แรงจัดประหยัดเอาเรื่อง! ทดสอบ AUDI Q5 55TFSI e QUATTRO S LINE BLACK EDITION

ทดสอบ AUDI Q5 55TFSIe QUATTRO S LINE BLACK EDITION เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ มอเตอร์ไฟฟ้า กำลัง 376 แรงม้า 500 นิวตันเมตร 0-100 ใน 5.3 วินาที ราคา 3,950,000 บาท

แรงจัดประหยัดเอาเรื่อง! ทดสอบ AUDI Q5 55TFSI e QUATTRO S LINE BLACK EDITION

พาดหัวยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยพุ่ง 820% นั้นดูดี แต่เมื่อดูตัวเลขยอดขายรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จดทะเบียนใหม่ (ป้ายแดง) ในเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวน (แค่) 1,242 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 820% โดยภาพรวม ตลอดปี 2565 รถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายสะสม จำนวน 9,583 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 393.5% เทียบกับรถยนต์สันดาปภายในยี่ห้อ Toyota รุ่น Yaris Ativ ที่ทำยอดขายทะลุทะลวงในปี 2565 มากกว่า 40,000 คันแล้ว ดูเหมือนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุคแรกของการเปลี่ยนผ่านจะมีจำนวนแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น สำหรับประเภทรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายได้ในปี 65 เช่น รถยนต์ไฟฟ้า BEV (100%) มีการจดทะเบียนใหม่เมื่อปี 2565 อยู่ที่ 20,815 คัน เพิ่มขึ้น 274.64% รถยนต์พลังงานผสมไฮบริด HEV อยู่ที่ 64,035 คัน เพิ่มขึ้น 78.91% และรถไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV อยู่ที่ 11,331 คัน เพิ่มขึ้นถึง 60.50%

ปัจจุบัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพุ่งแรง และมียอดขายรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถบรรทุก และ SUV พลังงานไฟฟ้า ที่ต่างก็มีสไตล์และมีระยะทางเป็นที่น่าพอใจ ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่มีความหลากหลายของตัวถัง และมีราคาขายต่ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้าของฝั่งยุโรปมาก แต่ยานพาหนะที่ใช้ระบบพลังงานผสมแบบเสียบเพื่อชาร์จนั้นยังคงทันสมัยอยู่ โดยเฉพาะรถยนต์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดจากเยอรมัน Audi Q5 55 TFSI e 2023 ที่นำเข้าโดย Audi Thailand มีเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ ชุดแบตเตอรี่ขนาด 17.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้า 105 แรงม้า เกียร์ 7 สปีดที่เชื่อมต่อกับมอเตอร์ขับเคลื่อนเสริมแรงในระบบส่งกำลังของ Q5 ควบรวมกำลังทั้งสองระบบได้ 367 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร นั่นถือว่าแรงเอาเรื่องเลยล่ะครับ เพราะถ้าไม่แรงพอ คู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz GLC300e / BMW X3 xDrive 30e LCI / Volvo XC60 T8 R Design และ Lexus NX450h+ ก็พร้อมที่จะแซงขึ้นหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่วนระยะทางไฟฟ้าล้วนๆของ Q5 55TFSI e ทำได้ไกล 54 กิโลเมตร

Audi Q5 ปี 2022 เปรียบเสมือน iPhone ของ Apple ในโลกของ SUV นี่คือเอสยูวีตราสี่ห่วงที่ขึ้นชื่อในด้านคุณภาพการประกอบที่แม่นยำและแน่นหนา (ไม่เชื่อลองปิดประตูรถ Audi ดูก็ได้) พร้อมการควบคุมที่ขึ้นตรงกับประสิทธิภาพของการเร่งความเร็วอย่างทันใจ รูปลักษณ์ที่ประณีตของยานยนต์อเนกประสงค์แบรนด์เยอรมัน เน้นความหรูหราและเร่าร้อน Q5 55TFSI e Plug in Hybrid มีคุณสมบัติทางเทคนิคที่โดดเด่นและสไตล์ที่ฉูดฉาดจากชุดแต่ง Black Edition สำหรับ Q5 เหล่านักขับพ่อบ้านต่างรับประกันความพึงพอใจด้านการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยภาพรวมของ Q5 Facelift 2022 มันมีระบบส่งกำลัง 3 แบบ เริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบชาร์จ 201 แรงม้า ในรุ่น 40TFSI ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Ultra Quattro เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รุ่นต่อไปเป็น 45TFSI ได้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ ปรับแต่งให้ทรงพลังมากกว่าที่ 261 แรงม้า และมาด้วยชุดขับสี่แบบใหม่เช่นเดียวกัน สำหรับรุ่นปลั๊กอินไฮบริด 55TFSI e นั้นกระฉูดกว่ามาก 55TFSI e ให้อัตราเร่งที่รวดเร็วน้องๆ Porsche Macan พร้อมการขับแบบไม่ปล่อยมลพิษไกล 54 กิโลเมตร ผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีเสียบปลั๊กชาร์จ ทั้งวัยรุ่นและวัยผู้บริหาร ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของ Audi Q5 เนื่องจากมีฟีเจอร์ดิจิทัลและการช่วยเหลือผู้ขับมากมายหลายฟังก์ชัน พร้อมกำลัง 362 แรงม้า กับแรงบิดที่โหดพอๆ กับ SQ5

Q5 55 TFSI e Quattro S Line ราคา 3,699,000 บาท

Q5 55 TFSI e Quattro S Line Black Edition 3,950,000 บาท (คันทดสอบ)

Q5 Sportback 55 TFSI e Quattro S Line Black Edition 4,190,000 บาท

การปรับแต่งระบบส่งกำลัง TFSI e ของ Audi ไม่จำเป็นจะต้องมีการประนีประนอมกับอัตราสิ้นเปลือง แต่ระยะการใช้งานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียวๆ ที่ทำได้ 54 กิโลเมตร ทำให้สูสีกับระยะทางไฟฟ้าของ Lexus NX450h+ ที่ทำได้ประมาณ 60 กิโลเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับปลั๊กอินไฮบริดของญี่ปุ่นในเซกเมนต์ที่ใกล้เคียงกัน Lexus NX450h+ สามารถเดินทางต่อไปได้อีกนิด โดยใช้พลังงานแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว แต่ประสิทธิภาพด้านการเร่งความเร็วของจรวดทางเรียบอย่าง Q5 55TFSIe นั้นไม่เป็นสองรองใคร มันเป็นเอสยูวีที่แรงและเร็ว มันเร็วกว่า NX450h+ และเร็วกว่า SQ5 ที่เน้นประสิทธิภาพด้านอัตราเร่ง ในความเป็นจริง Q5 55 TFSIe เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.3 วินาที แซงหน้า SQ5 รุ่นล่าสุด (รุ่น Sportback) 0.3 วินาที ในขณะที่ Q5 Sportback 45TFSI ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.6 วินาที

มีอะไรใหม่ใน Q5 PHEV ปี 2023
Audi ได้เปลี่ยนคุณลักษณะบางอย่างในกลุ่มผลิตภัณฑ์เอสยูวีรุ่น Q5 ในปีนี้ เริ่มจากการสร้างมาตรฐานใหม่ของระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้ในทุกรุ่น มันมาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงของ Bang & Olufsen ที่ให้มิติของเสียงเพลงอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม รุ่น Plug-in Hybrid “55” ติดตั้งไฟท้ายแบบ OLED Chronos Grey สีตัวถังที่มีให้เลือกหลากหลาย บนเนื้อสีภายนอกของ Q5 55TFSIe ที่สดใสและกระจ่างตา ล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้ว ของ S line ไฟหน้า Audi Matrix LED พร้อมระบบอัตโนมัติ กระจังหน้าทรงรังผึ้งกรอบแปดเหลี่ยม สำหรับ Q5 ใหม่ ใช้แพลตฟอร์ม MLB2 ร่วมกับรถยนต์หลากหลายรุ่นภายใต้แบรนด์ Audi เช่น A4 / A8 / Q7 และ Volkswagen Touareg MKII เป็นแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลาย ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลความจุ 2.0 ลิตร ไปจนถึงเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร รวมถึงเครื่องยนต์ลูกผสมแบบปลั๊กอินไฮบริด กับการวางระบบขับเคลื่อนแยกย่อยทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา Ultra Quattro

Audi Q5 55TFSi e มีขนาดที่ใกล้เคียงกับ BMW X3 ซึ่งอยู่ในกลุ่มเอสยูวีไซล์กลาง มิติตัวถัง ยาว 4,663 มิลลิเมตร กว้าง 1,893 มิลลิเมตร ความกว้างตัวถังวัดจากขอบกระจกมองข้าง Width including mirrors 2,140 มิลลิเมตร สัดส่วนความสูงอยู่ที่ 1,659 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,819 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหน้า 1,616 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหลัง 1,609 มิลลิเมตร ระยะโอเวอร์แฮงค์หน้า 899 มิลลิเมตร ระยะโอเวอร์แฮงค์หลัง 945 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2,040 กิโลกรัม ล้ออัลลอย Audi Sport ขอบ 20 นิ้ว ยาง Pirelli scorpion verde 255/40R20

Audi แยกระบบส่งกำลังของ Q5 ด้วยตัวเลข 40, 45 และ 55 สองตัวแรกหมายถึงเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตรเทอร์โบ และตัวที่สามเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ ติดตั้งระบบปลั๊กอินไฮบริด มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูง ตัวถังของ Audi Q5 2023 มีให้เลือกทั้งแบบมาตรฐาน และ Sportback เน้นพื้นที่ใช้สอยอเพียงและความสมดุลของไดนามิก ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ Ultra Quattor จอแสดงผลมาตรวัดดิจิตอล Virtual Cockpit ช่วงล่างและยางมีประสิทธิภาพการยึดเกาะ กับความสะดวกสบายของห้องโดยสารโดยเฉพาะพื้นที่ส่วนหน้า ทั้งเบาะคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ส่วนเบาะหลังแบบสามที่นั่ง มีพื้นที่วางเท้าและพื้นที่เหนือศีรษะมากพอที่จะทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง

เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และสมรรถนะ
Q5 55TFSI e รุ่นที่ Audi Thailand นำเข้ามาขาย มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินสี่สูบ เทอร์โบชาร์จ ความจุ 2.0 ลิตร กำลัง 262 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าในเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด กำลัง 141 แรงม้า แรงบิดของมอเตอร์ขับเคลื่อนอยู่ที่ 350 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Ultra Quattro คอยเฉลี่ยแรงบิดให้เกิดความสมดุลในทุกย่านความเร็ว แบตเตอรี่ lithium-ion ขนาด 17.9 kWh onboard charge เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อทำงานร่วมกันจะมีกำลังรวม 367 แรงม้า แรงบิดของทั้งสองระบบรวม 500 นิวตันเมตร (369 ปอนด์-ฟุต) เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร ใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบกันสะเทือนของเอสยูวีขนาดกะทัดรัดที่หรูหรานั้นรองรับแรงกระแทกได้ดี และให้ความรู้สึกมั่นคง ไม่ว่าสภาพถนน หรือสภาพการขับจะเป็นอย่างไร การขับเน้นความราบรื่นและควบคุมได้ง่าย ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีระบบกันสะเทือนแบบปรับได้อัตโนมัติก็ตาม แม้กระทั่งบนผิวยางมะตอยที่มีรอยแตก การบังคับเลี้ยวของพวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดแปรผันนั้นเน้นความแม่นยำและให้สัมผัสที่เบาสบายมือ โหมดไดนามิก พวงมาลัยจะปรับหน่วงเพื่อให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแต่ยังคงความดุดัน เหมาะกับเส้นทางคดเคี้ยวซึ่งท้าทายคู่แข่งมากความสามารถอย่าง Porsche Macan อย่างจงใจ

Q5 มีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้ใหญ่สี่คนเพื่อให้รู้สึกสบายและมีคุณสมบัติหรูหรา ห้องโดยสารมีวัสดุป้องกันเสียงแปลกปลอมจนเงียบมากพอที่จะขับอย่างสงบราบรื่นได้ในวันที่เร่งรีบ ด้วยความเร็วและการดีไซน์บานประตูให้เข้าและออกจากห้องโดยสารได้ง่าย Q5 55TFSIe ยกระดับงานตกแต่งให้ลงตัวด้วยแดชบอร์ดที่เน้นเส้นสายเฉียบคม มีการรวบรวมคุณสมบัติที่หรูหรามากขึ้น รวมถึงคลัสเตอร์มาตรวัดดิจิตอล Virtual Cockpit ที่ปรับรูปแบบได้ของ Audi มาตรวัดจอภาพยังแสดงผลด้วยวัดรอบและความเร็วทรงกลมแบบคลาสสิก เบาะปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ แผงข้างประตูและพนักเท้าแขนในทุกตำแหน่งหุ้มด้วยหนังอย่างดี พื้นที่เบาะหลังออกแบบให้นั่งโดยสารทางไกลได้อย่างสบายตัว เบาะหลังของ Q5 พับได้ง่าย ด้วยรูปแบบของการพับ 40/20/40 ให้ความยืดหยุ่นที่ Lexus RX ไม่มี และมีพื้นที่เก็บสัมภาระมากกว่านิดหน่อย ระบบสาระบันเทิงหรืออินโฟเทนเมนต์ที่ใช้งานง่าย แสดงในหน้าจอแดชบอร์ดขนาด 10.1 นิ้ว ฟีเจอร์สาระบันเทิงส่วนใหญ่จะมีอยู่และนำมาใช้ในไตรมาสที่ 5 ฐาน ซึ่งรวมถึงฮอตสปอต Wi-Fi และความสามารถในการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และ Android Auto จอภาพมาตรวัดใน Audi Virtual Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว

เช่นเดียวกับปลั๊กอินไฮบริดของ BMW X3 30e และ Mercedes-Benz GLC300e Q5 55TFSIe มาพร้อมโหมดขับเคลื่อนที่หลากหลายครอบคลุมแม้กระทั้งโหมด Off Road เมื่อเข้าสู่การปรับโหมดเพื่อเลือกการตอบสนองของระบบขับเคลื่อนและชุดบังคับเลี้ยวไฟฟ้า Q5 มีตำแหน่งสวิตช์ปรับโหมดขับเคลื่อนที่ค่อนข้างกดใช้งานยาก ที่จะเลือกบริเวณด้านล่างซ้ายของคอนโซลกลาง) โหมดการขับขี่หลักประกอบด้วย Off Road, Efficiency, Comfort, Dynamic และ Individual ซึ่งทั้งหมดนี้ควรอธิบายได้ด้วยความชอบของตนเอง ระบบส่งกำลังปรับค่าการตอบสนองให้คุณเลือกได้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นแบบ Drive Auto หรือ Sport Dynamic คุณยังสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเองโดยใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยดึงเข้าหาตัวเอง เกียร์จะปรับการตอบสนองซึ่งมีตั้งแต่ D อัตโนมัติ S สปอร์ต (กินไฟและน้ำมัน) M เกียร์แมนนวลที่ใช้การปรับเกียร์ผ่าน Paddle Shift ซึ่ง ถ้าคาอยู่ในโหมด D หรือ S เกียร์ทวินคลัตช์ 7 สปีด มีการทำงานที่ว่องไว รวดเร็วและไหลลื่นจนไม่มีความจำเป็นจะต้องชิฟเกียร์เอง นอกจากนี้ยังมีปุ่ม EV ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียวๆ ซึ่งควรจะมีกระแสไฟเหลืออยู่ในแบตฯมากพอ , โหมด Hold หมายความว่ารถจะรักษาระดับการชาร์จแบตเตอรี่ เป็นสิ่งสำคัญหากคุณต้องการรักษาระดับการชาร์จแบตเตอรี่ไว้ในระหว่างการเดินทางบนมอเตอร์เวย์ที่ยาวนานก่อนเข้าเมือง ผมลองใช้เกียร์ S หรือโหมด Dynamic วิ่งทางยาวๆ ได้ไฟชาร์จกลับคืนมาวิ่งด้วยมอเตอร์อีก 20 กิโลเมตร

โดยรวมแล้ว Q5 นั้นมีงานประกอบที่ประณีตและวิ่งได้อย่างนุ่มนวล อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบส่งกำลัง/โหมด/เกียร์ที่แตกต่างกันทั้งหมด ฯลฯ เมื่อวางเท้าลงเพื่อเร่งความเร็วแซงผ่านรถที่ขับช้า เกียร์ S ระบบส่งกำลังจะตอบสนองอย่างกระฉับกระเฉง ผลักดันอัตราทดกำลังให้ใช้สำหรับเร่งแซงหรือขับเร็ว เกียร์ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวค่อนข้างดี แต่การทำงานของเกียร์ถอยหรือเกียร์ R จะช้ากว่า GLC300e เล็กน้อย มอเตอร์ไฟฟ้าถูกรวมเข้ากับเกียร์ S tronic เจ็ดสปีด ดังนั้นเมื่อ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า คุณจะสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนเกียร์เหมือนกับการใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน เพียงแค่มันเงียบจนสัมผัสรับรู้ได้ว่า การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าไกล 40 กิโลเมตร นั้น ในย่านความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Audi Q5 55TFSIe เก็บเสียงได้ดีมาก แม้จะใช้ล้อใหญ่ถึง 20 นิ้วกับยางเส้นเขื่องแต่การเก็บเสียงก็ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

คุณภาพการขับขี่โดยรวมถือว่าดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนเรียบนั้นเหนือชั้นกว่าคู่แข่งร่วมสัญชาติอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่ ทำให้ Q5 มีน้ำหนักถึง 2,040 กิโลกรัม น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลต่อการจัดการด้วย แต่การปรับแต่งขั้นเอกอุของ Audi ทำให้ไดนามิคของ Q5 Plug in Hybrid แทบจะไม่แตกต่างไปจาก SQ5 การบังคับเลี้ยวให้ความรู้สึกเบาสบายข้อมือที่ความเร็วต่ำในโหมด Comfort และกระชับรัดกุมมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเมื่อขับเร็วในโหมด Dynamic ระยะฟรีตรงกลางนิดเดียวทำให้ควบคุมทิศทางได้ง่าย ในย่านความเร็วต่ำ พวงมาลัยออกจะไวไปด้วยซ้ำ แต่เมื่อขับเร็วก็พบว่าน้ำหนักของระบบหน่วงข้อมือให้ความรู้สึกรัดกุมและแม่นยำ

Q5 มีระบบขับเคลื่อนทุกล้อ quattro ยาง Pirelli Scorpion Verde ได้รับการติดตั้งเข้ากับรถทดสอบของลูกค้า ซึ่งให้ความสามารถสำหรับการขับแบบออฟโรด การหายางที่มีคุณสมบัติรอบด้านเช่นนี้ในกลุ่มยานยนต์ของ Volkswagen Group SUV เป็นเรื่องยากนอกจากคุณจะซื้อ Urus หรือ RSQ8 ฟิลลิ่งที่สร้างความประทับใจอย่างแท้จริงก็คือ เมื่อเครื่องยนต์ TFSI เทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตรของ Audi เริ่มทำงานในรอบสูง มันเป็นเครื่องยนต์ ICE แบบลูกครึ่งผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้าที่ดึงกระแสไฟจากการป้อนของแบตเตอรี่ท่ีวางอยู่ด้านหลัง (เพื่อการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล) เครื่องยนต์ทำงานเงียบและลื่นไหลอย่างน่าประทับใจ คุณจะได้ยินเสียงคำรามเบาๆเมื่อกดคันเร่งลงจนสุด แรงบิดที่พุ่งพรวดออกมากลายเป็นแรงดึงและการพุ่งทะยานไปข้างหน้าของ Q5 55TFSI e คุณอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นี่เทอร์โบกำลังทำงาน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงและการเชื่อมโยงที่ค่อนข้างสุดขั้ว ระหว่างพลังงานไฟฟ้าแสนสะอาดที่ผสมผสานพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลจอมโสโครก

ความซับซ้อนแบบเดียวกันนั้นยังคงดำเนินต่อไปเมื่อคุณก้าวเข้าสู่การใช้งานอย่างจริงจัง Q5 PHEV เป็นเอสยูวีปลั๊กอินไซล์กลางที่เน้นสมรรถนะ ใช่ครับ ทั้งอัตราเร่ง การคงความเร็วโดยไม่สร้างแรงกดดันให้กับคนขับเป็นสิ่งที่ดี และเป็นสิ่งที่ Audi สัญญาว่าเจ้าของรถจะได้เห็นอุปกรณ์ช่วยขับที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต เอาท์พุตของระบบทั้งหมด ที่ 367 แรงม้า มันพุ่งจาก 0- 100 กม./ชม. ใน 5.3 วินาที เร็วที่สุดในกลุ่มเอสยูวีไซล์กลางเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (BMW X3 30 e 0-100 ใน 6.1วินาที) มันมีน้ำหนักมากกว่า Q5 รุ่นมาตรฐานเกือบ 300 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักของระบบ Plug in Hybrid โหมด EV ของ Q5 ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรงที่เชื่อมต่อกับชุดเกียร์ ให้กำลัง 141 แรงม้า และที่สำคัญกว่านั้นคือแรงบิด 350 นิวตันเมตร หรือ 258 ปอนด์-ฟุต แม้จะอยู่ในโหมด EV มันก็มีความห้าวหาญเหลือเฟือ เช่นเดียวกับ SUV PHEV หลายๆ รุ่นของแบรนด์สี่ห่วง Q5 55TFSI e ถูกจำกัดไว้ที่ 135 กม./ชม. เมื่อทำงานโดยใช้อิเล็กตรอนเพียงอย่างเดียว แต่ถึงแม้จะแล่นด้วยความเร็วคงที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังไม่ใช่การใช้ช่วงของแบตเตอรี่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีกำลังน้อยเกินไป กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในโหมดไฮบริดหรือไฟฟ้า Q5 มอบการผสมผสานที่เหนือชั้นของความซับซ้อนและประสิทธิภาพด้านแรงบิดที่ทำให้ประทับใจไม่รู้ลืม

Audi อ้างว่า Q5 55TFSI e นั้นดีสำหรับการขับขี่รถยนต์แบบไร้มลพิษเป็นระยะทาง 54 กิโลเมตร เมื่อลองวิ่งจริงโดยใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องทำได้ 43 กิโลเมตร แบตเตอรี่มีลิเธียมไอออนจาก 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง เปลี่ยนเป็น 17.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 29 kWh/100 กิโลเมตร ในการทดสอบ ข่าวดีก็คือ ระหว่างการทดสอบในเมืองตลอดสัปดาห์ ในย่านความเร็วต่ำ มาตรวัดน้ำมันแทบจะไม่ขยับ ซึ่งเป็นจุดเด่นของระบบผสมผสานแลบริหารพลังงาน การขับทดสอบทางไกลด้วยโหมดสูงสุดDynamic Q5 55TFSI e มีอัตราาสิ้นเปลือง (เมื่อขับเร็วในโหมดสูงสุด) อยู่ที่ 11.5 กิโลเมตรต่อลิตร เสียบปลั๊กชาร์จไฟตอนกลางคืนทิ้งไว้ (ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง) คุณจะได้ระยะทางไฟฟ้าไกลประมาณ 45 กิโลเมตร ด้วยความเร็วเดินทางปกติที่ไม่ใช่การคลานเป็นเต่ากัดยาง สิ่งที่แลกเปลี่ยนกับเงินเกือบสี่ล้านก็คือ พลังงานในรูปของแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร ที่ทำให้รถสามารถโลดโผนโจนทะยานได้ดั่งใจ และ quattro ก็ทำให้มั่นใจเมื่อใช้ความเร็วสูงบนเส้นทางที่อุดมไปด้วยโค้งหน้าตาแปลกๆที่ไม่คุ้นชิน ความสบายของเบาะและพื้นที่ใช้สอยโดยรวม

สำหรับส่วนที่เหลือของ Q5 55 TFSI e นั้น มีความเป็น Audi ล้วนๆ ซึ่งความหมายก็คือ มันขับได้ดี เร่งได้ดั่งใจและไปเร็วขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว ยึดเกาะกับถนนในแบบที่รถเยอรมันชั้นดีควรจะเป็น ห้องโดยสารนั้นยอดเยี่ยมมาก ค่อนข้างกว้าง ด้วยหนังที่ตัดเย็บอย่างสวยงาม ระบบสาระบันเทิงที่ใช้งานง่าย แม้ว่าชุดแบตเตอรี่ด้านหลังจะกินพื้นที่บรรทุกประมาณ 90 ลิตร นอกจากความเงียบแล้ว ห้องโดยสารยังทำให้รู้สึกสงบและมีสมาธิอีกด้วย ระบบกันสะเทือนของ Audi ทั้งสองสอดคล้องและตอบสนองได้ดีมาก ปรับเซ็ตค่ากลางๆมาให้นั่งสบายและใช้ความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ มันมั่นคงมากพอและทำให้รู้สึกสนุกไปกับการควบคุม จากการตอบสนองที่ยอดเยี่ยมของระบบส่งกำลัง ช่วงล่างและพวงมาลัย นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีขั้นสูงUltra Quattro ที่คาดการณ์ได้ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro แบบใหม่ จะทำการเฉลี่ยแรงบิดสำหรับการยึดเกาะถนน สร้างการขับเคลื่อนที่มีความเสถียร โดยเฉพาะในย่านความเร็วสูง

ภายในของ Q5 ได้รับการออกแบบมาอย่างดี และตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง คุณจะได้ตำแหน่งการขับขี่และการมองเห็นรอบคันที่ดี ระบบอินโฟมีเดียโดยทั่วไปทำงานได้ดี – มีปุ่มทางลัดสำหรับหน้าจอสัมผัส กราฟิกที่ชัดเจน สามารถเลือกตัวเลือกต่างๆ บนหน้าจอด้วยระบบสัมผัส จอแสดงผลดิจิทัลในแผงหน้าปัดด้านหน้าคนขับปรับเปลี่ยนรูปแบบให้อ่านค่าได้ชัดเจนและหลากหลายซึ่งรวมถึงระบบนำทางด้วยดาวเทียมเมื่อเชื่อมโยงกับ Apple Car Play ฟังก์ชันตัวเลือกที่เลือกเมนูต่างๆ ผ่านปุ่มเลื่อนบนพวงมาลัย การตกแต่งภายในของ Q5 ดูมีรสนิยม พร้อมการออกแบบที่เรียบง่าย เบาะหนังแบบสปอร์ตมีความกระชับ นั่งสบาย รองรับต้นขาได้ดี วัสดุหุ้มมีคุณภาพสูง อินเทอร์เฟซเทคโนโลยี MMI ล่าสุดของ Q5 ทำงานผ่านหน้าจอสัมผัส การควบคุมระบบสาระบันเทิงที่ซ้ำซ้อนบนคอนโซลกลาง

ระบบกันสะเทือนมาตรฐานให้สัมผัสแบบสปอร์ต มันช่วยลดแรงกระแทกและสร้างแรงยึดเกาะร่วมกับยางแมงป่องจากแบรนด์ยางอิตาลีคุณแทบจะไม่ได้ยินอะไรจากเสียงรบกวนรอบข้างQ5 55TFSI e เป็นแบบอย่างและมาตรฐานของ SUV ในปัจจุบัน ความแตกต่างหลักระหว่าง Q5 PHEV กับรถคู่แข่งก็คือ ระบบขับเคลื่อน หัวใจหลักของมันคือเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบชาร์จ ที่มีปริมาตรความจุ 2 ลิตรอัดอากาศด้วยเทอร์โบ เป็นขุมกำลัง TFSI eจากรถ Audi PHEV ไซล์เล็กไปจนถึงกลางๆ เครื่องยนต์สี่วาล์วต่อสูบ ทำงานเงียบ มอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสที่เชื่อมต่อกับเกียร์คลัตช์คู่เจ็ดสปีด ผสมกำลังของทั้งสองระบบได้ถึง 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุดรวมกันที่ 500 นิวตันเมตร ทำให้ Audi Q5 55 TFSI e quattro เร่งความเร็วได้อย่างทรงพลัง ตั้งแต่ออกตัวจนไปถึงความเร็วสูงสุด รถปลั๊กอินจากเมือง Ingolstadt คันนี้ ทำความเร็ว 0- 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.3 วินาที หากพลังงานสำรองของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนหมดลง เครื่องยนต์เบนซิน 252 แรงม้า ในโหมด Dynamic จะเริ่มต้นการชาร์จไฟใส่แบตเตรอรี่แบบอัตโนมัติ

ระบบขับเคลื่อนไฮบริดให้ความรู้สึกกลมกลืนและเชื่อมโยงการทำงานได้อย่างนุ่มนวล ทั้งการดับและสตาร์ทเครื่องยนต์ (Auto Start/Stop) ทำงานได้เนียบกว่าเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบล้วนๆ ตราบใดที่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ายังต้องรับหน้าที่ในการเสริมแรงบิด ระบบเพิ่มกำลังด้วยไฟฟ้า เอาชนะความล่าช้าในการตอบสนอง รีดแรงบิดออกจากเครื่องยนต์และมอเตอร์อย่างรวดเร็ว ปกปิดจุดอ่อนในการสตาร์ทของเครื่องยนต์เบนซิน สำหรับการขับทางไกล ในการทดลองสอบ คอมพิวเตอร์ออนบอร์ดแสดงการใช้พลังงาน 15 kWh และใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน 95 11.5 -12.3 กิโลเมตรต่อลิตร

Quattro with Ultra Technology สามารถประเมินผลถึงความจำเป็นในการทดกำลังลงไปยังล้อทั้งสี่ ไล่เรียงจาก Audi Q5 ไปจนถึง Audi R8 V10 รุ่นใหม่ เมื่อรวมเข้ากับระบบกระจายแรงบิด หรือ Sport Differential ซึ่งหมายถึงเฟืองท้ายแบบกระจายแรงบิดบนเพลาขับหลัง ด้วยความสามารถของสมองกลไฟฟ้าที่ชอบเรียนรู้พฤติกรรมการขับขี่ของคนขับ มันจะสามารถเทแรงบิดแบบเจาะจงลงไปยังล้อนั้นๆ ได้โดยตรง เพื่อปรับแต่งแรงบิดในล้อแต่ละข้างให้เข้ากับสไตล์และการขับของเจ้าของรถ คิดดูเอาเองว่ามันจะดีแค่ไหนหากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมีความฉลาดหลักแหลมพร้อมที่จะเรียนรู้สไตล์การขับของคุณอยู่ตลอดเวลา ระบบ Quattro with Ultra Technology เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด มีการทำงานที่รุดหน้ากว่า xDRIVE ของ BMW รวมถึง 4Matic ของ Mercedes Benz

Audi แบบปลั๊กอินไฮบริดนั้นน่าเชื่อถือสำหรับการใช้งานทุกวันในชีวิตประจำวัน ระบบช่วยเหลือทางไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ช่วยขับเคลื่อนได้ดีกว่าเครื่องยนต์เบนซินล้วน หากคุณควบคุมการใช้คันเร่งที่ Q5 55TFSI e พยายามยั่วให้ขับเร็วขึ้น คุณจะมีอัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำอย่างน่าประหลาดใจ มันดีสำหรับรถ SUV ขนาด 2 ตัน เมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ในย่านความเร็วต่ำ (ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แทบจะไม่รู้สึกถึงการทำงานที่นุ่มนวล ยิ่งกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบมาตรฐานที่มีชุดเกียร์ S tronic แบบเดียวกัน ทุกอย่างของระบบส่งกำลัง PHEV เกิดจากคุณลักษณะของมอเตอร์ไฟฟ้าและการที่รถมีกระปุกเกียร์แบบคลัตช์สองชุด ซึ่งปกติแล้วไม่จำเป็นต้องใช้คลัตช์อีกชุด เกียร์ S Tronic ไม่มีอาการกระตุกในช่วงสุดท้ายของการเบรก ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยมากกับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด แต่ถ้าอยากได้เอสยูวีเสียบปลั๊กชาร์จที่ทรงพลังสุดๆ ก็ต้องเดินไปที่ Q8 60TFSI e แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับคำว่า ผิดหวัง.

Audi Q5 55TFSIe Quattro S Line
เครื่องยนต์เบนซิน Plug in Hybrid เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ ความจุ 2.0 ลิตร 265 แรงม้า 370 นิวตันเมตร
มอเตอร์ไฟฟ้า กำลัง 143 แรงม้า 350 นิวตันเมตร
กำลังรวมสูงสุดทั้งสองระบบ 367 แรงม้า 500 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 5.3 วินาที
ขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro
ล้อและยางขนาด 235/55/R19
พื้นที่เก็บสัมภาระ กว้าง 465 ลิตร-1,405 ลิตร
ชุดแต่งภายนอก S Line
เซนเซอร์และกล้องแสดงภาพขณะถอยหลัง
ระบบปรับอากาศแบบแยกอิสระสามโซน
เบาะคู่หน้าแบบสปอร์ต ปรับไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชันบันทึกตำแหน่งเบาะคนขับ
ระบบช่วยปรับอุณหภูมิห้องโดยสารก่อนเริ่มการขับขี่
ม่านบังแดดที่กระจกประตูด้านหลัง ซ้าย-ขวา

สิ่งที่เพิ่มมาให้ใน Q5 55TFSI e Quattro S Line Black Edition
ชุดแต่ง Black Edition รอบคัน
เบาะหุ้มหนัง Fine Nappa พร้อมสัญลักษณ์ S Line
เครื่องเสียง B&O

ล้อและยาง 255/40R20
คาลิปเปอร์เบรกสีแดง
ระบบช่วยเหลือการขับขี่
ระบบป้องกัน Pre-sense แบบพื้นฐาน (Audi Pre-sense Basic)
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง Audi Pre-sense Rear
ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านหลังเมื่อเข้าเกียร์ถอย

ระบบปลั๊กอินไฮบริด
แบตเตอรี่ 17.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง จำนวน 8 โมดูล เปลี่ยนแยกแต่ละโมดูลได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งลูก
ชาร์จด้วยไฟ 7.4 kW onboard charge เต็มภายในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง
ระยะทางการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 54.3 กิโลเมตร

รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail [email protected]
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/

คุณกำลังดู: แรงจัดประหยัดเอาเรื่อง! ทดสอบ AUDI Q5 55TFSI e QUATTRO S LINE BLACK EDITION

หมวดหมู่: รถยนต์

แชร์ข่าว