รีวิว Mercedes-Benz S350d (W223) ใหม่ ที่สุดแห่งความหรูกับราคา 6,690,000 บาท
รีวิวทดลองขับ Mercedes-Benz S-Class รหัสตัวถัง W223 รุ่น S 350 d Exclusive ที่มีราคาจำหน่าย 6,690,000 บาท
หากตั้งคำถามว่ารถยนต์ที่ดีที่สุดในโลกคือรุ่นอะไร? เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยต้องนึกถึง Mercedes-Benz S-Class อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นรุ่นที่มีประวัติศาสตร์ต่อเนื่องมาอย่างยาวนานแล้วนั้น รถรุ่นนี้ยังสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์อยู่เสมอ เช่นเดียวกับ Mercedes-Benz S-Class 2022 ใหม่ ที่เราได้มีโอกาสทดลองขับในครั้งนี้
Mercedes-Benz Thailand เริ่มทำตลาด Mercedes-Benz S-Class รหัสตัวถัง W223 ในระยะแรกด้วย 2 รุ่นย่อย (ซึ่งอันที่จริงจะต้องเรียกว่าเป็นรหัสตัวถัง V223 จะถูกต้องกว่าเนื่องจากเป็นรุ่นฐานล้อยาว แต่ในที่นี้จะขอเรียก W223 เพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกัน) ประกอบด้วย S 350 d Exclusive และ S 350 d AMG Premium ซึ่งทั้งคู่ล้วนแต่ถูกประกอบขึ้นจากโรงงานในไทย ถือเป็นความฉับไวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ที่สามารถนำรถรุ่นนี้มาขึ้นไลน์ประกอบภายหลังจากเปิดตัวที่เยอรมนีได้เพียงไม่นาน
ในเมื่อทั้งคู่เป็นรุ่นประกอบในประเทศ จึงมีการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมาให้แบบอัดแน่นไม่ว่าจะเลือกรุ่น Exclusive หรือ AMG Premium ก็ตาม โดยยังคงราคาจำหน่ายในระดับ 6 ล้านบาทกลาง ไปจนถึง 7 ล้านบาทต้น ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหล่าบรรดาเศรษฐีผู้เป็นสาวกตระกูล S-Class คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
แม้ว่า S 350 d Exclusive ที่เราได้ทดสอบขับในครั้งนี้จะเป็นรุ่นรองลงมาจาก AMG Premium อีกที แต่อุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาให้เรียกว่าไม่น้อยหน้า (ซึ่งผมจะสรุปให้อ่านในช่วงท้ายบทความว่าทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร) ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ดีไซน์เรียวบางกว่ารุ่นก่อนหน้า มาพร้อมฟังก์ชันปรับองศาตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System) และระบบไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist Plus ที่สามารถเปิดไฟสูงเฉพาะจุดเพื่อป้องกันรบกวนสายตารถคันอื่นได้
จุดเด่นสำคัญอย่างหนึ่งของ S-Class W223 ใหม่ อยู่ที่การเปลี่ยนไปใช้มือเปิดประตูภายนอกแบบฝังเรียบไปกับตัวรถ (Seamless Door Handles) โดยจะยกตัวขึ้นอัตโนมัติเมื่อเดินเข้าใกล้ตัวรถพร้อมกับพกกุญแจ KEYLESS-GO ไว้กับตัว โดยยังคงมีปุ่มแบบสัมผัสที่มือเปิดเพื่อสั่งล็อก-ปลดล็อกได้เช่นเดิม รวมถึงสามารถสั่งเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายแบบไฟฟ้าผ่านปุ่มที่รีโมท หรือจะใช้การสอดเท้าเข้าไปยังใต้กันชนก็ได้เช่นกัน
ในรุ่น Exclusive จะถูกตกแต่งภายนอกเน้นความหรูหราเป็นหลัก ขณะที่รุ่น AMG Premium จะให้อารมณ์สปอร์ตเพิ่มขึ้นมา โดยที่รุ่น Exclusive มาพร้อมล้ออัลลอย Multi-twin-spoke ขนาด 19 นิ้ว หุ้มด้วยยางขนาด 255/45 R19 ที่ด้านหน้า และขนาด 285/40 R19 ที่ด้านหลัง เพิ่มความนุ่มนวลด้วยช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น
โดยในรุ่น Exclusive มีให้แม้กระทั่งหลังคาแบบ Panoramic Sliding Sunroof ที่มีขนาดความกว้างครอบคลุมไปจนถึงห้องโดยสารแถวหลัง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นรุ่นตัดออปชันสำหรับเจาะกลุ่มลีมูซีนตามโรงแรมหรู หรือแท็กซี่สนามบินแต่อย่างใด
ภายในห้องโดยสารยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหรูหราตามฉบับ S-Class แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือความล้ำสมัยผิดไปจากเมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นก่อนๆ อันจะเห็นได้จากการติดตั้งระบบปฏิบัติการ MBUX NTG 7 (Mercedes-Benz User Experience) เจเนอเรชันล่าสุดเข้าไป ซึ่งจะทำงานผ่านหน้าจอ OLED ขนาด 12.8 นิ้ววางตัวในแนวตั้ง พร้อมด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Digital Instrument Cluster ขนาด 12.3 นิ้ว ส่งผลให้จำนวนปุ่มควบคุมบริเวณคอนโซลกลางลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่หายไปจาก S-Class รุ่นก่อนหน้าก็คือปุ่ม COMAND ขนาดใหญ่สำหรับควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ของตัวรถ เนื่องจาก S-Class ใหม่ จะเน้นสั่งการผ่านระบบสัมผัสบนหน้าจอแทน โดยที่ปุ่มช็อตคัตด้านล่างจะมีเพียงฟังก์ชันเกี่ยวกับระบบความบันเทิงและกล้องรอบคัน, ปุ่มลัดสำหรับตั้งค่าตัวรถ, ปุ่มควบคุมระบบ DYNAMIC SELECT, ปุ่มไฟฉุกเฉิน และปุ่มสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) สำหรับบันทึกและปรับตั้งค่าต่างๆ ตามโปรไฟล์ของผู้ขับขี่แต่ละคน ขณะที่การควบคุมระบบปรับอากาศจะต้องอาศัยหน้าจอสัมผัสทั้งหมด
แม้ว่าการใช้งานหน้าจอสัมผัสในขณะขับรถจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ระบบ MBUX7 ก็จะฟังก์ชัน Haptic feedback ที่คอยสั่นเบาๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานทราบว่าได้มีการกดปุ่มไปแล้ว หรือจะหันไปใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่านการเริ่มต้นพูดว่า “Hey Mercedes” ก็ย่อมได้ โดยในรุ่น Exclusive จะได้เครื่องเสียงรอบทิศทางจาก Burmester พร้อมลำโพง 15 ตำแหน่ง ซึ่งคุณภาพเสียงก็ถือว่าอยู่ในระดับชั้นเลิศสมราคาที่จ่ายไป จะฟังเพลงคลาสสิกก็ให้เสียงใสกิ๊งจนแทบจะแยกเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้ หรือจะหันไปฟัง EDM ก็มีเบสที่หนักแน่นมากพอจะสร้างความรื่นรมย์ได้ตลอดการเดินทาง
เบาะนั่งของ S 350 d Exclusive หุ้มด้วยวัสดุหนัง Nappa ที่ให้ความเนียนละเอียดเป็นพิเศษ โดยส่วนกลางของตัวเบาะมีรูระบายอากาศพร้อมตัดเย็บด้วยตะเข็บไขว้ มีระบบเมมโมรี่ 3 ตำแหน่งสำหรับเบาะนั่งคู่หน้า รวมถึงมีระบบอุ่นและพัดลมระบายอากาศทั้งคู่หน้าและคู่หลังรวมทั้งสิ้น 4 ตำแหน่ง ซึ่งแต่ละตำแหน่งจะมีหมอนนุ่มๆ คอยหนุนศีรษะเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง สำหรับใครที่ขี้เมื่อยก็มีฟังก์ชันนวด ENERGIZING 6 รูปแบบมาให้ทุกตำแหน่งด้วย
เบาะนั่งแถวหลังสามารถปรับไฟฟ้าได้เต็มรูปแบบ โดยมีระบบบันทึกเบาะนั่งมาให้ฝั่งละ 2 ตำแหน่ง ขณะที่เบาะนั่งฝั่งซ้ายยังสามารถปรับเอนนอนได้ผ่านปุ่มบริเวณประตู หากกดปุ่มค้างไว้ เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าจะค่อยๆ ขยับเลื่อนขึ้นไปข้างหน้า ที่รองน่องจะค่อยๆ ยกสูงขึ้น พร้อมกับปรับพนักพิงให้เอนลงอย่างช้าๆ เพียงอึดใจเดียวก็จะกลายเป็นเตียงนอนแสนสบายยามเดินทาง แม้ว่าจะไม่สามารถปรับพับราบได้เสียทีเดียว แต่ก็สบายมากพอที่จะช่วยให้ผู้โดยสารได้รู้สึกพักผ่อนตลอดทริป
นอกจากนี้ เบาะนั่งแถวหลังยังมีหน้าจอความบันเทิงขนาด 11.6 นิ้ว จำนวน 2 จอ ซึ่งมีรูปแบบการแสดงผลแบบเดียวกับจอหลักด้านหน้า ทั้งยังสามารถโยนคอนเทนท์ต่างๆ ไปยังหน้าจอใดก็ได้ ซึ่งฟังก์ชันดังกล่าวมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ผู้โดยสารสามารถตั้งค่าจุดหมายปลายทางบนระบบนำทาง แล้วจึงส่งให้ผู้ขับขี่ที่อยู่ด้านหน้า หรือผู้ขับขี่เองก็สามารถทำตัวเป็นดีเจคอยเปิดเพลงส่งไปให้ผู้โดยสารด้านหลังได้เช่นกัน โดยด้านหลังจะมีหูฟังแบบไร้สาย 2 ชุด รวมถึงมีหน้าจอแท็บเล็ตสำหรับควบคุมฟังก์ชันต่างๆ บริเวณที่วางแขนมาให้ด้วย (สามารถถอดออกได้)
ระบบปรับอากาศของ S 350 d รุ่น Exclusive เป็นแบบ THERMOTRONIC 4-ZONE สามารถปรับอุณหภูมิและแรงลมได้อย่างอิสระ พร้อมด้วยฟังก์ชัน AIR BALANCE Package ที่สามารถเลือกติดตั้งน้ำหอมปรับอากาศของเมอร์เซเดส-เบนซ์เพิ่มเติมได้
ด้านระบบความปลอดภัยของ S 350 d ทั้ง Exclusive และ AMG Premium มีมาให้เหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Package, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมรักษาระยะห่างตามคันหน้า Active Distance Assist DISTRONIC, ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ Active Emergency Stop Assist (ซึ่งจะทำงานในกรณีผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองต่อการควบคุมพวงมาลัยขณะเปิดใช้งานระบบ DISTRONIC โดยตัวรถจะค่อยๆ หยุดเองอย่างปลอดภัย จากนั้นจึงโทรออกเพื่อขอความช่วยเหลือ) และระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE System เป็นต้น
สำหรับ S-Class ใหม่ ยังมีระบบแจ้งเตือนขณะเปิดประตูรถ (Exit Warning) ทำงานคู่กับระบบเตือนจุดอับสายตา Active Blind Spot Assist ซึ่งเหมาะมากสำหรับการใช้งานในเมืองไทย โดยหากระบบตรวจพบว่ามีรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์พุ่งแทรกขึ้นมาใกล้กับตัวรถในขณะที่ผู้โดยสารกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วล่ะก็ ไฟเตือนระบบ Blind Spot จะสว่างขึ้นพร้อมกับไฟ Ambient Light จะกระพริบเป็นสีแดง แต่หากผู้โดยสารเอื้อมมือไปแตะมือเปิดประตูแล้วล่ะก็ ระบบจะส่งสัญญาณเสียงเตือนเพื่อให้ชะลอการเปิดประตูออกไปก่อนจนกว่ารถจะแล่นผ่านไป
อันที่จริง Mercedes-Benz S-Class ใหม่ ยังมีระบบความปลอดภัยอีกมากมายที่ผมบรรยายได้ไม่หมดในบทความนี้ เอาเป็นว่าหากใครสนใจจริงๆ ก็สามารถไปดูรายละเอียดบนเว็บไซต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย หรือแวะเข้าไปโชว์รูมเพื่อดูตัวจริงกันเลยก็ดี เพราะผมเองก็ไม่มีโอกาสทดลองใช้งานฟังก์ชันทั้งหมดภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่อยู่กับรถคันนี้ได้
สำหรับขุมพลังของ Mercedes-Benz S 350 d เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแถวเรียง 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC โดยเคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เอาไว้ที่ 6.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กม./ชม.
ในด้านการขับขี่นั้น Mercedes-Benz S 350 d Exclusive ยังคงคุณภาพการขับขี่ที่สูงส่งอย่างที่ลูกค้า S-Class คาดหวังเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังที่มีให้ใช้แบบเหลือเฟือด้วยแรงบิดถึง 600 นิวตัน-เมตร สามารถถ่ายทอดกำลังได้อย่างนุ่มนวลปราศจากรอยต่ออย่างที่พบในรถไฮบริดที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่ชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-TRONIC ก็สามารถเปลี่ยนอัตราทดได้อย่างนุ่มนวลเสียจนแทบไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เลยด้วยซ้ำไป
การกดคันเร่งเพียง 1 ใน 4 ของระยะคันเร่งทั้งหมด ก็มากพอที่จะช่วยให้เจ้ายักษ์หรูคันนี้พุ่งทะยานไปแตะความเร็ว 120 กม./ชม. บนทางหลวงพิเศษสายกรุงเทพ-ชลบุรีได้แบบไม่รู้ตัว เนื่องจากความนุ่มนวลของช่วงล่างและความเงียบภายในห้องโดยสาร เป็นตัวการที่ทำให้ผมรู้สึกราวกับว่ารถกำลังเคลื่อนที่ช้ากว่าความเป็นจริง แต่ในความนุ่มนวลนั้นก็ยังให้ความมั่นคงในด้านการทรงตัวชั้นยอด อันเป็นผลจากช่วงล่างแบบถุงลม AIRMATIC ที่มีระบบปรับระดับความหนืดด้วยไฟฟ้าตลอดการเดินทาง
น่าเสียดายที่ตลอดทริปนี้ผมเป็นได้เพียงแค่ผู้ขับขี่อยู่หลังพวงมาลัยเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้นั่งโดยสารประดุจผู้บริหารอยู่บนเบาะหลังแต่อย่างใด ถึงกระนั้นการเป็นผู้ขับขี่ S 350 d Exclusive คันนี้ก็สร้างความประทับใจได้เป็นอย่างมาก จนอาจกล่าวได้ว่ามันเหมาะทั้งการขับขี่เองในชีวิตประจำวัน หรือเป็นผู้โดยสารเบาะหลังโดยมีโชเฟอร์คอยเป็นสารถีให้ก็ย่อมได้
ความพิเศษอีกหนึ่งอย่างของ Mercedes-Benz S-Class ใหม่ ที่มีแพ็คเกจ Driving Assistant อยู่ที่การแสดงข้อมูลการจราจรและสภาพแวดล้อมบนหน้าจอ Digital Instrument Cluster เบื้องหน้าผู้ขับขี่ได้อย่างละเอียดและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเส้นแบ่งเลนทั้งประและทึบ การจำแนกระหว่างรถยนต์, รถบรรทุกขนาดกลาง และรถบรรทุกขนาดใหญ่ก็สามารถทำได้ดี (แม้ว่า Tesla จะมีมาก่อนตั้งนานแล้วก็ตามเถอะ)
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การทำงานของระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน DISTRONIC, ระบบช่วยประคองพวงมาลัย Active Steering Assist, ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน Active Lane Keeping Assist ฯลฯ เป็นไปอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนนั่นเอง
สำหรับราคาจำหน่ายของ Mercedes-Benz S 350 d Exclusive ถูกตั้งเอาไว้ที่ 6,690,000 บาท ขณะที่รุ่น AMG Premium มีราคาอยู่ที่ 7,190,000 บาท คิดเป็นส่วนต่าง 5 แสนบาทพอดิบพอดี ซึ่งเงินจำนวนนี้จะไปแลกกับออปชันที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วย
- ชุดแต่งรอบคัน AMG Bodystyling
- ล้ออัลลอย AMG Multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว
- เบาะนั่งหุ้มหนัง Exclusive Nappa
- แผงคอนโซลด้านบนและแผงประตูหุ้มหนัง Nappa
- ลายไม้เพิ่มเติมบริเวณแผงประตู
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ต 3 ก้าน
- ระบบ MBUX Interior Assistant พร้อม Gesture Control 2.0
อุปกรณ์มาตรฐานทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีเฉพาะในรุ่น AMG Premium เท่านั้น ขณะที่อุปกรณ์อื่นๆ มีให้เหมือนกันทั้งหมด ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคนแล้วล่ะครับว่าจะเลือกซื้อรุ่นใดมาครอบครอง เพราะไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะได้เป็นเจ้าของยนตรกรรมหรูที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ดีล่ะครับ
คุณกำลังดู: รีวิว Mercedes-Benz S350d (W223) ใหม่ ที่สุดแห่งความหรูกับราคา 6,690,000 บาท
หมวดหมู่: รีวิวรถใหม่