่างๆ แล้วปล่อยตัวเองให้บ้าไปกับรถได้เลย

เมื่อทาง Porsche Heritage ได้เผยแพร่บทความภาษาอังกฤษ ถึง Porsche 911 Carrera RS 2.7 ขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้ ผมจึงขอนำมาสรุปเล่าให้ฟังสักหน่อย อย่าเพิ่งคิดว่ารถเก่าอายุ 50 ปีจะมีอะไรน่าสน เพราะถ้าวันหนึ่งคุณรวยพอจะมี 911 ได้หลายคัน คุณก็ควรทราบด้วยว่า 911 Carrera RS รุ่นแรกคือหนึ่งใน Porsche ที่นักสะสมพยายามไขว่คว้ากันมากที่สุด มันคือรถที่สร้างพื้นฐานของสิ่งที่ GT3 เป็นในวันนี้ นั่นก็คือ การเป็น 911 ที่คุณซื้อมาขับบนถนนได้ ขึ้นทะเบียนได้ แต่วิธีการจูนรถ วิธีการสร้าง มีนิสัยเป็นรถแข่งอยู่ในตัวมาก มีพลังม้าสูงกว่า 911 ปกติ และมีความคล่องตัวอย่างร้ายกาจ

Porsche เริ่มพัฒนารถรุ่นนี้เมื่อเดือนพฤษภาคม 1972 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะผลิตจำหน่ายให้ได้จำนวนตามเงื่อนไขเพื่อเข้าร่วมแข่งรายการมอเตอร์สปอร์ต Group 4 Special GT ซึ่งแปลว่า ต้องขายให้ได้ 500 คันก่อนจึงจะเข้าแข่งได้ ดังนั้น ความแรง ความเบา และการบังคับควบคุมที่ดีเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ความมีเสน่ห์ของรถ ที่จะยั่วให้เศรษฐี 500 คนจ่ายเงินจองภายในเวลาอันรวดเร็ว จะได้รีบๆ เข้าแข่ง

การควบคุมรถ คือสิ่งที่เป็นปัญหาของ 911 ในก่อนหน้านี้ เพราะการวางเครื่องยนต์เลยแทร็กล้อหลังออกไป ทำให้เป็นรถที่หน้าเบาเหินเวลากดคันเร่ง และมีแนวโน้มจะท้ายปัดหมุนได้หากเข้าโค้งแล้วใช้จังหวะเร่ง/เบรกผิด สิ่งแรกที่ทีมวิศวกรทำคือการปรับปรุงหลักอากาศพลศาสตร์ของรถ แต่ไหนแต่ไรมา 911 เป็นรถท้ายลาด ด้านหน้าเรียบ ซึ่งทำให้ขาดแรงกดอากาศ (Downforce) บนตัวรถที่ความเร็วสูง 911 Carrera RS 2.7 จึงกลายเป็น Porsche รุ่นแรกที่มีสปอยเลอร์หน้า/หลัง โดยด้านหลังนั้น ความที่มีทรงตวัดโก่งงอนขึ้น ฝรั่งจึงเรียกว่า “Ducktail” (หางเป็ด..บ้านเราเรียกตูดเป็ด) จนกลายเป็นฉายาของรถรุ่นนี้ในภายหลัง

การปรับทรงรถในสมัยที่คอมพิวเตอร์ยังเป็นของแปลกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คุณไม่สามารถสั่ง Simulate บนจอได้ด้วยปลายนิ้ว สำหรับทีมแอโรไดนามิกส์ของ Porsche พวกเขาต้องลองติดตั้งหางหลังขนาดปกติก่อน แล้วทดสอบวัดความเร็วสูงสุด กับค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน จากนั้นเอารถมาถอดเปลี่ยนหางหลัง หรือรองแผ่นเหล็กเพิ่มความสูงของสปอยเลอร์ทีละ 2-3 มิลลิเมตร แล้วนำไปทดสอบ ทำแบบนี้ซ้ำจนถึงจุดที่ความเร็วสูงสุดมีค่าน้อยลง จึงย้อนไปดูว่า หางหลังสูงเท่าไรจึงจะได้ค่าความเร็วสูงสุดและค่า Cd เหมาะสมที่สุด และหางหลังแบบที่ Porsche เลือกนั้น สามารถสร้างแรงกดท้ายให้นิ่งได้ โดยที่ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศไม่เปลี่ยน และได้ความเร็วสูงสุดเพิ่มมา 4.5 กม./ชม. ลองคิดดูสิครับ กี่ร้อยชั่วโมงที่ต้องวิ่งต้องแก้ต้องปรับกันเพื่อให้ได้ 4.5 กม./ชม. นี้มา

เรื่องช่วงล่างนั้น ก็มีการปรับให้แข็งหนืดขึ้น แต่เท่านั้นเห็นจะไม่พอ เพื่อลดอาการท้ายปัดและเพิ่มแรงยึดเกาะเวลากระแทกคันเร่ง ทีมวิศวกรจึงขยายขนาดยางหลังให้กว้างขึ้นกว่า 911 รุ่นปกติ โดยในขณะที่ยางหน้า เป็นขนาด 185/70R15 ยางหลังก็ใช้ขนาด 215/60R15 ทำให้มันเป็น Porsche เวอร์ชันผลิตขายรุ่นแรกที่ใช้ยางหลังโตกว่ายางหน้า และเมื่อยางกว้าง ซุ้มล้อก็ต้องโตเพื่อรองรับกัน จึงเป็นที่มาของลำตัวช่วงท้ายซึ่งกว้างกว่ารุ่นปกติ 42 มม. นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดระบบเบรกเพื่อให้รับกับพลังที่เพิ่มขึ้น

ส่วนเครื่องยนต์ก็มีการปรับเพิ่มกำลัง จาก 911 รุ่นปกติที่มีความจุ 2.4 ลิตร 180 แรงม้า ก็ขยายความจุเป็น 2.7 ลิตร 210 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตร ซึ่งในภายหลัง ทาง Porsche ก็นำเครื่องยนต์รุ่นนี้ไปใส่รุ่น Carrera 2.7 (ไม่มี RS) และนำไปปรับลดแรงม้าลงเหลือ 155-175 ตัว ใส่ใน 911 และ 911 S ซึ่งเป็นรุ่นปกติ ส่วนเครื่องที่นำไปใช้ในรถแข่งสนามอย่าง Carrera RSR นั้น ขยายความจุเป็น 2.8 ลิตร ทำแรงม้าได้ถึง 300 ตัวในรถที่เบาแค่ 900 กิโลกรัม

แล้วทำไมถึงตั้งชื่อรุ่นว่า Carrera RS? คำว่า Carrera นั้นเคยถูกใช้มาก่อนใน Porsche 356 รุ่นพิเศษ สร้างขึ้นหลังจากที่ Porsche ไปชนะการแข่งขันรายการ “Carrera Panamericana” มา โดยคำว่า Carrera นั้นเป็นภาษาสเปน แปลว่า “การแข่งขัน” และ RS นั้น ย่อมาจากคำว่า RennSport ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน แปลว่า Racing หรือการแข่งรถนั่นเอง ลงทุนตั้งชื่อขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นรถที่เน้นสมรรถนะ ก็ไม่ทราบจะว่าอย่างไรแล้ว แอบเสียดายนิดๆ เหมือนกันที่ชื่อ Carrera เคยอยู่ในรถระดับสูงสุดของ 911 มาทุกวันนี้ กลับอยู่บน 911 รุ่นที่แรงน้อยสุดสามรุ่นแรกในไลน์อัพเสียอย่างนั้น

หลังจากที่เซตสเปกทางวิศวกรรมทุกอย่างลงตัว Porsche ก็ตัดสินใจว่า “เราจะทำ RS มาขายให้กับทั้งคนที่ขับใช้งานชีวิตประจำวันและซิ่งบนถนน กับคนที่มุ่งหวังจะใช้รถเพื่อนำไปทำเป็นรถแข่งต่อ” และการปรับตัวรถให้สามารถรับหน้าที่ได้ทั้งสองอย่างภายในรถคันเดียวนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณพยายามจะเป็นทั้งเหยี่ยวและไก่ คุณจะลงท้ายด้วยการเป็นเป็ด

ทางออกก็คือ ทำตัวรถหลักออกมาก่อน แล้วตั้งราคาไว้ 34,000 ดอยซ์มาร์ค จากนั้น ลูกค้าก็ต้องติ๊กเลือกว่าจะปรุงแต่งรถไปในทางใด แบบแรกเรียกว่า Touring Package (โค้ดออปชั่นคือ M472) หรือเรียกชื่อสั้นๆ ว่า “RS Touring” คือรถที่ใส่อุปกรณ์ต่างๆ ครบ ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ น้ำหนักตัวถัง จบที่ 1,075 กิโลกรัม ถ้าเลือกแบบนี้ คุณต้องเติมเงินเข้าไป 2,500 ดอยซ์มาร์ค ส่วนแบบที่สองคือ Sport (โค้ด M471) หรือเรียกว่า “RS Lightweight” ซึ่งจ่ายเงินเพิ่มจากตัวรถพื้นฐานแค่ 700 ดอยซ์มาร์ค แต่คุณจะได้ตัวรถที่ผ่านการลดน้ำหนักแบบสะบั้นหั่นแหลก โยนเบาะหลังทิ้ง โยนพรมทิ้ง นาฬิกา ตะขอแขวนเสื้อ พนักเท้าแขนโดนถอดออกหมด เบาะแบบน้ำหนักเบา แม้กระทั่งโลโก้ Porsche ยังใช้วิธียึดด้วยการหยอดกาวเลยครับ

แต่ผลจากการลดน้ำหนัก ก็ทำให้ 911 Carrera RS 2.7 “Sport” นั้นเบาเพียงแค่ 960 กิโลกรัม (ลดไป 115 กิโลกรัม) สร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จบภายใน 5.8 วินาที กลายเป็นรถเยอรมันเวอร์ชันผลิตขายคนทั่วไปรุ่นแรกที่สามารถทลายกำแพงตัวเลข 6 วินาที 0-100 ลงได้ (ทดสอบโดยนิตยสารเก่าแก่อย่าง Auto Motor und Sport) และทำความเร็วสูงสุดได้ 245 กม./ชม. ส่วนรุ่น Touring ก็ดุไล่ๆ กัน โดยตัวเลขจะกลายเป็น 6.1 วินาที และ 240 กม./ชม. ตามลำดับ

Porsche นำ Carrera RS 2.7 ไปโชว์โฉมครั้งแรกที่ Paris Motor Show วันที่ 5 ตุลาคม ปี 1972 และภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน พวกเขาก็ขายรถรุ่นนี้ได้ครบ 500 คัน ผ่านเกณฑ์ Homologation ในการเข้าแข่งเร็วกว่าที่คาดไว้อย่างมาก ความนิยมจากยอดที่สั่งเข้ามา ทำให้ Porsche ยังต้องผลิตต่อไปอีก จนได้ตัวเลข 1,580 คัน เป็นรถ RS Touring 1,308 คัน และ RS Sport 200 คัน ที่เหลือเป็นรถแข่ง หรือรถทดสอบอื่นๆ

ตบท้ายด้วยคำโปรยสำหรับการตลาดเก๋ๆ คิดโดย Porsche เยอรมันในสมัยนั้น อาจจะยาวหน่อย แต่ฟังแล้วเข้าใจรถแบบจบๆ เขาเขียนเอาไว้ว่า “Porsche 911 Carrera RS 2.7 คือรถที่ ขับไปสนามแข่ง แข่งในสนาม แล้วก็กลับบ้านเองได้แบบไม่ต้องมีใครหามส่ง คุณจะขับไปทำงานออฟฟิศวันจันทร์ ตีทริปยาวไปเจนีวาในวันอังคารแล้วขับกลับในเย็นวันนั้นเลยก็ได้ (หมายเหตุ: ระยะทางจากสตุตการ์ทไปเจนีวา ไปกลับคือ 1,018 กม.) แล้ววันพุธ? ก็ช็อปปิ้งในเมือง ขับคลานในเมืองสบายอารมณ์ หัวเทียนไม่บอด คลัตช์ไม่ลื่นไม่ดัง วันพฤหัสฯล่ะ? ไฮเวย์ มอเตอร์เวย์ ทางภูเขา ทางลูกรัง ก็ขับไปสิ วันศุกร์ขับระยะสั้นๆ สตาร์ตตอนเครื่องเย็นก็ติดง่าย วันเสาร์ เก็บกระเป๋าใส่รถขับไปฟินแลนด์ไหมล่ะ - นี่คือ Carrera RS จะอัดโหดแค่ไหน จะใกล้หรือไกล มันพร้อมเสมอ”

จะเห็นได้ว่า ปรัชญาในการสร้างรถสปอร์ตของ Porsche ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน ต่างจากวันนี้ไม่มากเลย แม้ว่าถ้อยคำที่ใช้ เทคโนโลยีที่มีจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าไม่ใช่ว่าคุณไปสั่งรถในสเปกสำหรับแข่ง หรือใส่อุปกรณ์ที่คล้ายรถแข่งสนามจนท่วมคัน Porsche เกือบทุกคัน จะมีนิสัยในแบบเดียวกับที่ 911 Carrera RS 2.7 สร้างแม่พิมพ์ที่ดีเอาไว้ ตามสูตรแบบที่ผมรวบให้ใหม่ว่า ชนะการแข่งในวันอาทิตย์ พิชิตยอดหญิงคืนวันเสาร์ ใส่กระเป๋าขับเที่ยวเมื่อต้องการ ขับไปทำงานก็ได้นะ

เออ แบบนี้สิฟะ สั้นดีเข้าใจง่าย.

Pan Paitoonpong

คุณกำลังดู: แก่แค่กายแต่ไฟยังอยู่ ครบรอบครึ่งศตวรรษ Porsche 911 Carrera RS 2.7

หมวดหมู่: รีวิวรถใหม่

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด