รีวิว TANK 500 HEV ใหม่ เอสยูวีไฮบริด 2.0 ลิตร กับฟังก์ชันเกินหน้าคู่แข่ง
รีวิว TANK 500 HEV ใหม่ เอสยูวีรุ่นใหญ่ดีไซน์ภูมิฐานจากค่าย GWM กับออปชันที่ถูกอัดแน่นเกินหน้าคู่แข่งในระดับราคา 2 ล้านบาทต้น แถมพ่วงด้วยขุมพลังไฮบริด 2.0 ลิตร และโหมดการขับขี่แบบ OFF-ROAD จะน่าสนใจขนาดไหน Sanook Auto จะพาไปหาคำตอบกันครับ
แม้ว่า TANK 500 HEV จะถูกเผยโฉมเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่งาน Motor Expo มาตั้งแต่ปี 2564 แต่ทางเกรทวอลล์มอเตอร์ ก็เพิ่งได้ฤกษ์ประกาศราคาจำหน่ายรถรุ่นดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมานี้เอง โดยเป็นการประกาศราคาพร้อมกับ TANK 300 HEV อีกหนึ่งรุ่น ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เจาะกลุ่มตลาดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
สำหรับ TANK 500 HEV ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย พร้อมราคาจำหน่าย ดังนี้
- TANK 500 HEV PRO ราคา 2,049,000 บาท
- TANK 500 HEV ULTRA ราคา 2,269,000 บาท
แม้ว่าราคาจะฟังดูน่าตกใจไม่น้อยเมื่อเทียบกับความเป็นรถเอสยูวีจากค่ายจีน แต่เมื่อได้ลองสัมผัสแล้วก็กล่าวได้ว่า TANK 500 HEV เป็นรถที่มีความโดดเด่นซ่อนอยู่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับเอสยูวีราคาป้วนเปี้ยนราว 2 ล้านบาทในตลาดเมืองไทย ถึงกระนั้นมันก็ยังมีข้อด้อยบางจุดที่ควรนำไปปรับปรุงและพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยมากกว่านี้
จะเป็นอย่างไรไปติดตามกัน...
ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกของ TANK 500 HEV ถือว่ามีคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นและชัดเจน โดยเฉพาะขนาดตัวถังที่มีความใหญ่โต ผสานเข้ากับเส้นสายที่เน้นความหรูหราและภูมิฐาน ชวนให้นึกถึงงานดีไซน์ของ Toyota Land Cruiser VX200 กันเลยด้วยซ้ำไป ซึ่งตรงนี้ถือว่าตอบโจทย์ลูกค้าทางแถบเอเชียที่มักใช้รถยนต์เป็นเครื่องมือในการบ่งบอกถึงฐานะทางสังคม ขับไปจอดที่ไหนก็จะต้องโดดเด่น หรือถ้าขับไปหาเพื่อนก็ต้องโดนสะกิดถามถึงราคากันอยู่เสมอๆ
สำหรับรุ่น ULTRA ที่เราได้มีโอกาสทดสอบในครั้งนี้ ถูกติดตั้งระบบไฟหน้าแบบ Intelligent LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาปิดไฟหน้า Follow-Me-Home เพื่อส่องนำทางเข้าบ้านในเวลากลางคืน อีกทั้งยังมีไฟ Daytime Running Light แบบ LED เพื่อความปลอดภัย และระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติตามน้ำหนักบรรทุกมาให้ด้วย
ด้านท้ายถูกติดตั้งไฟท้ายแบบ Vertical LED ดีไซน์โดดเด่น พร้อมตกแต่งด้วยกรอบโครเมียมเพิ่มความหรูหรา โดย TANK 500 HEV เลือกที่จะติดตั้งล้ออะไหล่เอาไว้บริเวณประตูท้าย เพื่อสื่อถึงความเป็นรถยนต์แบบออฟโรด แม้ว่ารูปลักษณ์โดยรวมจะเน้นไปที่ความหรูหราก็ตาม เสริมด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่หุ้มด้วยยางขนาด 265/50 R20 เป็นมาตรฐาน
อย่างไรก็ดี ประตูท้ายขนาดใหญ่โตของ TANK 500 HEV จะใช้วิธีเปิดออกทางด้านข้าง ไม่ใช่การยกขึ้นเหมือนกับรถเอสยูวีทั่วไป ซึ่งจุดนี้เองจะกินพื้นที่ในการเปิดค่อนข้างมาก หากจำเป็นต้องจอดรถในช่องจอดตามห้างสรรพสินค้า ก็คงต้องเผื่อพื้นที่ด้านหลังเอาไว้หน่อย เพราะมิเช่นนั้นจะไม่สามารถเปิดประตูเพื่อขนย้ายสิ่งของด้านหลังได้อย่างสะดวกนัก
อีกทั้งประตูบานท้ายยังไม่สามารถเปิดเฉพาะบานกระจก หรือเปิดแบบแยกส่วนบน-ล่างเหมือนกับ BMW X5 หรือ Range Rover ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเพิ่มความสะดวกในการใช้งานกว่านี้อีกมาก
ส่วนระบบเปิดประตูด้วยไฟฟ้าคงไม่ต้องพูดถึง เพราะรถคันนี้ไม่มีมาให้ (เนื่องจากการออกแบบประตูในลักษณะเปิดข้างด้วยกระมัง จึงไม่เหมาะสำหรับการติดตั้งระบบเปิด-ปิดแบบไฟฟ้าเหมือนกับเอสยูวีรุ่นอื่นๆ) แต่ยังดีที่มีระบบดูดเผื่อกรณีปิดไม่สนิทมาให้
แต่สิ่งที่เรียกว่าเป็นไฮไลต์ของ TANK 500 HEV ซึ่งหาไม่ได้ใน BMW X5 และจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Range Rover นั่นก็คือ บันไดข้างที่สามารถยืดออกได้โดยอัตโนมัติเมื่อเปิดประตู และจะหดเข้าไปโดยอัตโนมัติเมื่อปิดประตูหรือล็อกรถ ซึ่งฟังก์ชันนี้มีให้เฉพาะรุ่น ULTRA เท่านั้น และยังสามารถเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกรถได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่สามารถก้าวขาขึ้นไปบนรถได้ในสเต็ปเดียว
ภายใน
ภายในห้องโดยสารของรุ่น ULTRA ถูกจัดวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ทุกตำแหน่งถูกหุ้มด้วยวัสดุหนัง Nappa ที่มีความอ่อนนุ่ม นั่งสบาย ตกแต่งเพิ่มความหรูหราด้วยลวดลายตะเข็บไหว้ โดยเบาะนั่งคู่หน้าของ TANK 500 HEV มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โอบรับสรีระได้ดี ทั้งยังมีพื้นที่รองรับต้นขาขนาดใหญ่ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเมื่อนั่งโดยสารเป็นระยะเวลานานๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางไกล หรือผู้ที่ต้องใช้เวลาอยู่บนรถนานๆ เป็นประจำทุกวัน
เบาะนั่งผู้ขับขี่สามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมด้วยระบบเมมโมรี่ และ Welcome Seat ที่จะเลื่อนเบาะไปข้างหลังเมื่อเปิดประตู ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออก ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าสามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง โดยทั้งคู่มีระบบระบายอากาศและระบบนวดผ่อนคลาย รวมถึงมีระบบดันหลังไฟฟ้ามาให้เป็นมาตรฐาน
ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 2 ก็มีระบบพัดลมระบายอากาศมาให้ โดยสามารถควบคุมจากแผงสวิตช์ด้านหลังคอนโซลกลาง ซึ่งใช้สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศตอนหลังด้วยเช่นกัน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพอากาศของไทยที่ร้อนนรกแตกแทบทั้งปี โดยเบาะแถว 2 สามารถแยกพับได้แบบ 60:40 ด้วยการปรับมือ และเบาะนั่งแถวที่ 3 พับแยกแบบ 50:50 ที่สามารถปรับพับด้วยปุ่มไฟฟ้าบริเวณห้องเก็บสัมภาระท้ายได้
ห้องโดยสารของ TANK 500 HEV ยังโดดเด่นด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมหน้าจอ Head-up Display และหน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว ที่สามารถรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ อีกทั้งมีระบบนำทาง ระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command) ระบบควบคุมผ่าน GWM Application และรองรับการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) ได้
ชุดเครื่องเสียงของรุ่น ULTRA จะได้ลำโพงยี่ห้อ Infinity รวม 12 ตำแหน่งรอบคัน โดย Infinity ก็คือหนึ่งในซับแบรนด์ของ Harman ซึ่งถือว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องเสียงชื่ดังระดับโลก โดยคุณภาพเสียงที่ได้ก็เรียกว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงทุ้มและเสียงแหลมที่เคลียร์ใสชัดเจน เมื่อรวมกับความเงียบภายในห้องโดยสารของ TANK 500 HEV ก็เรียกว่าเป็นรถที่มีเครื่องเสียงดีที่สุดรุ่นหนึ่งที่ผมเคยสัมผัสมาเลยก็ว่าได้
แม้ว่า TANK 500 HEV จะถูกออกแบบเน้นความหรูหราพรีเมียม แต่ GWM ก็ยังไม่ลืมคุณสมบัติในด้านการขับขี่แบบออฟโรด โดยมีทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-road, ระบบตรวจจับความลึกของน้ำ (Wading Depth Detection), ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) และระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK Turn) ที่จะช่วยเพิ่มแรงเบรกล้อหลังฝั่งในโค้งเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยวให้แคบลง แต่ระบบนี้จะใช้ได้เฉพาะสภาพพื้นผิวแบบออฟโรดเท่านั้น
ขณะที่ระบบความปลอดภัยของ TANK 500 HEV ก็มีให้แน่นเอี๊ยดตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ได้แก่
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA)
- กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ (MEB)
- ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA/ RCTB)
- ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
- ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA)
- ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM)
- ระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC) และระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA)
- ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW)
- ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS)
ส่วนรุ่น ULTRA จะถูกเพิ่มด้วยเซ็นเซอร์กะระยะหน้า 6 จุด หลัง 6 จุด, ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP) รองรับการจอดขนาน จอดเทียบฟุตบาท และจอดแบบเฉียง รวมถึงระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ที่สามารถจดจำการหมุนพวงมาลัยในระยะ 50 เมตรสุดท้าย และสามารถถอยหลังย้อนทิศทางกลับได้อัตโนมัติโดยที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องควบคุมพวงมาลัย
เครื่องยนต์
GWM TANK 500 HEV ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ PRO และ ULTRA มาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบแปรผัน (VGT) กำลังสูงสุด 244 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 106 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 268 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9HAT)
GWM TANK 500 HEV ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 11 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดประหยัด และโหมดออฟโรด (โหมดพื้นโคลน, โหมดพื้นทราย, โหมดพื้นหิน, โหมด 4L, โหมด 4H, โหมดพื้นหิมะ และโหมดเชีี่ยวชาญ) พร้อมด้วยระบบล็อกเฟืองท้ายไฟฟ้าทั้งหน้าและหลัง Front & Rear Electric Differential Locks และรองรับการลุยน้ำลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตร
การขับขี่
เมื่อก้าวเข้าไปนั่งยังตำแหน่งผู้ขับขี่ของ TANK 500 HEV ก็สัมผัสได้ถึงขนาดของห้องโดยสารอันใหญ่โตโอ่โถง ประกอบกับหลังคาแบบ Panoramic Sunroof เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าก็ยิ่งเพิ่มความโปร่งโล่งมากขึ้นไปอีก รวมถึงเบาะนั่งที่มีขนาดใหญ่และให้สัมผัสนุ่มสบาย ทำให้ผมรู้สึกอยากจะสลับเป็นผู้โดยสารเสียเหลือเกิน
สมรรถนะของเครื่องยนต์ไฮบริด 2.0 ลิตร ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังที่เรียกได้ว่าสมกับขนาดตัวรถ ไม่ได้ถึงขึ้นแรงจัดจ้าน แต่ก็มีกำลังเพียงพอให้เค้นอย่างที่ต้องการ ซึ่งการทำงานของระบบไฮบริดถือว่าค่อนข้างเงียบดีทีเดียว แถมแรงสั่นสะเทือนขณะเครื่องยนต์ทำงานก็อยู่ในระดับต่ำ จนแทบจะแยกไม่ออกว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานอยู่หรือไม่ หรือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แม้ว่าการตอบสนองของเครื่องยนต์ไฮบริดจะทำได้ดี แต่สิ่งที่ทำให้ TANK 500 HEV รู้สึกเป็นรถที่มีบุคลิกแบบแปลกๆ นั่นก็คือ "ช่วงล่าง" ที่ค่อนข้างเก็บรายละเอียดของพื้นถนน เช่น ฝาท่อ, รอยต่อคอนกรีต ฯลฯ เข้ามายังห้องโดยสารให้ได้รู้สึกอยู่พอสมควร จนเกือบจะคิดไปว่าช่วงล่างของรถรุ่นนี้ถูกเซ็ตให้มีความแข็งกระด้าง
แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดตกหลุมขนาดใหญ่ หรือมีการจั๊มป์คอสะพานด้วยความเร็วประมาณหนึ่ง กลับพบว่า TANK 500 HEV มีระยะยืดยุบของโช้กอัปและสปริงมากพอที่จะทำให้รู้สึกว่าเป็นรถที่มีช่วงล่างนิ่มเสียอย่างนั้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรถรุ่นนี้ใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบ Body-on-frame แบบเดียวกับรถพีพีวีที่วิ่งกันเกลื่อนถนน จึงทำให้ความโดดเด่นของช่วงล่างหายไปจากที่คาดหวังไว้บ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ถือเป็นรถที่มีช่วงล่างนั่งสบาย เหมาะสำหรับท่องเที่ยวเดินทางไกล จะมีก็อาการดีดเด้งให้ได้สัมผัสอยู่เนืองๆ เมื่อใช้ความเร็วต่ำบนพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบดีนัก
อีกสิ่งหนึ่งที่แอบหวั่นใจไม่น้อย นั่นก็คือเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน โดยก่อนออกเดินทางผมได้ทำการเติมน้ำมันจนเต็มชนิดพอแค่หัวจ่ายตัด จากนั้นมุ่งหน้าไปหาของอร่อยย่านสวนมะลิ แล้วจึงขับไปถ่ายรูปภายในลานจอดรถของสวนวชิรเบญทัศ เมื่อถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งหน้าออก ถ.วิภาวดีเพื่อไปทางรังสิต โดยกะว่าจะขึ้นโทลล์เวย์ย้อนเข้าเมืองแบบชิลล์ๆ เพื่อวัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันก่อนที่จะส่งรถคืนยังโชว์รูม GWM Mavarick บนถนนรามคำแหงเช่นเดิม
ตลอดทางที่ทำความเร็วได้นั้น ผมใช้ความเร็วอยู่ที่ 70-110 กม./ชม. แล้วแต่สภาพการจราจร ประกอบกับช่วงขับเข้าเมืองที่ต้องเผชิญรถติดบ้าง รวมระยะทางทั้งสิ้น 140.7 กิโลเมตร (ตามหน้าปัด) เติมน้ำมันกลับทั้งสิ้น 12.96 ลิตร คิดเป็นอัตราสิ้นเปลือง 10.85 กม./ลิตร...! ซึ่งผิดจากความคาดหวังที่คาดว่าจะได้ประมาณ 12-13 กม./ลิตร จนเผลอคิดไม่ได้ว่านี่เรากำลังขับรถที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดอยู่จริงๆ ใช่ไหมนี่
เพราะอันที่จริงต้องยอมรับว่าผมมีความพยายามจะปั้นตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองให้ออกมาดีเพื่อชดเชยกับช่วงรถติดที่ต้องขับฝ่าเข้าเมืองในตอนเช้า แต่จนแล้วจนรอดก็ยังได้ตัวเลขนี้มาอยู่ดี ซึ่งหากว่าวันที่ทดสอบผมมีอารมณ์อยากจะขับรถเร็วกว่านี้แล้วล่ะก็ เชื่อว่าตัวเลขที่ได้อาจหล่นเหลือเพียงหลักเดียวเป็นแน่แท้
สรุป
TANK 500 HEV เป็นรถเอสยูวีที่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์แบบเดียวกับรถยนต์ระดับหรู แลกกับค่าตัว 2 ล้านบาทต้นก็ถือว่าโดดเด่นชนิดหาคู่เปรียบยาก ทั้งยังมีห้องโดยสารโอ่โถงนั่งสบาย เหมาะสำหรับพาครอบครัวไปเที่ยวในวันหยุด แต่จุดน่าสังเกตคือช่วงล่างที่กลับไม่โดดเด่นเท่า Haval H6 และอัตราสิ้นเปลืองที่ถือว่าดุไปนิด หากคุณสามารถรับข้อติเหล่านี้ได้แล้วล่ะก็ คุณก็จะได้รถเอสยูวีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความหรูหรา และความโดดเด่นแปลกตาจากรถคันอื่นบนท้องถนนอย่างแน่นอน
คุณกำลังดู: รีวิว TANK 500 HEV ใหม่ เอสยูวีไฮบริด 2.0 ลิตร กับฟังก์ชันเกินหน้าคู่แข่ง
หมวดหมู่: รถยนต์