ขุดกระดูกเจ้าคุณปู่ 10 สุดยอดคลาสสิกคาร์ที่น่าสะสม!
ส่อง 10 สุดยอดความแพงกับรถคลาสสิกขึ้นหิ้งที่กลายเป็นของสะสมสำหรับมหาเศรษฐี....
ทุกวันนี้ เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก เรามีรถไฟฟ้าที่วิ่งได้ใกล้เคียงกับซุปเปอร์คาร์ และมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถี่ยิบทุกปีด้วยสเปกอัตราเร่งเร้าใจระดับยิ่งยวด จากแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้าตัวโตพอๆ กับเครื่องปั่นไฟหรือเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ หรือแม้แต่ V12 6.0 ลิตร ที่เลิกผลิตไปแล้วเพื่อหลีกทางให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า รถใหม่เหล่านั้นมาพร้อมฟีเจอร์ไฮเทคมากมายที่แม้แต่สายลับอย่างเจมส์ บอนด์ก็ยังอิจฉา อย่างไรก็ตาม เสน่ห์และความเท่ รวมถึงจิตวิญญาณของรถคลาสสิกก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองเป็นแฟนคลับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเหนียวแน่น หรือเป็นเพียงผู้ชื่นชอบการออกแบบสไตล์วินเทจของรถโบราณ นี่คือรถคลาสสิกที่ดีที่สุดในโลกบางรุ่นเพื่อความเพลิดเพลินในการสะสมสำหรับคนรักรถเก่าที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ในอดีตและตำนานที่น่าจดจำของครอบครัวระหว่างการครอบครอง
1. Jaguar E-Type 1965
เมื่อตำนานอย่าง Enzo Ferrari อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า Jaguar E-Type
คือรถที่สวยที่สุดเท่าที่เคยมีมา คุณควรมั่นใจได้เลยว่า เมื่อคนอย่าง
Enzo พูด ก็จะไม่มีใครแสดงความคิดเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้
Jaguar E-Type ได้รับการออกแบบตามรุ่น D-type ซึ่งเป็นรุ่นก่อนหน้า
และเป็นรถที่ชนะการแข่งขันระยะไกล 24 ชั่วโมงถึงสามสมัยในสนามแข่ง Le
Mans เจ้า Jaguar E-Type
ยกระดับการออกแบบให้เพรียวลมด้วยรูปทรงขวดโค้ก
มันเร็วกว่าเฟอร์รารีในราคาเพียงเศษเสี้ยวของม้าลำพองในยุคนั้น
และอยู่ในการผลิตตั้งแต่ปี 1961 - 1975 คุณค่าสำหรับนักสะสม
เสือกระโดดE-Type รุ่นที่น่าเก็บที่สุดอยู่ในยุค 1961 - 1968
เครื่องยนต์แถวเรียง 6 สูบ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์คู่Tripple
SU Carburetors, HD8 2 ความจุ 4,235 ซีซี กำลัง 265 แรงม้า แรงบิด 383
นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา Model 8 Bord Warner 4-Speed
Manual ช่วงล่างเจ๋งขนาดวิ่งเร็วๆ 200
กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ยังนิ่งแบบจับพวงมาลัยมือเดียวได้!
ถ้าโชคดีหารถรุ่นที่เป็นสุดยอดของสะสมเจอ E-Type รุ่น Roadster
จะมีราคาประมาณ$324,500 เหรียญ คิดเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ 11,101,000
บาทเท่านั้นเองละครับ
2. Maserati Ghibli 4.7 1966
ค่ายตรีศูลผลิตรถสปอร์ต Ghibli 4.7 ในปี 1966 หลังจากนั้น
ความเซ็กซี่ของรถรุ่นนี้ทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Maserati
แทบจะในทันที เพราะการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว
รูปทรงที่งดงามดุดันเกือบจะเหมือนกับปลาฉลาม Ghibli 4.7
มีตัวถังให้เลือก ทั้งแบบคูเป้และแบบเปิดประทุน (รู้จักกันในชื่อ
Ghibli 4.7 Spyder) Ghibli 4.7 มีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับ Lamborghini
บางรุ่นที่ขึ้นหิ้งรถคลาสสิก ด้วยความนิยมทำให้รถรุ่น Ghibli
ของMaserati
ยังคงผลิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ในฐานะสปอร์ตซีดานที่ทรงพลังและงดงาม
เครื่องยนต์ V8 ความจุ 4,719 ซีซี เครื่องยนต์ NA
หายใจเองโดยไม่มีการเอาเปรียบเชิงกลด้วยระบบอัดอากาศ หรือ Naturally
Aspirated ระบบส่งกำลังใช้เกียร์ธรรมดา 5 สปีด กำลังสูงสุด 330 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 393 นิวตันเมตร ตัวเลขสมรรถนะของเทพเจ้าโพไซดอนคันนี้
เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 247.8
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ราคาในปัจจุบันสำหรับรถสภาพดีที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ประมาณ $304065
เหรียญ คิดเป็นเงินบาทไทยอยู่ที่ 10,412,000 บาท
3. Aston Martin DB5 1963
ในทำเนียบรถยนต์คลาสสิกระดับขึ้นหิ้ง
มีการรวบรวมรายชื่อรถคลาสสิกโดยควบรวม
รถสปอร์ตแห่งตำนานของเกาะอังกฤษเข้าไปด้วยทุกครั้ง
รถรุ่นที่เป็นยานพาหนะประจำตัวของสายลับ 007 นั่นก็คือ Aston Martin
DB5 รถคูเป้หน้าตาคล้ายปลาทองที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก
จากบทบาทนำแสดงในภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ หลายตอนที่ DB5
รับบทเป็นรถของพระเอกสายลับอังกฤษจอมเจ้าชู้ ปัจจุบัน Aston Martin
DB5
เป็นรถสปอร์ตที่หาได้อย่างยากเย็นหากเจ้าของผู้ครอบครองไม่เสียชีวิต
หรือจำเป็นที่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก น่าเศร้าที่ DB5
เวอร์ชันในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้มาพร้อมกับอุปกรณ์พิเศษใดๆ
แต่รูปลักษณ์ภายนอกและงานตกแต่งภายใน หนัง
พรมขนสัตว์และการออกแบบที่มีสไตล์แบบพิเศษ
ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องหันกลับมามอง
เมื่อคุณขับมันตามถนนพร้อมชุดสูททักซิโด้ที่ดีที่สุด Aston Martin DB5
วางเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ความจุ 4.0 ลิตร
ระบบเชื้อเพลิงคาบูเรเตอร์ 3 SU
ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ด้วยน้ำมัน กำลังสูงสุด 290 แรงม้า
แรงบิด 390 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา ZF 5 สปีด
และขับเคลื่อนล้อหลังพร้อมเฟืองท้ายลิมิตเต็ดสลิป 0-100 กิโลเมตรใน
8.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถเดิมๆ
สภาพดีแบบสะสม ราคาในปัจจุบันประมูลกันไปถึง $6,400,000 เหรียญ หรือ
219,136,000 บาท ใครครอบครองไว้ถ้าขายก็มีแต่ได้กำไรละครับ
4. Mercedes-Benz 300SL Gullwing
Mercedes-Benz 300SL Gullwing
เป็นรถสปอร์ตที่สรรค์สร้างคำว่าซุปเปอร์คาร์ควบคู่ไปกับ Lamborghini
Miura
มันเป็นรถสปอร์ตตราดาวที่เร็วที่สุดในยุคนั้นและเป็นแชมป์การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบหลายสนามที่แท้จริง
300SL Gullwing มีรูปลักษณ์ล้ำยุคที่งดงาม ไฟหน้ากลมโต
กระจังหน้าตราดาวสามแฉกขนาดใหญ่ จุดเด่นของมันก็คือ
ประตูปีกนกนางนวลที่ได้รับการตั้งชื่อว่า Gullwing ส่วนคำว่า 'SL'
ย่อมาจาก 'super light' (ก่อนหน้านี้ Mercedes
เรียกรถสปอร์ตในกลุ่มนี้ว่า 'sport light')
ซึ่งหมายถึงแชสซีที่มีน้ำหนักเบาและให้ความคล่องตัวยามขับเคลื่อน
ขุมกำลังคลาสสิกเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง ความจุ 3.0 ลิตร
ระบบเชื้อเพลิง หัวฉีด Bosch Fuel Injection กำลังสูงสุด 215 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 275 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 4 สปีด
เครื่องยนต์วางตามยาวด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง อัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 8.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 217
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาในปัจจุบันอยู่ที่ $1,556,817 เหรียญยูเอส
หรือเท่ากับ 53,353,000 บาท
5. Chevrolet Camaro SS350 1969
Chevroletเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์เก่าแก่ของอเมริกา คบหากับ Ford
ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ของโลกมาเป็นเวลานาน
การแข่งขันนั้นมาถึงจุดสูงสุดในยุค 60 ด้วยการเปิดตัว Ford Mustang
ทำให้ Chevrolet เริ่มลงมือทำงานกับรถสปอร์ตที่ทรงพลังยิ่งกว่า
ในชื่อรหัสว่า Panthe หรือ 'เสือดำ' รถรุ่นนี้ ถูกตั้งชื่อว่า Camaro
ซึ่งหลังจากออกขาย Camaro ในปี 1969 SS350
เข้ารับตำแหน่งซุปเปอร์สปอร์ตคาร์อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ Camaro
หลากหลายรุ่น ถูกผลิตออกมาขายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่รุ่นคลาสสิกที่มีแถบลายรถแข่งเป็นรถที่ยากที่จะเอาชนะได้บนทางตรง
คุณต้องรอจนถึงโค้งแคบๆ จึงจะมีโอกาสแซงขึ้นหน้า Camaro ได้
เครื่องยนต์เบนซิน
GM Chevrolet Small-Block V-8 350 spark-ignition 4-stroke
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาบูเรเตอร์ ความจุเครื่องยนต์ 5,733 ซีซี
กำลังสูงสุด 304 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 515 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 190
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาในปัจจุบันสภาพเดิมๆ ประมาณ$84,000 เหรียญ
หรือคิดเป็นเงินไทยจะเท่ากับ 2,877,000 บาท
6. Ford Boss Mustang 302 1970
เมื่อรุ่นรถ Mustang มีคำว่า Boss หรือ 'เจ้านาย' อยู่ในชื่อ
คุณก็รู้ว่ามันหมายถึงธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในการเอาชนะรถสปอร์ตจากฝั่งยุโรปของ
Ford เจ้า Boss 302
ถือกำเนิดขึ้นมาจากการแข่งขันทางการตลาดที่ยาวนานกับ Chevrolet ซึ่ง
Ford ตั้งเป้าที่จะผลักดันให้Boss Mustang กลายเป็นราชาบนท้องถนน
ผลลัพธ์ที่ได้คือหนึ่งในไอคอนที่แท้จริงของโลกแห่งยานยนต์ที่มีสุนทรียภาพและประสิทธิภาพ
การปรับแต่งอย่างจริงจังทำให้มี 'มัดกล้าม'
อยู่ในรถมัสเซิลคาร์อย่างแท้จริงซะที
หากคุณต้องการตัวเลือกที่ทรงพลังกว่านี้ ก็ยังมี Mustang Boss 429
ซึ่งต้องดัดแปลงจากของเดิมเพื่อให้เข้ากับเครื่องยนต์บิ๊กบล็อก
ขุมกำลัง 302 CID (5.0L) Boss 302 OHV V8 (1969–1970) ความจุ 4,949
ซีซี กำลังสูงสุด 290 แรงม้า แรงบิด 395 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลัง
เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ตัวเลขสมรรถนะในยุค 70 เร่งจาก 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 210
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาในทุกวันนี้ของม้าเจ้านายรุ่น 302 อยู่ที่
$192,500 เหรียญยูเอส หรือประมาณ 6,598,000 บาท
7. Lamborghini Miura 1966
ปี ค.ศ. 1965 ในงานแสดงรถยนต์แห่งตูริน อิตาลี Ferruccio Lamborghini
นายใหญ่ของแบรนด์กระทิงเปลี่ยว
ก็ได้บรรจงสร้างรถสปอร์ตที่กลายเป็นตำนานและเป็นเกียรติประวัติของบริษัท
Lamborghini
แบรนด์ที่ผลิตแต่รถไถนาแล้วหันมาสร้างรถสปอร์ตที่ทุกคนถวิลหา
ในงานแสดงรถที่ตูริน ผู้คนที่เดินชมงานต่างจ้องมองจนแทบไม่กะพริบตา
เพราะมันคือรถ Lamborghini Miura
ที่ออกแบบโดยสถาบันดีไซน์รถยนต์ชั้นนำของอิตาลี Miura
มีแชสซีแบบโมโนค็อก ใช้เครื่องยนต์ V12
วางตามขวางติดตั้งไว้กลางลำตัวรถ ซึ่งในสมัยนั้นมีเพียงรถแข่งและรถ
FERRARI บางรุ่นเท่านั้นที่วางเครื่องยนต์ในลักษณะนี้
มันมีเครื่องยนต์ไม่มีระบบอัดอากาศตั้งคร่อมอยู่บนชุดเกียร์
และมีระบบระบายความร้อนขนาดเล็กเพื่อลดน้ำหนัก
ท่อไอเสียที่แม้แต่ซุปเปอร์คาร์ในยุคนี้ยังลอกแบบมาจากมัน Lamborghini
Miura สามารถทำความเร็ว 0-62 ไมล์ หรือ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน
7 วินาที และไปถึง 100 ไมล์ได้ภายในเวลา 15 วินาที ซึ่งในยุค 60
มีรถยนต์เพียงไม่กี่คันที่ทำได้ รายละเอียดขุมกำลังของ Lamborghini
Miura ซุปเปอร์คาร์คันแรกของโลก เครื่องยนต์ V12 ปริมาตรความจุ 3,929
ซีซี ลักษณะการวาง เครื่องยนต์วางตามขวาง กลางลำ (MID MOUNTED)
แรงม้าสูงสุด 350 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 367
นิวตันเมตร ที่ 5,100 รอบต่อนาที ระบบเกียร์ manual 5 speed
ขับเคลื่อนล้อหลังน้ำหนัก 1,295 กิโลกรัม อัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 262
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปีที่ผลิตจำหน่าย 1966-1973 ราคาขณะที่วางตลาดในปี
1966 อยู่ที่ 8,050 ปอนด์ ราคาในขณะนี้ (2022) 300,000-500,000 ปอนด์
-$ 3,000,000 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 102,882,000 บาท ขาดตัว
และหารถได้ยากมากๆ
เนื่องจากตกไปอยู่ในมือของมหาเศรษฐีนักสะสมหรือนักเก็งกำไรที่หารายได้จากการขายรถคลาสสิกระดับเทพ
8. Chevrolet Corvette Stingray 1965
Stingray เป็น Corvettes
รุ่นที่สองและนำความนิยมของแบรนด์ไปสู่ยานยนต์สปอร์ตในกลุ่ม premium
ซึ่งเต็มไปด้วยรถสปอร์ตชั้นดีจากฝั่งยุโรป ในขณะที่ Corvette
ดั้งเดิมเป็นรถที่ดีในตัวของมันเอง Stingray ถือว่าดีกว่าในทุกๆ ด้าน
ทั้งรูปทรง และไดนามิก เรือนร่างมีขนาดเล็กกว่า คล่องตัวกว่า
เร็วกว่าCorvette รุ่นก่อนๆ
และเป็นรถยนต์อเมริกันคันแรกที่ใช้ไฟหน้าแบบกลไกพับเก็บหรือเปิดออกที่ชาญฉลาดและล้ำสมัย
เครื่องยนต์ V-8, Overhead valve ความจุ 5,354 ซีซี. กำลังสูงสุด 254
แรงม้า แรงบิดสูงสุด 475 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงของเจ้ากระเบนธงลำนี้อยู่ที่ 7.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด 187 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์โอเวอร์เฮดวาล์ว
ความจุ 5.3 ลิตร แม้จะใหญ่แต่เป็นเครื่องยนต์ประเภทต้นจัดปลายแผ่ว
เกิดจากอัตราทดของเกียร์ธรรมดาแบบ 3 สปีด! รอบจัดจริงแต่ดันสุดไม่ถึง
200
กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะเกียร์แมนนวลมีอัตราทดไม่เอื้ออำนวยต่อการคงความเร็วในย่าน
230 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหมือนรถสปอร์ตของฝั่งยุโรป
โดยเฉพาะรถของพวกอิตาลีที่แรงตั้งแต่ต้นชนปลาย ราคาของCorvette
Stingray 1965 ในสภาพที่ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว อยู่ที่ $125,998 เหรียญ
หรือเท่ากับ 4,321,740 บาทไทย
9. Ferrari 250 GTO 1962
GTO เป็นทั้งตำนานและพิมพ์เขียวสำหรับรถ Ferrari รุ่นต่อๆ มา
เป็นม้าลำพองสุดคลาสสิกที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับแบรนด์รถคู่แข่งในการพัฒนาศักยภาพรถยนต์ของตน
ด้วยสีแดงที่โดดเด่นและรูปทรงเพรียวบางสวยงาม ยากจะเข้าใจว่าทำไม GTO
ได้รับการพิจารณาอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในรถแข่งที่ดีที่สุดในโลก!
เครื่องยนต์ Tipo 168 Comp/62 60º V12 SOHC 2 วาล์วต่อสูบ
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาบูเรเตอร์ Weber 38 DCN 6 ตำแหน่ง กำลัง 300
แรงม้า แรงบิด 294 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรใน 6.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แน่นอนว่ามันเป็นรถคลาสสิกที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
โดยขายเปลี่ยนมือในราคาสูงถึง 48.4 ล้านดอลลาร์ในการประมูลเมื่อปี
2014 สาเหตุที่ Ferrari 250 GTO มีราคาสูงลิบ เนื่องจากมีจำนวนน้อยมาก
ผลิตขึ้นเพียง 36 คันเท่านั้น ในงานประมูลรถคลาสสิกของมหาเศรษฐีใน
Monterey Car Week California ราคาเปิดประมูลของ GTO สภาพสะสม
ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว อยู่ที่ 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นเงินบาทไทยสูงถึง 1,145 ล้านบาท ปัจจุบัน
รถคลาสสิกตราม้าคันนี้ คาดว่าน่าจะมีค่าตัวทะลุไปถึง 1,962 ล้านบาท
เลยทีเดียว
10. Ford Model T 1908
แน่นอนว่ารายชื่อรถยนต์คลาสสิกตลอดกาล จะต้องมี Model T รวมอยู่ด้วย
มันเป็นรถคลาสสิกที่แท้จริง ซึ่งมีจำหน่ายทุกสีในตำนาน
สีดำจะได้รับความนิยมมากที่สุด Model T
ถือเป็นรถโบราณรุ่นหนึ่งที่สงวนไว้สำหรับยานยนต์หนึ่งเดียวในหน้าประวัติศาสตร์จากการเป็นรถรุ่นแรกที่ใช้การผลิตแบบสายพาน
การออกแบบที่ถือว่าเก่าแก่อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม
ไม่มีการปฏิเสธว่า Henry Ford ได้วางเส้นทาง ให้ Model T
โลดแล่นอย่างยิ่งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
และกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดยานยนต์ทั่วโลกการมาของ Model T
ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของชาวอเมริกัน
เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Henry Ford และสหรัฐอเมริกา
ซึ่งกำลังเป็นยุคที่บุกเบิกอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทุกชนิด
และยังทำเงินให้ Henry Ford ขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐี
เป็นความสำเร็จชิ้นแรกๆ ของบริษัทรถยนต์ที่เขาก่อตั้งขึ้น
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.9 ลิตร กำลังสูงสุด 20 แรงม้า
ทำความเร็วสูงสุดได้ 68 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ซึ่งก็เหมาะกับสภาพผิวถนนในยุคร้อยกว่าปีก่อนโน้นที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว
Model T ที่ได้รับการฟื้นฟูสภาพและบำรุงดูแลรักษาอย่างดี
มีราคาในการประมูลถึง $110,000 เหรียญ หรือเท่ากับ 4,321,700
บาทไทย.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/
คุณกำลังดู: ขุดกระดูกเจ้าคุณปู่ 10 สุดยอดคลาสสิกคาร์ที่น่าสะสม!
หมวดหมู่: รีวิวรถใหม่