มีสติก่อนกิน! ยาเออร์กอต แก้ไมเกรน เสี่ยงติดเชื้อ-ตัดแขนขาทิ้ง
เลือดไม่เดิน ปลายมือ เท้าดำ ต้องตัดทิ้ง แถมเสี่ยงติดเชื้อส่วนอื่นของร่างกาย
แพทย์ดังออกมาเตือน ยาเออร์กอต สำหรับรักษาผู้ป่วยไมเกรน อันตรายหากไม่ปรึกษาแพทย์ก่อนทาน เสี่ยงติดเชื้อ ตัดมือแขนขา อาจลามไปส่วนอื่นของร่างกาย และอาจถึงขั้นเสียชีวิต
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง
รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงยาเออร์กอต หรือ ยาเออร์โกตามีน
(Ergotamine) หรือยาชื่อการค้าที่มักรู้จัก คือ ยาคาเฟอร์กอท
(Cafergot ) ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ว่า
ยาเออร์กอตมีฤทธิ์รุนแรงและอันตรายจริง
แต่ที่เห็นวางขายอยู่ตามร้านขายยาต่างๆ ได้ตามปกติ
เพราะหากใช้อย่างถูกวิธีจะไม่เป็นอันตรายใดๆ
เพียงแต่ผู้ป่วยหลังได้รับยาเออร์กอตจากแพทย์แล้ว
อาจไปซื้อเองในภายหลัง
หรือเภสัชกรเองอาจไม่สามารถทราบถึงประวัติการรักษาของผู้ป่วยได้โดยละเอียด
จึงขายยาตัวนี้ให้ผู้ป่วยไป
ยาเออร์กอต อันตราย หากใช้คู่กับยาตัวอื่น และใช้มาก
หรือเป็นเวลานานเกินไป
ยาเออร์กอต ถือเป็นยาโบราณที่มีการใช้กันในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 30-40
ปีแล้ว ใช้แก้ปวดเฉียบพลันสำหรับผู้ป่วยโรคไมเกรน
และตามข้อบ่งชี้ของตัวยาบอกว่า สามารถใช้ได้ถึง 6-8 เม็ดต่อวัน
แต่ศ.นพ.ธีระวัฒน์ อธิบาย อยากให้คนไทยเข้าใจกันใหม่ว่า
คนที่สามารถบริโภคได้จำนวนขนาดนั้น ต้องเป็นคนที่ร่างกายปกติ 100%
จริงๆ กล่าวคือ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ หรือความผิดปกติของร่างกายอื่นๆ
อีกเลย ถึงจะไม่ได้รับผลข้างเคียงใดๆ
ฤทธิ์ของยาเออร์กอต
ยาเออร์กอตมีฤทธิ์ช่วยให้เส้นเลือดหดตัว และส่งสารสื่อประสาทไปยังสมอง
เพื่อลดอาการปวดศีรษะ
เพราะผู้ป่วยโรคไมเกรนจะมีอาการปวดศีรษะมากกว่าปกติ
อันเนื่องมาจากเส้นเลือดขยายตัว
แต่ถึงกระนั้นผู้ป่วยไมเกรนจะรับรู้ถึงความรู้สึกปวดมากกว่าคนอื่น
กล่าวคือแม้เส้นเลือดจะขยายเท่ากัน
แต่ในคนปกติที่ไม่ได้เป็นโรคไมเกรนอาจรู้สึกถึงอาการปวดน้อยกว่าผู้ป่วยไมเกรน
อันตรายของยาเออร์กอต เมื่อใช้ร่วมกับยาตัวอื่น
ยาเออร์กอตจะเข้าไปเสริมฤทธิ์ของยาตัวอื่น
ทวีความรุนแรงของยาตัวอื่นให้มากขึ้น เช่น ยาต้านโรคซึมเศร้า
หรือยาบรรเทาอาการพาร์กินสัน หากใช้ร่วมกับยาเออร์กอต
จะส่งผลให้สมองหลังสารที่ชื่อว่า เซโรโทนิน มากเกินไป (จริงๆ
แล้วหากสมองหลั่งสารชนืดนี้ในปริมาณที่พอดี จะช่วยบรรเทาความตึงเครียด
บรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้) และทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น
กระวนกระวาย ซึม ชัก กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หรือถึงขั้นหัวใจวาย
ในทางกลับกัน ยาตัวอื่นที่ใช้ร่วมกับยาเออร์กอต
ยังทำให้การทำงานของตับด้อยประสิทธิภาพลง
ตับกำจัดยาเออร์กอตออกไปจากร่างกายได้น้อยลง
ทำให้มีตัวยาเออร์กอตเหลืออยู่ในร่างกายในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ
(หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน)
นอกจากนี้ยาเออร์กอตมีฤทธิ์ช่วยทำให้เส้นเลือดหดตัว
แต่มันไม่ได้หดตัวแค่เส้นเลือดที่สมอง
รวมไปถึงเส้นเลือดตามอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายด้วย เช่น หัวใจ เป็นต้น
เมื่อใช้ร่วมกับยาที่ทวีความรุนแรงของตัวยาทั้งสอง
จะทำให้อวัยวะบางส่วนในร่างกายขาดการลำเลียงของเลือด เช่น แขนขาเขียว
ปวด
และหากยังไม่ได้รับยาหรือการรักษาที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัวได้ทันท่วงที
อาจทำให้เซลส์ของอวัยวะนั้นๆ ดำ ตายได้ ต้องตัดแขนขาส่วนนั้นทิ้ง
หรือหากเส้นเลือดในสมอง เส้นเลือดหัวใจตีบก็อาจเสียชีวิตได้
โดยความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณยาเออร์กอตที่รับประทาน
และการทำงานของตับของแต่ละคน
ว่ามีประสิทธิภายในการขับยาเออร์กอตออกจากร่างกายได้มากน้อยแต่ไหน
หากตับเองก็ทำงานได้ไม่ดี มีปริมาณยาเออร์กอตอยู่ในร่างกายเยอะ
ความรุนแรงและรวดเร็วของอาการนี้ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
โรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงจากยาเออร์กอต
- โรคอ้วน เบาหวาน
- ความดันสูง
- เส้นเลือดหัวใจตีบ
- พาร์กินสัน
- โรคหัวใจ
- โรคซึมเศร้า
- ผู้ติดเชื้อ HIV
- หญิงมีครรภ์
- อื่นๆ
ยาเออร์กอต ห้ามใช้ร่วมกับยาตัวใดบ้าง
- ยาต้านโรคซึมเศร้า
- ยาแก้ปวด (Tramadol Pentazocine)
- ยาแก้ไอ (Dextromethophan)
- บาบรรเทาอาการพาร์กินสัน
- ยาแก้หวัดคัดจมูก (Pseudoephedrine)
- ยาลดความดันบางชนิด
- ยาแก้เจ็บคอบางชนิด
- ยาต้านไวรัส HIV (Protease inhibitor)
- ยาฆ่าเชื้อราชนิดทาน
- ยาฆ่าเชื้อในกลุ่ม Macrolide เช่น Clarithromycin
- ยาชุดเถื่อน ที่รวมเอายาหลายๆ
ตัวที่อันตรายกับเออร์กอตเอาไว้ด้วยกัน
- ยาอื่นๆ อีกรวมทั้งสิ้น 572 ตัว
นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังในการทานยาเออร์กอตกับน้ำเกรปฟรุต
และส้มโอด้วย
อาการของผลข้างเคียงจากการรับยาเออร์กอต
ขึ้นอยู่กับยาที่ทานคู่กับยาเออร์กอต
เพราะอาการจะปรากฏตามความรุนแรงของยาตัวนั้นๆ เช่น
- ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาทรรเทาอาการโรคพาร์กินสัน อาจมีอาการกระวนกระวาย
กล้ามเนื้อเกร็ง หรือหัวใจวาย
- หญิงมีครรภ์ อาจทำให้มดลูกบีบเกร็ง จนอาจแท้งบุตร
- ยาฆ่าเชื้อราในช่องคลอด ยาต้านไวรัส HIV และยาตัวอื่นๆ
อาจมีอาการเส้นเลือดตีบตัน เลือดไม่หล่อเลี้ยงที่แขนขา จนติดเชื้อ
- เส้นเลือดในสมอง หรือหัวใจตีบ
- อาการปวดไมเกรนอาจจะกลับมาถี่ หรือบ่อยมากขึ้น
เสี่ยงต่อการเป็นไมเกรนเรื้อรัง
- อื่นๆ
วิธีใช้ยาเออร์กอตอย่างปลอดภัย
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
- แจ้งโรคประจำตัว และยาที่ใช้อยู่กับเภสัชกรอย่างละเอียด
- ใช้เมื่อมีอาการปวดไมเกรนเท่านั้น
ไม่ใช้เป็นยาประจำที่ทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
- ผู้ป่วยที่มีโรค หรืออาการเกี่ยวกับเส้นเลือด ควรหลีกเลี่ยง
- เลือกยาแก้ปวดตัวอื่น ที่ไม่อยู่ในกลุ่มเออร์กอต เช่น ทริปแทน
- ต้องไม่อยู่ในช่วงที่ทานยาตัวอื่นๆ อยู่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้, haamor.com และ
เฟซบุ๊ค ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว
ภาพประกอบจาก istockphoto
คุณกำลังดู: มีสติก่อนกิน! ยาเออร์กอต แก้ไมเกรน เสี่ยงติดเชื้อ-ตัดแขนขาทิ้ง
หมวดหมู่: รู้เรื่องยา