Mazda CX-8 เบนซิน/ดีเซล ตัวไหนเด็ดยังไง พิสูจน์บนเส้นทางเบตง
ทดสอบทางไกลไป อ. เบตง กับ Mazda CX-8 รุ่นปรับปรุง ทั้งดีเซลและเบนซิน
ผมอยากบอกคุณเหลือเกินว่า อย่ารอให้แก่แล้วค่อยมาลองขับรถบนเส้นทางนี้ หาดใหญ่-ปัตตานี-เบตง สำหรับผม มันคือการเดินทางที่รอมานานแสนนาน ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ญาติผมที่อยู่ยะลามักจะขึ้นมาเล่นด้วยกันช่วงปิดเทอม ตอนที่เธอเอ่ยปากชวนว่า “เมื่อไหร่พี่แพนจะมาเที่ยวยะลาบ้างนิ” ตอนนั้นผมยังเป็นเด็ก ม.ต้น อยู่เลยครับ ยะลานี้ แค่ได้ยินก็อยากไปให้ถึง คุณแม่ท่านเคยตระเวนทำวิจัยตามโรงเรียนต่างจังหวัด ก็ชมให้ฟังอยู่ว่ายะลาเป็นเมืองที่สวยงาม วางแปลนเมืองได้ดี
30 ปีหลังจากที่ญาติผมชวน ผมก็ได้มาขับ Mazda CX-8 ผ่านเขตต่างๆ ที่เธอเคยอาศัยและเติบโต แต่ผมมาช้าไปมาก เพราะเธอไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อนด้วยโรคร้าย ผมให้เวลาไว้อาลัยน้องชั่วครู่หนึ่งก่อนจะโฟกัสที่งานตัวเองแล้วขับรถลงไปยัง อำเภอเบตง ดินแดนใต้สุดของประเทศ ตลอดเส้นทางราว 3-4 ชั่วโมงจากหาดใหญ่ รวมแวะพัก จะบอกว่าเส้นทางสู่เบตง มีโค้งให้เล่นไม่น้อยเลย ทิวทัศน์ต่างๆ ก็สวยงาม บางช่วงเวลาวิ่งเลียบทางบนเขา ก็รู้สึกเหมือนภาคเหนือ บางช่วงลงมาเลียบพื้นดิน วิ่งผ่านสะพานอะไรสักอย่างที่มีวิวผืนน้ำเขื่อนบางลาง สวยไม่แพ้วิวทางยุโรป เราคงไม่ต้องขิงว่าวิวเราดีกว่าวิวเขา รู้แค่ว่าถ้าคุณมีแรงขับรถ ประเทศนี้ยังมีที่สวยๆ ให้เราไปค้นหาอีกเยอะ
อย่างผมนี่ สัญญาเลยว่าต้องกลับไปเยือนอีกแน่นอนทั้งปัตตานีและเบตง แต่ถ้าใครได้ไปอีกรอบ อยากจะบอกว่า ขับเส้นทางนี้ ใจเย็นสักนิดนะครับเพราะทางเป็นแบบ 1 เลนไป 1 เลนกลับเกือบตลอด จุดที่จะสามารถแซงได้มีน้อยมาก ถ้าคุณใจเย็นจริง อีโคคาร์ก็ไปได้ แต่ถ้าใจร้อน พยายามหารถพลังดีๆ ไว้หน่อย และถ้าเป็นช่วงเวลาเช้ากับเย็น เวลาเจอป้าย “โรงเรียน” ขอให้ทำตามระเบียบด้วยเพราะหลายโรงเรียนตั้งอยู่ในจุดที่พ้นโค้งมาก็เจอเลย เด็กๆ ที่ข้ามถนนก็มี นอกจากนี้ ยังมีด่านตรวจของทหารเป็นระยะตลอดเส้นทาง ไม่ต้องหงุดหงิดถ้าถูกสอบถามบ้าง เราเสียเวลาไม่มาก แต่พี่ทหารต้องยืนการ์ดจุดต่างๆ เหล่านี้ทั้งวันโดยไม่รู้ว่าอันตรายจะมาเมื่อไหร่ ยิ้มและสุภาพให้กัน ทั้งวันจะมีแต่มิตรครับ
การมีเพื่อนร่วมทางอย่าง Mazda CX-8 ก็ถือว่าไม่เลวเลย นี่คือรถที่ Mazda วางตำแหน่งอยู่สูงสุดในไลน์ SUV ประเทศไทย จุดเด่นของตัวรถอยู่ที่ความเป็นรถแบบที่นั่งสามแถว จะเป็น 7 หรือ 6 ที่นั่งก็แล้วแต่รุ่นย่อยที่คุณเลือก ประกอบกับตัวรถที่พัฒนาบนพื้นฐานรถเก๋งที่เน้นความคล่องตัว ช่วงล่างนุ่มสบาย แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นดินแดนแห่ง Fortuner แต่สำหรับคนกลุ่มเล็กที่ต้องการบุคลิกนุ่มและคล่องแบบรถเก๋ง CX-8 เข้ามาเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ได้พอดี เพราะไม่มีคู่แข่ง SUV พื้นฐานเก๋งรายอื่นที่ทำที่นั่งแบบ 3 แถวอีกแล้วในงบเท่านี้ แล้วยังมีจุดเด่นทั้งในแง่การขับ ซึ่งปกติคนใช้รถ SUV แบบนี้คงไม่มีใครขับซิ่งกันหรอก แต่กับ CX-8 คุณลองดูสิ แล้วจะรู้ว่ามันทำได้ดีเลยล่ะ
Mazda จัด CX-8 มาให้ผู้สื่อข่าวลองสองรุ่น คือ 2.2 XDL Exclusive เครื่องยนต์ดีเซลตัวท็อป ค่าตัว 2.199 ล้านบาท และรุ่นย่อยใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว 2.5 SP Exclusive เครื่องเบนซิน หกที่นั่งเหมือนไอ้ตัวตะกี้ แต่เบาะแถวสองจะหรูน้อยกว่าหน่อย อุปกรณ์น้อยกว่ากันบ้าง แต่ค่าตัว 1.699 ล้าน ถูกกว่าดีเซลตัวท็อปตั้งครึ่งล้าน มันทำให้น่าคิดว่า ระหว่างสองรุ่นย่อยนี้ มีจุดต่างกันอย่างไร แล้วถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เล็งจะซื้อ CX-8 อยู่ ตัวไหนจะเหมาะกับคุณ แต่ผมคงไม่บอกว่าตัวไหนน่าเล่นกว่า เพราะแต่ละคนมีความชอบ มีรสนิยมการใช้งานที่แตกต่างกัน
มองจากภายนอก คุณไม่มีวันรู้สึกได้ถึงความต่างในค่าตัวครึ่งล้านเลย ทั้งสองรุ่นจอดข้างกันแล้วคุณต้องตาคมพอสมควรถึงจะสังเกตจุดแตกต่างได้ สิ่งที่รุ่น XDL Exclusive มีต่างจากรุ่นอื่น ก็มีแค่ล้ออัลลอยที่ลายไม่เหมือนรุ่นอื่น แม้ว่าจะเป็นขอบ 19 เหมือนกัน สีของตะแกรงกระจังหน้า เส้นโครเมียมที่คาดตอนล่างของกันชนหน้า ราวหลังคา ป้ายชื่อรุ่น และไฟหน้า ที่ต้องแทบเป็นแมลงหวี่บินไปเกาะแถวโคมถึงจะเห็นว่ามีไฟดวงเล็กเพิ่มเข้ามา ไฟหน้าของทั้งสองรุ่น กลอกตาตามการเลี้ยวของพวงมาลัยได้ มีไฟสูงอัตโนมัติทั้งคู่ แต่เฉพาะดีเซลตัวท็อป จะมีลักษณะการทำงานแบบ Adaptive ปรับการส่องลำแสงขณะขับได้มากกว่า เรื่องอย่างนี้คุณจะมองว่าตัวดีเซลต่างไม่พอ..หรือจะมองว่าตัว 2.5 เบนซินให้มาเยอะ แล้วแต่มุมมองเลยครับ
ก้าวเข้ามาข้างในรถ ถ้าคุณมีหน้าที่เป็นผู้ขับล่ะก็ วิวแดชบอร์ดของคุณแทบจะไม่ต่างถ้าไม่สังเกต CX-8 นี่ แม้ว่าจะเป็นรถครอบครัวพ่อจ๋าแม่จ๋า แต่ก็ยังแอบออกแบบภายในให้เปรี้ยวตา และจัดวางตำแหน่ง เบาะ พวงมาลัย เกียร์ไว้ตามหลักสรีระร่างมนุษย์ ผู้ชายไซส์ 10XL อย่างผมสามารถนั่งขับได้ถนัด ความสูงเบาะ เข็มขัด ระยะใกล้/ไกลของพวงมาลัย ล้วนปรับได้ทั้งนั้น นี่คือจุดที่ผมในฐานะพลขับ ให้ความสำคัญมาก แต่พอตำหนิรถคันไหนที่ไม่มีสิ่งนี้ ก็จะมีลูกหาบสาวกโผล่มาค่อยด่าผมเรื่อยไป จุดต่างระหว่าง CX-8 ทั้งสองนี้ อยู่ที่มาตรวัดรอบ ดีเซลจะขึ้นขีดแดงแถวห้าพัน แต่เบนซินจะลากได้ทะลุหกพัน นอกจากนี้ รุ่นเบนซินยังมีสวิตช์ปรับการตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ให้เป็นโหมด SPORT เพื่อความมันในการซัด อ้าว เฮ้ย ทำไปทำมาทำไมรุ่นเบนซินดูเยอะกว่า? ต้องสังเกตดีๆ จะเห็นว่ารุ่นดีเซลมี Heater เบาะคู่หน้า เป็นสวิตช์ฝังอยู่ตรงแผงควบคุมระบบปรับอากาศ นอกเหนือจากนี้ไปเหมือนกันเกือบหมดครับ มีจอ Head Up Display และเครื่องเสียง BOSE Premium Sound ให้ทั้งคู่
แต่ก่อนที่คุณจะงงว่าเอาห้าแสนไปโยนตรงไหน มาดูที่เบาะแถวสองครับ นี่คือจุดที่เจ้าดีเซลตัวท็อปกินขาด
ถูกละ เบาะแถวสองต่างก็เป็นแบบ Captain Seat แยกสองตัวซ้าย/ขวาเหมือนกัน แต่ 2.5 SP Exclusive จะให้เบาะนกแอร์ คือจัดทรงมาคล้ายเบาะหน้า มีที่เท้าแขนเล็กๆ ตรงกลางพับได้ เมื่อพับแล้วจะสามารถเดินต่อกันไปจนถึงเบาะแถวสามได้ (เฉพาะเวลาที่รถหยุดนิ่งนะครับอย่าลุกเดินตอนรถวิ่ง) มันเป็นเบาะที่สบายในระดับหนึ่งถ้าไม่นับว่าช่องเป่าลมแอร์หลัง มีแค่ช่องกลาง และติดตั้งไว้ต่ำมากจนลมเป่าถึงแค่เบื้องล่างของร่างพิกัดใต้เข็มขัดลงมา ตัวเบาะแน่นและรองรับหลังดี เลื่อนถอยหลังและปรับเอนได้ด้วยมือ ซึ่งสำหรับคนทั่วไป แบบนี้ก็คงพอละครับ แต่พอมานั่งเบาะของตัวดีเซล เหมือนเปลี่ยนจากชั้นประหยัดไปชั้นธุรกิจ แม้จะไม่มีที่รองน่องยื่นออกมาแบบบนเครื่องบิน แต่มีที่วางแก้ว มีที่เท้าแขนใหญ่แบบตายตัว เบาะนั่งแอบนุ่มสบายกว่า และยังปรับเลื่อน ปรับเอนได้ด้วยไฟฟ้า แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับระบบเป่าลมเย็นระบายความร้อนเบาะ/Heater ซึ่งรุ่น 2.5 เบนซินจะมีให้แค่เบาะคู่หน้า แต่ในดีเซลมีให้ครบ 4 ที่นั่ง สิ่งนี้ ทำให้การโดยสารทางไกล เย็นสบายหลังเป็นที่สุด ถ้าใครต้องพาคุณพ่อคุณแม่วัยชราเดินทางไกลเป็นประจำ เบาะแถวสองของรุ่นดีเซล ชนะเลิศครับ
ส่วนในเรื่องของการขับขี่ ทั้งสองรุ่น ก็มีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าท้ายสุด เมื่อนับรวมเรื่องอุปกรณ์กับค่าตัว คุณจะเลือกอย่างไหน
ผมขับรุ่นดีเซลก่อน ช่วงขาไป จากปัตตานีสู่เบตง พลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร 190 แรงม้า และแรงบิด 450 นิวตันเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับรถ SUV พื้นฐานกระบะความจุ 2.3-3.0 ลิตรบางรุ่น พอมาอยู่ในบอดี้เบาช่วงล่างดีๆ ก็ขับได้เนียนอยู่ เวลาต่อมนักเลงทำงานแล้วกระทืบคันเร่งออกตัว มันไม่ได้ก้าวร้าวอย่างที่คิดนะครับ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (ซึ่งมีเฉพาะในดีเซลตัวท็อป) จับกำลังลงพื้นอยู่หมัด แล้วรถก็พุ่งออกไปแบบสุภาพด้วยซ้ำ แล้วมันก็เงียบ...เงียบแบบเครื่องดีเซลชั้นดีเนี่ยล่ะ จนกระทั่งผ่านการอัดอย่างรุนแรงของผมไปสักชั่วโมงกว่าๆ เสียงเครื่องก็เริ่มดังขึ้นแบบรู้สึกได้ ความน่าเล่นของรุ่นดีเซลอยู่ที่เสียงเครื่องที่ไม่โวยวาย และแรงถีบดีในช่วงรอบ 2,000-2,500 โดยไม่ต้องกดคันเร่งมิด ทำให้เวลาขับขึ้นเขา ไม่ต้องเล่นเกียร์ช่วยเลย แค่กดคันเร่ง 50% ก็ทะยานขึ้นเป็นนกโผ ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบรถมีพลังโดยไม่ต้องลากรอบ ชอบรถนิสัยสุภาพ และชอบแอบเมีย หรือแอบพ่อแอบแม่ ทำความเร็วสูงๆ โดยไม่อยากให้พวกเขาเหล่านั้นรู้ตัวแล้วหันมาสวดชยันโตใส่ ผมว่าตัวดีเซลนี่ล่ะเหมาะ เพราะมันสามารถทะยานเงียบๆ ไปแตะ 140 อย่างที่คนทั่วไปไม่รู้ตัว
และอีกจุดหนึ่งที่หลายคนสงสัยคืออัตราการสิ้นเปลือง ตอนถึงเบตงพลบค่ำ พวกเราทุกคันในขบวนแวะเติมปั๊มน้ำมันเดียวกัน ผมวิ่งจดเลขอัตราการสิ้นเปลืองของรถแต่ละคัน ซึ่งถูกละมันอาจจะไม่แม่น เพราะคนขับไม่ใช่คนคนเดียวกัน แต่การวิ่งบนถนนเส้นเดียวกัน ขับตามกันมาไม่มีใครแซงใคร น่าจะเป็นปัจจัยคุมได้อย่างหนึ่ง แล้วผลที่ออกก็ตามคาด คือดีเซลประหยัดกว่า แต่ละคันได้ตัวเลข 11-12 กิโลเมตรต่อลิตร ในขณะที่รุ่นเบนซินจะได้ 9.5-10.5 กิโลเมตรต่อลิตร ตีกลมๆ คร่าวๆ ก็ 15-20% ครับ
ขากลับ ผมขับรุ่นเบนซิน มุ่งหน้ากลับไปสงขลา ด้วยความที่แยกจากกลุ่มหลักมาถ่ายงานเก็บ ทำให้ผมหลงทางอยู่พักใหญ่ เมื่อได้เส้นทางที่ถูกต้องจากพี่ต้น จิรศักดิ์ ที่ล่วงหน้าไปก่อนนานแล้ว ผมจึงต้องหวดตามเต็มพิกัด (เท่าที่ตัวเองจะไม่ตายและไม่ไปทำใครตาย) คุณเอ๋ย อยากจะบอกว่ารุ่น 2.5 ลิตร 194 แรงม้าเนี่ย แม้ว่าแรงบิดจะขี้ปะติ๋ว 258 นิวตันเมตร คนละเรื่องกับตัวดีเซล แต่เวลาเหยียบเต็ม มันพุ่งไปเหมือนแมวตกใจโกยเผ่นเลย ถ้าคุณยอมทนเสียงเครื่องดังแผดลั่นห้องโดยสาร แล้วลากรอบไว้แถวๆ 4-5 พันตลอด เจ้า 2.5 นี่วิ่งขึ้นเขาตามรุ่นดีเซลได้สบายแน่นอน โดยที่น้ำหนักบรรทุกบนรถก็ไม่ต่างกัน ช่วงล่างจะแข็งกว่ารถดีเซลเพียงเล็กน้อย แต่เข้าโค้งได้แรงกว่า เร็วกว่า เพราะตัวรถเบากว่าอยู่ราว 150 กิโลกรัม ยิ่งพอเปิดโหมด SPORT การตอบสนองคันเร่ง การทำงานของเกียร์ ยิ่งไวแบบรุ่นดีเซลทาบไม่ติด
แต่แน่นอนครับว่ามันก็มีจุดอ่อนของมัน คือถ้าคุณพยายามขับบนเขา โดยไม่ให้เสียงเครื่องดัง เล่นรอบแค่ไม่เกิน 3,500 สมรรถนะของมันจะจืดยิ่งกว่าน้ำเปล่าขวดละ 3 บาท เหี่ยวเฉาๆ ไร้แรง นอกจากนี้ การที่เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้ในบางสถานการณ์ที่ถนนเปียกลื่น รถจะออกอาการท้ายปัดเบาๆ มันสนุกแหละ แต่ก็เสียวกว่ารุ่นดีเซลขับสี่พอสมควร
ดังนั้น เมื่อกลับถึงศูนย์ Mazda ที่หาดใหญ่ ส่งรถเสร็จ ผมก็พอจะสรุปได้ว่า ระหว่างสองรุ่นนี้ มันจะมีกลุ่มคนที่เหมาะกับมันอยู่
ถ้าคุณชื่นชอบบุคลิกที่สุภาพ เงียบ แต่มีแรงแบบเหลือๆ ไม่ต้องกดเยอะก็พุ่งดี หรือถ้าคุณต้องการมอบความสบายสูงสุดให้กับผู้โดยสารแถวที่สอง รุ่นดีเซลชนะแบบใสสะอาด มันคือรถที่สนุกแบบบาลานซ์กับความสบาย ซึ่งทำให้เป็นพาหนะที่เหมาะกับการใช้งาน ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด มีความประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า คนที่วิ่งทางไกลบ่อย ก็มีโอกาสจะเซฟเงินจากค่าเชื้อเพลิงได้มากกว่า
แต่ถ้าคุณโอเคกับเบาะตอนสองแบบสายการบินชั้นประหยัด และใช้รถปีละไม่เกิน 25,000 กิโลเมตร บางทีความประหยัดของรุ่นดีเซลก็ไม่สามารถครอบคลุมค่าตัวที่ถูกกว่ากันครึ่งล้านของรุ่นเบนซินได้ นอกจากนี้ รุ่นเบนซิน ยังเป็นรถที่ใช้งานทั่วไปได้ดีเท่ากัน อุปกรณ์ต่างๆ ที่ตอนหน้ารถแทบไม่ต่างกัน อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยเท่ากัน และมีบุคลิกที่ห้าว แบบที่เวลาส่งลูกส่งเมียเสร็จแล้วคุณอาจจะอยากแซ่บเท้าเล่นบ้าง ก็สนองจริตแบบนี้ได้ดีกว่ารุ่นดีเซล แต่คุณต้องทำใจหน่อยว่าเวลาซัด มันก็โวยวายบ้างเป็นธรรมดา
สำหรับผมที่ไม่ได้มีครอบครัว มีแค่พ่อกับแม่อายุเลยหลัก 70 ซึ่งปีนึงจะได้นั่งรถด้วยกันไม่ถึง 10 ครั้ง นอกนั้นจะเป็นการขนทโมนเพื่อน พาไปเที่ยวไกลๆ ซึ่งด้วยความรักเพื่อน ผมไม่แคร์หรอกว่าเบาะหลังมันจะสบายไหม ถูกครับ..ถ้าเป็นเงินผม ผมไปตัวเบนซินแบบไม่คิดนานเลย แต่รุ่นที่คุณชอบ จะเป็นรุ่นไหน ก็ลองตัดสินใจดู ถ้ายังกังขากับเรื่องค่าน้ำมัน ก็ลองวิจัยดูว่าปีหนึ่งคุณใช้รถกี่กิโลเมตร น้ำมันที่คุณเติม ลิตรละกี่บาท ส่วนตัวแปรด้านอัตราการสิ้นเปลือง คุณจะใส่เท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่รุ่นเบนซินให้ลบไปราว 2 กิโลเมตรต่อลิตร เท่านี้เขียนบนกระดาษ กับเครื่องคิดเลข ก็พอจะรู้แล้วว่าปีหนึ่งๆ การเลือกรุ่นดีเซล คุณได้ส่วนต่างค่าน้ำมันคืนมาเท่าไหร่
รถคันละสองล้านก็จริง แต่ตรงไหนที่ประหยัดได้ ก็เสียเวลาลองไตร่ตรองพินิจดูหน่อย ไม่เสียหลายครับ.
Pan Paitoonpong
คุณกำลังดู: Mazda CX-8 เบนซิน/ดีเซล ตัวไหนเด็ดยังไง พิสูจน์บนเส้นทางเบตง
หมวดหมู่: รีวิวรถใหม่