เปิดตำนานความหรูคู่สมรรถนะสายป๋า ดาวประดับฟ้า MERCEDES-BENZ E-CLASS HISTORY

ย้อนอดีตเปิดตำนาน Mercedes Benz E-Class ยนตรกรรมหรูที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ตราดาวและสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ขับขี่นับล้านคนทั่วโลก

เปิดตำนานความหรูคู่สมรรถนะสายป๋า ดาวประดับฟ้า MERCEDES-BENZ E-CLASS HISTORY

มันเริ่มจากการผลิตซาลูนขนาดกลางที่หรูหรามีระดับจากค่ายตราดาว นั่นก็คือ รถยนต์ในตระกูล E-Class ที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกยนตรกรรมมานานกว่า 60 ปีแล้ว จากรุ่นแรกสุด W120 ในปี 1953 จนมาถึงรุ่นล่าสุดในปี 2015 กับโมเดล W213 ความนิยมเกิดขึ้นจากสมรรถนะบวกความหรูหราสะดวกสบาย ทุกยุคสมัยที่ผ่านมาของแบรนด์ตราดาวผู้ผลิตรถยนต์จากเยอรมนี ส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่เกิดขึ้นในบริษัทแห่งนี้จากตัวเลขยอดจำหน่ายของรถยนต์โมเดล E-Class หากย้อนเวลากลับไปสู่จุดแรกเริ่มในปี 1953 รุ่น W120 คือ Mercedes Benz รุ่นแรกสุดที่มาพร้อมกับตัวถังแบบ Self-supporting การออกแบบโดยไม่จำเป็นต้องใช้เฟรมพิเศษใดๆ ในการรองรับด้านใต้ท้องของตัวรถ นับเป็นบรรพบุรุษของ E-Class ในทุกวันนี้ ถึงแม้จะมีการกล่าวกันว่าตำนานที่แท้จริงของ E-Class เริ่มต้นขึ้นด้วย W136 ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองและมีการผลิตจนถึงปี ค.ศ. 1953 ก็ตาม

Mercedes-Benz 170V 1936-1942

Mercedes-Benz W136 1946

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz ใน Untertrkheim ถูกผลกระทบของสงคราม โดนทิ้งระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตร จึงเป็นไปได้ยากในการที่จะผลิตรถรุ่นใหม่เนื่องจากการขาดทรัพยากรทั้งกำลังคนและการใช้พลังงาน เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เยอรมนีอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากจากความพ่ายแพ้ท่ามกลางซากปรักหักพังของบ้านเมืองที่ต้องใช้เวลาในการพื้นฟู และเมื่อการผลิตรถยนต์กลับมาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1946 แบรนด์ตราดาวได้ทำการบูรณะโรงงานที่พังเสียหายในช่วงสงครามโดยเริ่มการผลิตรถยนต์ซีดานต่อจากโมเดล W136 ซึ่งนับได้ว่ามันคือต้นตระกูลของรถยนต์ E-Class เป็นปู่ของซาลูนสุดหรูในทุกวันนี้ ก่อนหน้านี้ ยานพาหนะคันแรกที่หลุดออกมาจากสายการผลิตของ Mercedes Benz ได้แก่ ยานขนส่ง-รถกระบะ และรถตู้ พร้อมกับรถพยาบาลและรถตำรวจตระเวนชายแดนในรหัสโมเดล 170V รถเพื่อการพาณิชย์เหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนสำหรับความพยายามฟื้นฟูประเทศที่ย่อยยับของเยอรมนี โมเดล W136 รุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบของความหรูหรา การผลิตอย่างต่อเนื่องดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 1955 แม้ว่า E-Class รุ่นแรกสุดที่แท้จริงซึ่งถูกเรียกว่า Ponton จะถูกผลิตตามออกมาในปี 1953 ตำนานของดาวดวงใหม่ในโลกแห่งยนตรกรรมได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้

Mercedes Benz Manufacturing in 1953

Mercedes Benz W120 1953-1962

W136 ที่เริ่มโบราณบานบุรีถูกแทนที่ด้วยน้องชายแท้ๆ ของตัวเองในรุ่นถัดมาบนรหัสตัวถัง W120 ในปี 1953 มันเป็นรถ Mercedes-Benz รุ่นแรกสุดของค่ายที่ใช้การออกแบบรูปทรงกล่องกับตัวถังโมโนค็อก โครงสร้างของแชสซี หรือที่รู้จักกันในประเทศเยอรมนีขณะนั้นว่า "Ponton" โครงสร้างแบบครบวงจรมีดีไซน์เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและรูปทรงโค้งมน ด้านหน้าวางกระจังอะลูมินั่มอัลลอยสีเงิน ด้านบนปะตราสัญลักษณ์แห่งดวงดาว ห้องโดยสารส่งถ่ายความหรูด้วยพวงมาลัยสีขาวและเบาะหุ้มหนังแท้ เรือนร่างที่สื่อให้เห็นถึงการออกแบบของ Ponton ใน Mercedes-Benz W120 ในขณะเดียวกันแนวความคิดใหม่ในการออกแบบที่เชื่อมโยงกับระบบอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับอนุญาตจากผู้บริหารสำหรับลดค่าแรงเสียดทานลม (ส่งผลให้เสียงลมน้อยลงและมีการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น) เช่นเดียวกับการตกแต่งภายในที่กว้างขวางมากขึ้น รถ W120 ก้าวขึ้นสู่แนวหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์จากปี 1953 จนถึงปี 1962 ที่จำนวนการผลิตทั้งหมด 442,963 คัน ในรุ่น 180-190 D ที่ถูกสร้างขึ้น จากมุมมองทางเทคนิค การผลิตต่อมา Mercedes-Benz ยังคงให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของห้องโดยสาร ซึ่งความหรูดังกล่าวยังคงสงวนไว้สำหรับรุ่นแรกสุดของ E-Class

Mercedes Benz W110 Fintail 1961-1968
W110 Fintail
ตัวอย่างของงานวิศวกรรมจักรกลที่ดีเลิศปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อ E Class รหัส W110 หรือที่รู้จักกันว่า Heckflosse หรือ Fintail (เบนซ์หางปลา) ผงาดขึ้นสู่วงการยานยนต์ในปี 1962 รถรุ่นนี้ได้ป่าวประกาศจุดเริ่มต้นของความสำเร็จบนเรือนร่างสัดส่วนบั้นท้ายแบบ "Fintail" รหัสตัวถัง W110 ที่ดูเหมือนจะเป็นการสื่อให้เห็นถึงความนิยมบนรูปแบบของรถอเมริกันในยุคนั้นซึ่งมักดีไซน์บั้นท้ายของรถยนต์ให้มีลักษณะคล้ายกับครีบหรือหางของปลา แรงบันดาลใจแบบอเมริกันประดับประดาฝาท้ายด้วยครีบเล็กวางไว้ เหนือไฟท้าย การผลิตของ Fintail ต่อเนื่องไปจนถึงปี 1969

Mercedes Benz W114/115 1968-1976

W114/115 Stroke-8
W110 Fintail ถูกแทนที่ด้วยรถรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้มันเข้ากับยุคสมัยที่แปรเปลี่ยนไป นักออกแบบของ Mercedes-Benz เป็นดีไซเนอร์จากฝรั่งเศสชื่อ Paul Bracq ยังเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการซาลูนคันใหม่รหัส W108 S-Class รถ E-Class รหัส W114/115 มีรูปแบบที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีกับงานวิศวกรรมโครงสร้างที่แข็งแกร่ง นับเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมยานยนต์ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรง Mercedes-Benz กลายเป็นผู้บุกเบิกในการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซล 5 สูบ และถูกใช้เป็นครั้งแรกใน Mercedes-Benz รุ่น 240D 3.0 ลิตร ดีเซล รุ่น W115 ตลอดช่วงอายุของสายการผลิต W114/115 เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1968-1976 รถรุ่นนี้ยังมีการกำหนดรุ่นแยกย่อยของการอัปเกรด ทั้งแบบลีมูซีนช่วงตัวถังยาว แบบคูเป้สองประตูแนวสปอร์ต ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วย E-Class ใหม่ในยุคต่อไป รถรุ่น W114/115 ในไทยเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับผู้คนในยุคนั้นด้วยสมญานามเบนซ์ตาตั๊กแตน

Mercedes Benz W123 1976-1985

W123
การเปิดตัวของ W123 ในปี 1976 เป็นหนึ่งในความพยายามของผู้บริหารซึ่งเป็นผู้ผลิตจากประเทศเยอรมนี เพื่อทำให้รถรุ่นใหม่คันนี้มีความโดดเด่นและค่านิยมที่นำมาใช้ก่อนหน้านี้เหนือกว่า "Stroke 8" รุ่นที่แล้ว กว่า 2.5 ล้านคันของ W123 ถูกขายไปทั่วทุกมุมโลก ตลอดทศวรรษของการผลิต ความสำเร็จที่ได้รับไม่เพียงแค่ด้านวิศวกรรมที่ก้าวล้ำหน้ารถยนต์ยี่ห้ออื่น ความนิยมชมชอบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการตลาดที่ดี W123 เป็นรถที่สามารถทำยอดขายทะลุปรุโปร่งทั้งในยุโรปและในสหรัฐอเมริการวมถึงบางประเทศในเอเชีย ในช่วงเวลานั้น ความนิยมทำให้ลูกค้าต้องรอนานถึง 1 ปี สำหรับการจอง W123 ซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า รูปแบบของตัวรถในการจัดส่งไปยังสหรัฐอเมริกาจะมีความแตกต่างกันในรูปแบบที่คนยุโรปใช้งาน รถ W123 ได้รับการสร้างขึ้นบนพื้นฐานที่เน้นหนักในด้านความปลอดภัย ด้วยกันชนขนาดใหญ่ ไฟหน้าดีไซน์แปลกตาและตัวถังแบบซาลูนที่ปราดเปรียว ลบภาพลักษณ์รถที่เคยมีรูปทรงโบราณไปอย่างสิ้นเชิง ในยุโรปมีความหลากหลายของออปชั่นเสริมพิเศษที่ประกอบไปด้วยที่ปัดน้ำฝนบนไฟหน้า ที่นั่งบุด้วยผ้าเนื้อดีและระบบปรับอากาศแบบใหม่ เพียงไม่กี่ปีที่ถูกส่งออกขาย W123 กลายเป็นยนตรกรรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก่อนหน้าที่ Mercedes Benz จะพัฒนารุ่น W124 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ E-Class อย่างแท้จริง

Mercedes Benz W124 1985-1996

W124 300CE Cabriolet First E-Class

W124 ผงาดขึ้นมาในปี 1985 ในช่วงงาน Motorshow ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต รถ Mercedes Benz W124 ปรับปรุงช่วงล่างใหม่หมดเพื่อการทรงตัวที่ดีขึ้น ตัวถังมีค่าความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นกว่ารุ่น W123 รูปแบบและรุ่นของมันมีให้เลือกมากมายครอบคลุมการใช้งาน ทั้งซีดานสี่ประตู คูเป้สองประตู สองประตูเปิดประทุนหลังคาผ้าใบ ห้าประตูแบบสเตชั่นแวนกอน งานประกอบตัวรถเพิ่มมาตรฐานในหลายรูปแบบซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ภายใน หนังที่ใช้หุ้มและลายไม้ เครื่องยนต์เบนซินและดีเซลหลากหลายขนาดความจุ เทคโนโลยีที่ E-Class W124 นำมาใช้นอกจากระบบช่วยเบรกและถุงลมนิรภัยแล้ว โครงสร้างของแชสซีที่เหนือกว่าคู่แข่งทำให้มันเป็นรถที่มีความปลอดภัยสูงคันหนึ่งของวงการ เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ W124 นับเป็น E-Class รุ่นแรกที่จะส่งถ่ายพันธุกรรมไปเป็นรถซีดานขนาดกลางที่ประสบความสำเร็จต่อไปในโมเดล W210

Mercedes Benz W210 1995-2003

W210
W210 ผงาดขึ้นมาในปี 1995 แทนที่ W124 ที่เริ่มล้าสมัยหลังจากออกขายมานานและได้รับความนิยมไปทั่ว เครื่องยนต์และวิศวกรรมของตัวรถถูกพัฒนาให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นในยุคนั้น มันเป็นรถเก๋งขนาดกลางรุ่นแรกของค่ายตราดาวที่ใช้โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอิเล็กทรอนิกส์ (ESP), (ASR), ระบบเบรกแบบ Assist ครบทั้ง ABS EBD BAS รูปลักษณ์ใหม่หมดจดมีมุมมองที่แปลกตาด้วยไฟหน้าทรงกลมแบบใหม่ ตัวถังมีความกว้างและยาวมากขึ้นทำให้ W210 เป็นรถที่มีขนาดอวบโตมากกว่า E--Class ทุกๆ รุ่น ความกว้างของห้องโดยสารที่ถูกขยายออกเพิ่มเติมประสิทธิภาพของการนั่งโดยสาร อุปกรณ์และวัสดุมีรูปแบบที่ทันสมัยบวกความหรูหราของสีสันภายในที่ใช้ตกแต่งพวกหนังแท้และพรมแม้กระทั่งผ้าบุหลังคา ระบบควบคุมอุณหภูมิเปลี่ยนมาเป็นแบบแยกส่วนดิจิตอล เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลที่มีการอัปเกรดให้กลายเป็นต้นแบบของขุมกำลังที่จะใช้วางลงใน E-Class ยุคต่อไป ส่วนตัวถังยังมีให้เลือกตามความชอบและลักษณะการใช้งานของลูกค้าเหมือนเดิมทั้ง 4-5 ประตู 2 ประตูหลังคาแข็งหรือหลังคาผ้าใบพับเก็บได้ รวมถึงรุ่นแรงสุดจากแผนก AMG ที่มีการเปลี่ยนแปลงอัปขุมกำลังและช่วงล่างรวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งแบบสปอร์ต พวงมาลัยของ W210 ยังได้รับการติดตั้งชุดของปุ่มควบคุมแบบใหม่ ทำให้ทุกระบบที่สั่งงานด้วยปุ่มทั้งเครื่องเสียงการรับสายโทรศัพท์เคลื่อนที่และการควบคุมเครื่องเสียง สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย

Mercedes Benz W211 2002-2009

W211
ในปี 2002 W211 กลายเป็นรถ E-Class ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด รถรุ่นใหม่คันนี้เหมือนเป็นตัวแทนของการก้าวกระโดดอีกครั้งจาก Merrcedes Benz การออกแบบมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้รูปลักษณ์ของรถที่จะออกสู่ตลาดโดนใจกลุ่มลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ตราดาว เช่นเดียวกับการตกแต่งภายในที่หรูหราสมบูรณ์แบบ ทางเลือกของเบาะหนังและไฮไลต์ใหม่บนลายไม้ แผงคอนโซลใหม่กับหน้าปัดที่งดงาม ระบบส่งกำลังมีประสิทธิภาพดีขึ้น E-Class W211 ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในหนัง Men in black พาหนะของพระเอกที่คอยจัดการกับเหล่าวายร้ายต่างดาว มันถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดีจากขั้นตอนอันยาวนานของวิวัฒนาการ เป็นคู่แข่งที่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับ BMW 5-series ที่ Mercedes Benz ใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้คู่แข่งแซงขึ้นหน้าในด้านความนิยม คุณสมบัติที่โดดเด่นของรถรุ่นนี้คือการรวมเอาเทคโนโลยีทั้งจากอดีตผสมกับเทคโนโลยีปัจจุบัน รถ E-Class, W212 ผงาดขึ้นมาในที่สุด และกลายเป็นมรดกตกทอดที่ทรงคุณค่าของแบรนด์ตราดาว

Mercedes Benz W212 2009-2012

W212 Facelift 2013
งานออกแบบของ E-Class W212 เริ่มต้นขึ้นในแผนก R And D ในปี 2004 หลังจากโปรแกรมการพัฒนาอันยาวนานเริ่มขึ้นในปี 2003 ด้วยการออกแบบโดย Thomas Stopka หลังจากการกลั่นกรองและการพิจารณาด้านวิศวกรรมกับช่างและวิศวกรชั้นหัวกะทิของ Benz ด้วยรูปลักษณ์ของไฟหน้าที่ปรับให้คมเข้ม ใช้กรอบไฟหน้าแบบสองชิ้น กระจังหน้าที่เข้ารูปรวมถึงด้านข้างของตัวรถที่เน้นเหลี่ยมมุมมากกว่ารุ่น W211 ไฟท้ายทรงยาวที่ดูดีกว่าไฟท้ายแบบสามเหลี่ยมตามยุคสมัยที่แปรเปลี่ยนไป ภายในใช้ความหรูเป็นการนำเสนอที่คุ้นเคยของ New E-Class ทั้งนาฬิกาบนคอนโซล แผงหน้าปัดมาตรวัดสีขาวนุ่มนวลกับโทนสีภายในห้องโดยสารที่มีให้เลือกแล้วแต่ความชอบของลูกค้า รุ่นที่ขายดีนอกจากซาลูน 4 ประตูแล้ว W 212 ในรุ่นคูเป้สองประตูยังถูกขายออกไปราวกับสายน้ำ ทรงของรถที่งดงามลงตัวมากกว่า E-Class ทุกรุ่นที่เคยมีมาทำให้มันประสบความสำเร็จบนเส้นทางของการทำตลาด ในช่วงต้นปี 2013 ค่าย Mercedes Benz ปล่อย W212 รุ่น Facelift ตามออกมาเพื่อกระตุ้นตลาดรถหรูขนาดกลาง การปรับดีไซน์ของไฟหน้าและไฟท้ายใหม่ การผนวกเอาความหรูหราของวัสดุอุปกรณ์และสภาพการขับขี่ควบคุมที่ดีขึ้นทำให้ความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยตัวถังที่หลากหลาย สมรรถนะที่โดดเด่น เครื่องยนต์ที่สะอาดมากยิ่งขึ้น

THE EQ POWER

W213
ความทันสมัยไฮเทคถูกบรรจุไว้ใน New E-Class รุ่นล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นระบบกระจังหน้าเปิด-ปิด อัตโนมัติ ไฟหน้า Multibeam LED ชนะเลิศในด้านความสว่างและความฉลาดเฉลียวในการทำงาน เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งเครื่องเบนซิน 2.0 ลิตร พ่วงระบบเสียบปลั๊กชาร์จ เครื่องดีเซลรุ่นใหม่ ขนาดความจุ 2 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบ เป็นเครื่องยนต์ที่มีการทำงานในด้านความประหยัดและพลังในรูปของแรงบิดดีที่สุดในจำนวนเครื่องดีเซลเทอร์โบความจุไม่เกิน 2.0 ลิตร สำหรับพวกที่รักความแรงก็ยังมี E-Class ที่เชื่อมโยงกับสำนักแต่ง AMG ด้วยรถรุ่น E53 เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบเทอร์โบคู่สุดแรง ถ้ายังไม่สาแก่ใจก็ยังมีตัวแสบมาดป๋าอย่าง Mercedes-AMG E63s 4MATIC+ ซาลูนจอมโหด เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร 612 แรงม้า แรงบิด 850 นิวตัน-เมตร ที่เร่งได้เร็วน้องๆ ซุปเปอร์คาร์ และมันมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบใหม่ล่าสุดของแบรนด์ตราดาว E-Class W213 แสดงให้เห็นถึงความก้าวล้ำในด้านการออกแบบ ระบบขับเคลื่อนและการรักษาสิ่งแวดล้อม ภายในของมันมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยล้ำยุคมากมายบรรยายกันไม่หมด เฉพาะจอภาพมาตรวัดที่เชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์เป็นชิ้นเดียวกันก็มีขนาดความยาวพอๆ กับโทรทัศน์จอแบนขนาด 21.5 นิ้ว! ระบบปรับอากาศแบบ Dualzone เครื่องเสียงไฮเอนด์และความสามารถในการนำทางของระบบเนวิเกเตอร์แบบใหม่ล่าสุดที่แสดงผลในรูปแบบ 3D เป็น E-Class ที่ครบถ้วนกระบวนความมากที่สุดเท่าที่แบรนด์ตราดาวเคยผลิตออกขาย

ทั้งหมดทั้งปวงทำให้ E-Class เป็นซาลูนขนาดกลางที่ไม่เหมือนใครจากการรักษาเอกลักษณ์เอาไว้อย่างเหนียวแน่นตั้งแต่รุ่นแรกสุดยันรุ่นสุดท้าย ไม่ว่าคุณจะขับมันในรุ่นใด ทุกๆ คันต่างส่งถ่ายอารมณ์และการตอบสนองของความเป็น Mercedes Benz ได้คล้ายๆ กัน กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาได้ขัดเกลาให้โมเดล E-Class เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือความเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมตลอดระยะเวลาเกือบ 70 ปีนั่นเอง.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://web.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/

คุณกำลังดู: เปิดตำนานความหรูคู่สมรรถนะสายป๋า ดาวประดับฟ้า MERCEDES-BENZ E-CLASS HISTORY

หมวดหมู่: รีวิวรถใหม่

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด