ไข้เลือดออก VS ไข้หวัดใหญ่ แตกต่างกันอย่างไร?
วิธีสังเกตความแตกต่างของโรคไข้เลือดออก และไข้หวัดใหญ่ เพราะถึงจะมีอาการบางอย่างคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้วเป็นคนละโรคกันอย่างสิ้นเชิง
ไข้หวัดหรือไข้เลือดออกกันแน่
Flu or Dengue Fever?
หนึ่งในข่าวที่ทุกคนติดตามในช่วงนี้ ต้องมีเรื่องของคุณปอ ทฤษฎี สหวงษ์ รวมอยู่ด้วยแน่ๆ คุณปอช่วยให้หลายคนตื่นตัวกับโรคไข้เลือดออก เพราะมีข่าวสารข้อมูลมากมายออกมาเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกให้ติดตามกันทุกวัน แต่มีใครทราบไหมคะว่า บางครั้งไข้เลือดออกมีอาการเบื้องต้นเหมือนไข้หวัด ทำให้รักษาผิดรักษาถูกเป็นเรื่องได้เหมือนกัน
มารู้จักไข้เลือดออกกันอย่างจริงจังดีกว่า
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue)
ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งพบมากในประเทศเขตร้อนและเขตอบอุ่น
สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง ของกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยแจ้งว่าในปี
2557 พบผู้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกประมาณ 40,000 ราย เสียชีวิต 41 ราย
นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
เจ้าเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) มี 4 ชนิด คือ
DEN-1, DEN-2, DEN-3 และ DEN-4 ทั้ง 4 ชนิดนี้ มี antigen ร่วมบางชนิด
จึงทำให้มี cross reaction และ cross protection ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดหนึ่งจะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกีชนิดนั้นตลอดไป
(long lasting homotypic immunity) และจะมีภูมิคุ้มกัน cross
protection ต่อชนิดอื่น (heterotypic immunity) ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ประมาณ 3-12 เดือน ฟังดูเหมือนจะดี
แต่พอนานวันเข้าภูมิคุ้มกันนี้ก็จะค่อยๆ
จางลงเพราะร่างกายเราก็จะผลิตภูมิคุ้มกันตัวจริงออกมาไล่บี้ของแปลกปลอม
ถ้าคนที่มีภูมิคุ้มกันจางๆ ปลอมๆ นี้อยู่ในตัว
(คนที่เคยเป็นไข้เลือดออก)
ได้รับไวรัสเดงกีตัวอื่นเข้าไปนอกจากมันจะไม่สามารถช่วยป้องกันอะไรได้แล้ว
มันยังกลายพันธุ์ลุกขึ้นมาชักศึกเข้าบ้านได้อย่างง่ายดาย
แถมช่วยให้เจริญเติบโตได้เร็วกว่าปกติอีกนะคะ
นี่คือเหตุผลที่ทำคนที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้ว
กลับมาเป็นได้อีกและแถมหนักกว่าเดิมด้วย
มาตอกย้ำความรู้เรื่องไข้หวัดกันอีกที
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอ็นซ่า
Influenza virus) โดยสามารถจำแนกออกเป็น 3 ชนิดตามฤดูกาล ได้แก่
ชนิดเอ บี และซี โดยที่พบมากที่สุด คือ ไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ (H1N1)
(H3N2) รองลงมาได้แก่ ชนิด บี และซี
เชื้อไวรัสนี้จะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย
ซึ่งสามารถแพร่ติดต่อไปยังคนอื่น ๆ ได้ง่าย เช่น การไอหรือจามรดกัน
หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไป หากอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร
บางรายได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ
เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น
เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ตา ปาก
ในผู้ใหญ่อาจแพร่เชื้อได้นานประมาณ 3-5 วัน นับจากเริ่มป่วย
ในเด็กเล็กสามารถแพร่ได้นานกว่าผู้ใหญ่ อาจพบได้ 7-10 วัน
และอาจนานขึ้นไปอีก ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
สำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข
แจ้งว่าตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้
พบผู้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ถึงเกือบ 65,000 ราย และเสียชีวิตไปแล้ว 27
ราย ใครจะเชื่อว่าไข้หวัดก็รุนแรงได้
แล้วก็อย่าหวังว่าคนที่เป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกัน
ความเหมือนของ 2 ไข้นี้
อาการของ 2 โรคนี้แทบไม่แตกต่างกันมากนัก ขนาด World Health
Organization (WHO) ยังบอกเลยว่า 2 โรคนี้แทบจะแยกกันไม่ออกโดยเฉพาะ
2-3 วันแรก มีทั้งปวดหัว ตัวร้อน เจ็บคอ ปวดตามข้อ ที่สำคัญ
“ไม่มียารักษา และเป็นแล้วเป็นอีกได้”
ไข้หวัดใหญ่ยังมีวัคซีนป้องกันได้นะคะ
แต่ก็ได้แค่ไข้หวัดใหญ่ ถ้าเป็นไวรัสอื่นก็ไม่ได้นะคะ
และฉีดป้องกันแล้วไม่แล้วกันนะคะ ต้องฉีดทุกปี
โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
ถ้าพูดถึงความเหมือนของอาการเบื้องต้นของทั้ง 2 โรคนี้แล้ว
สำหรับผู้ใหญ่บางทีก็ยังบอกไม่ได้เต็มที่เลยใช่ไหมคะว่ามีอาการอย่างไร
พอป่วยก็รู้แต่ว่าไม่อยากไปทำงาน
แล้วถ้าเป็นเด็กเล็กล่ะคะจะมานั่งอธิบายอะไรได้
คำศัพท์บางคำยังไม่รู้เล้ย คงโยเยๆ ไปตามเรื่อง
คุณพ่อคุณแม่นั่นล่ะค่ะที่ต้องติดตามดูอาการนะคะ
แล้วจะรู้ได้อย่างไร
ไข้เลือดออก
อาการโดยรวมซึ่งคนไข้จะมีมีไข้สูง ปวดกระบอกตา อ่อนเพลีย
ไม่อยากรับประทานอาหาร ปวดท้อง หน้าแดง
หรือมีผื่นขึ้นตามตัวและปวดตามข้อต่างๆ
บางกรณีปวดแบบรุนแรงถึงเสียชีวิตได้เลยนะคะ บางที่ก็เรียกว่า “break
bone fever” เลยทีเดียว อันนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อ dengue
ที่โดนนะคะ
ดูกันให้ชัดๆ ไปเลยว่าอาการพัฒนาเป็นขั้นตอนอย่างไร
โรคไข้เลือดออกเดงกี มีอาการสำคัญที่เป็นรูปแบบค่อนข้างเฉพาะ 4 ประการ
เรียงตามลำดับการเกิดก่อนหลัง ดังนี้
1. ไข้สูงลอย 2-7 วัน โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส
บางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชักมาก่อน
ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการน้ำมูกไหลหรืออาการไอ เบื่ออาหาร
และอาเจียน
2. มีอาการเลือดออก ส่วนใหญ่จะพบที่ผิวหนัง
โดยอาจพบผื่นขึ้นตามผิวหนัง หรือมีอาการเลือดออกที่ผิวหนัง
รวมถึงมีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายตามแขน ขา ลำตัว รักแร้
อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน
ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
ซึ่งมักจะเป็นสีดำ
3. มีตับโต กดเจ็บ ส่วนใหญ่จะคลำตับ โต ได้ประมาณวันที่ 3-4
นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ ตับจะนุ่มและกดเจ็บ
4. มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว/ภาวะช็อก ประมาณ 1 ใน 3
ของผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี จะมีอาการรุนแรง
มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ
กับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว
ภาวะช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง และจะเสียชีวิตภายใน 12-24
ชั่วโมง หลังเริ่มมีภาวะช็อก
ไข้หวัดใหญ่
ถ้าเป็นไข้หวัดอาการไข้จะหายภายใน 2-3 วัน และถ้าเป็นหวัดจริงๆ
อาการส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ ระบบหายใจ
อาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ไข้สูง คัดจมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ
ปวดศีรษะ ไอและรู้สึกเหนื่อย
อาการเหล่านี้ตรงแบบเริ่มสองวันหลังได้รับไวรัสและส่วนมากอยู่นานไม่เกินสัปดาห์
แต่อาการไออาจกินเวลานานกว่าสองสัปดาห์ได้ ในเด็ก
อาการแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่อาจมีปอดบวมจากไวรัส
ปอดบวมจากแบคทีเรียตามโพรงอากาศ (sinus) ติดเชื้อ
และปัญหาสุขภาพที่มีอยู่เดิมแย่ลง เช่น
โรคหอบหืดหรือภาวะหัวใจล้มเหลว
สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำสำหรับไข้เลือดออก
• เมื่อมีอาการไข้สูงห้ามรับประทานยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน และ
ไอบูโพรเฟน หรือยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอย
เพราะจะทำให้เกล็ดเลือดเสียการทำงาน
จะระคายกระเพาะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น
• ถ้าอาการไข้ไม่ลดในช่วง 2-3 วันแรกที่ไม่สบาย รีบปรึกษาหมอด่วน
อธิบายอาการให้ครบถ้วน และอธิบายสภาพแวดล้อมที่บ้านด้วยนะคะ
รวมถึงปรีกษาหมอว่าควรตรวจเกล็ดเลือดหรือไม่
โดยปกติคนเรามีเกล็ดเลือดนับแสน คือ มากกว่า 300,000
ถ้าเกล็ดเลือดต่ำกว่า 200,000 หลังเป็นไข้มา 3-4
วันแล้วล่ะก็อาการเริ่มน่าเป็นห่วงแล้ว และถ้าต่ำกว่า 100,000 ควร
admit อยู่โรงพยาบาลดีกว่าค่ะ ในช่วงที่เริ่มเป็น 1-3
วันแรกอาจยังไม่สามารถตรวจได้นะคะ
จะตรวจได้ก็เมื่อไวรัสเริ่มออกตัวค่ะ
สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำสำหรับไข้หวัดใหญ่
• ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย เช่น มีไข้ต่ำ ๆ และยังรับประทานอาหารได้
อาจไปพบแพทย์ หรือขอรับยาและคำแนะนำจากเภสัชกรใกล้บ้าน
และดูแลรักษากันเองที่บ้านได้ ดังนี้
o นอนหลับพักผ่อนมาก ๆ ในห้องที่อากาศถ่ายเทดี ไม่ควรออกกำลังกาย
o ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ มากๆ งดดื่มน้ำเย็น
o รักษาตามอาการ หากมีไข้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว
หากไข้ไม่ลดให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพริน
หากทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ภายใน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์
o พยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก ผลไม้
เป็นต้น
ทีนี้เวลาเป็นไข้ปุ๊บ เฝ้าดูอาการดีๆ นะคะ 2-3 วันอาการไม่ดีขึ้น
หาหมออย่างเดียวเลย อย่าชะล่าใจเด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นอาจบานปลายได้
ต้องขอบคุณคุณปอ ทฤษฎี สหวงษ์ จริงๆ
ที่ทำให้ทุกคนต้องหันมาทำความรู้ความเข้าใจกับโรคไข้เลือดออกอย่างจริงจัง
ขอพรคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้คุณปอหายวันหายคืน
กลับมาเป็นขวัญใจของพวกเราต่อไปนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช
ภาพประกอบจาก istockphoto, pixabay
คุณกำลังดู: ไข้เลือดออก VS ไข้หวัดใหญ่ แตกต่างกันอย่างไร?
หมวดหมู่: รู้ทันโรค