รู้ทัน 4 โรคตาอันตราย! ภัยร้าย มาพร้อมสัญญาณแห่งวัย
สัญญาณบ่งบอกปัญหาของสุขภาพร่างกายจากวัยที่สูงขึ้นมีมากมาย
แต่หนึ่งสัญญาณที่เห็นได้ชัด และลดคุณภาพชีวิตลงอย่างเห็นได้ชัด
คือปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพตา ที่อาจมาเยือนเราได้เร็วกว่าที่คิด
จะมีโรคอะไรที่ควรระวังบ้าง
และแต่ละโรคมีสัญญาณอันตรายอะไรที่เตือนเราได้บ้าง
มาดูกันค่ะ
1. โรคต้อกระจก
(Cataract) เป็นภาวะที่เลนส์แก้วตามีความขุ่นมัวเกิดขึ้น
โดยจะเป็นมากขึ้นตามวัย
ในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการที่รบกวนต่อการมองเห็น
แต่เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งจนต้อกระจกเป็นมากขึ้น
จะทำให้การมองเห็นแย่ลง
และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนทำให้ตาบอดอย่างถาวรได้
อาการของต้อกระจก จะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเหมือนปกติ
ทำให้การมองเห็นมีลักษณะขุ่นมัวเป็นฝ้า
ทั้งยังทำให้ความสามารถของมองเห็นในที่สลัว หรือตอนกลางคืนลดลง
อาจมองเห็นแสงกระจายจากดวงไฟในที่มืด เช่น
เวลาขับรถตอนกลางคืนแล้วมีรถสวน เป็นต้น นอกจากนี้
ความสามารถในการมองเห็นสีก็จะผิดปกติจากความเป็นจริงอีกด้วย
การรักษา ผู้ที่มีอาการของต้อกระจกควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยจักษุแพทย์ เพื่อรับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเท่านั้น
2. โรคต้อหิน (Glaucoma)
เกิดจากความผิดปกติของขั้วประสาทตาที่มีเส้นใยประสาทนับล้านเส้นเกิดความ
เสียหาย และความดันในลูกตาสูงผิดปกติ จนส่งผลทำลายเส้นใยประสาท
ซึ่งมีหน้าที่ในการส่งข้อมูลเกี่ยวกับการมองเห็นจากลูกตาไปยังสมองเพื่อทำ
การประมวลเป็นภาพ
อาการของต้อหิน โรคต้อหินชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด คือ
ต้อหินชนิดเรื้อรัง (Chronic glaucoma) หรือ ต้อหินปฐมภูมิ (Primary
glaucoma) โดยจะสูญเสียการมองเห็นบริเวณรอบนอกของลานสายตา
การมองเห็นจะแคบลงจนเสมือนมองผ่านท่อ
เมื่อเกิดจุดบอดขึ้นในลานสายตาของผู้ป่วยและขยายตัวขึ้น
ทำให้ผู้ป่วยมีขอบเขตในการมองเห็นแคบลง หากรักษาไม่ทันการณ์
ผู้ป่วยอาจสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้
ส่วนต้อหินอีกชนิดที่พบได้น้อยกว่า คือ ต้อหินชนิดเฉียบพลัน (Acute
angle closure glaucoma) ซึ่งจะทำให้ตามัวลง ตาแดง
มีอาการปวดตาอย่างรุนแรง
เนื่องจากความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
การรักษา การรักษาต้อหินในปัจจุบัน มีทั้งการใช้ยาหยอดตา
การใช้เลเซอร์ และการผ่าตัด
เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกของโรค
มีโอกาสสูงที่จะรักษาการมองเห็นของผู้ป่วยไว้ได้ตลอดไป
และสามารถควบคุมอาการของโรคได้
โดยไม่มีการสูญเสียลานสายตาของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
3.โรคเอเอ็มดี (Age-related macular degeneration)
หรือโรคจุดรับภาพของจอตาเสื่อม
เนื่องจากอายุเป็นโรคที่เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่อของจอตา (retina)
ส่วนที่รับภาพตรงกลางของลานสายตาและมีความคมชัดของภาพสูงที่สุด
ซึ่งโรคนี้จะทำให้เกิดความเสื่อมตัวของเนื้อเยื่อดังกล่าว
และทำให้เกิดจุดบอดขึ้นในบริเวณใจกลางของภาพที่เรามองเห็น โดยมี 2
ลักษณะ คือ เอเอ็มดี ชนิดเปียก (wet AMD) และเอเอ็มดี ชนิดแห้ง (dry
AMD)
อาการของเอเอ็มดี ทำให้การมองเห็นภาพบิดเบื้ยวโค้งผิดรูป
โดยเฉพาะเวลาดูเส้นตรง หรืออ่านหนังสือ การมองเห็นโดยรวมลดลง
ภาพไม่มีความชัดเจน อาจมองเห็นเหมือนมีเงาดำ หรือจุดบอด
เกิดขึ้นที่บริเวณพื้นที่ตรงส่วนกลางของการมองเห็น
การรักษา หากพบว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับความชัดเจนของการมองเห็น
โดยเฉพาะตรงส่วนกลางของภาพ หรืออาการอื่นๆ
ที่อาจเกี่ยวเนื่องกับการเป็นเอเอ็มดี
ควรรีบมาตรวจกับจักษุแพทย์โดยเร็ว ผู้ที่เป็น เอเอ็มดี ชนิดแห้ง
ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาให้หายกลับมาเป็นปกติได้
แต่สามารถชะลอการดำเนินของโรคได้ ส่วน เอเอ็มดี ชนิดเปียก
สามารถรักษาได้ทั้งการใช้ยา การใช้แสงเลเซอร์และการผ่าตัด
ผลการรักษาจะดีที่สุดเมื่อรับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรคที่แผลยังมีขนาด
เล็กอยู่
4.โรควุ้นตาเสื่อม (Vitreous degeneration)
เกิดจากวุ้นตาที่อยู่ภายในลูกตา
มีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นลักษณะเหลวและกลายเป็นสารน้ำเมื่ออายุมากขึ้น
โดยเส้นใยโปรตีนซึ่งอยู่ภายในวุ้นตาจะตกตะกอนเป็นลักษณะคล้ายลิ่ม
หรือเส้นใยที่หนาขึ้น จนทำให้เกิดเงาตกกระทบลงบนจอประสาทตา
ทำให้เราเห็นเป็นเส้น หรือรอยขีด หรือหยากไย่ลอยไปมา
ซึ่งเงาที่ลอยไปมานี้ คือ วุ้นตาที่มีการเสื่อมตัว
อาการของวุ้นตาเสื่อม มักจะมองเห็นเส้น หรือหยากไย่
ลักษณะเป็นฝ้าสีเทาหรือดำ และเงานี้จะขยับเล็กน้อยได้เมื่อมีการกลอกตา
โดยทั่วไปจะเป็นมากขึ้นอย่างช้าๆ หรือคงที่เป็นเวลานาน
หรือในบางรายอาจจางลงได้เอง
โดยทั่วไป วุ้นตาเสื่อมนั้นไม่มีอันตรายและไม่ต้องการการรักษา
แต่การเห็นเงาลอยไปมานั้น
ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจากวุ้นตาเสื่อมเสมอไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดเงาลอยไปมาจำนวนมาก
ร่วมกับการเห็นแสงไฟวาบขึ้นเป็นระยะ หรือมีการสูญเสียลานสายตา
ภาวะเช่นนี้อาจบ่งชี้ว่ามีโรคจอประสาทตาลอก
หรือในบางรายเงาที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากมีความผิดปกติของเส้นเลือดในตาและมี
การแตกของเส้นเลือด เช่น ในกรณีผู้ป่วยโรคเบาหวานและมีเบาหวานขึ้นจอประสาทตา
เลือดที่ออกในวุ้นตาก็จะทำให้เกิดเงาเช่นกัน
ดังนั้น ผู้ที่พบว่าตนเห็นเงาลอยไปมา จักษุแพทย์จะแนะนำให้ได้รับการตรวจเพื่อแยกโรค ว่าไม่มีภาวะอื่นที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตานอกเหนือจากการเสื่อมตัวของวุ้น ตา นอกจากนี้ ในลูกตาที่มีการอักเสบ มีอุบัติเหตุกระทบกระแทก และในผู้ที่มีสายตาสั้น อาจมีการเสื่อมของเนื้อจอประสาทตาร่วมด้วยกับวุ้นตาที่เสื่อมตัวลง จึงแนะนำให้ผู้ที่มีสภาวะดังกล่าวได้รับการตรวจตา วุ้นตา และจอประสาทตาโดยจักษุแพทย์
คุณกำลังดู: รู้ทัน 4 โรคตาอันตราย! ภัยร้าย มาพร้อมสัญญาณแห่งวัย
หมวดหมู่: รู้ทันโรค