ส่องรถมือสองน่าสน Toyota C-HR ทรงแปลกขับดีปียังใหม่ เริ่มที่ห้าแสนกลาง

มองรถมือสองน่าสน Toyota C-HR ทรงแปลกขับดีปียังใหม่ ราคาไม่เกินเอื้อม จากล้าน เหลือห้าแสนกลาง

ส่องรถมือสองน่าสน Toyota C-HR ทรงแปลกขับดีปียังใหม่ เริ่มที่ห้าแสนกลาง

นี่คือรถ Toyota แบบที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะทำ ในวันแรกที่เห็นข่าวเปิดตัวที่ญี่ปุ่น ผมยังคิดอยู่เลยว่ารถทรงนี้น่ะหรือ Toyota ไม่มีทางเอามาขายในประเทศไทยหรอก..แล้วผมก็โดนหวยกินเมื่อพวกเขานำมันมาขายอย่างจริงจังในเดือนกุมภาพันธ์ย้อนกลับไปจากวันนี้ ก็ราวห้าปี สมัยเปิดตัว C-HR ไม่ใช่รถราคาถูกนะครับ รุ่นถูกสุดเครื่อง 1.8 ENTRY เบนซินก็ 979,000 บาทแล้ว ยิ่งรุ่นท็อป 1.8 Hybrid HIGH ก็ปาเข้าไปถึง 1,159,000 บาท แต่ความเป็น Toyota ทรงครอสโอเวอร์ถูกใจวัยรุ่น บวกกับการเป็นรถค่ายสามห่วงที่ทรงแปลกแหวกประเพณีมากที่สุดในรอบหลายปี ในช่วงแรกจึงได้รับความนิยมมาก คนที่ได้ขับและสัมผัสช่วงล่างกับโครงสร้าง TNGA ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง

แต่มันก็เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่เอาไว้สอนนักคอมเมนต์บนโซเชียลได้ดีว่า รถแบบที่นักคอมเมนต์เรียกร้องให้เอามาขาย กับรถที่ขายได้ดีในโลกความจริงมันต่างกัน เมื่อ Toyota เปิดตัว Corolla Cross ปุ๊บ ยอดขาย C-HR ก็ชะงักลงในทันใด เหลือคนเพียงส่วนน้อยที่สนใจเพราะรูปทรงจริงๆ ยอดขายน้อยจนกระทั่งเมื่อทางญี่ปุ่นไมเนอร์เชนจ์รถรุ่นนี้ไปแล้ว เมืองไทยกลับไม่ได้ใช้ อาจเพราะยอดขายที่ได้ไม่คุ้มกับการปรับไลน์การผลิต หรือไม่ก็เพราะ Cross ขายดีมากจึงเอาปัจจัยการผลิตไปทุ่มให้กับรถที่ขายดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ยอดขายของ Cross ไม่ได้ส่งผลต่อความน่าสนใจของ C-HR ซึ่งเป็นรถทรงแปลก หน้าตาเหมือนมันโมโหใครอยู่ตลอดเวลา รถที่เส้นสายเหมือนคนออกแบบโดนเด็กจี้เอวจี้เส้นตอนทำงานจนเส้นสายชนกันสะเปะสะปะ แต่ดันออกมาแล้วกลับดูเด่นแหวกแนว และอาจจะกลายเป็นรถแปลกหายากในอนาคต ขึ้นชื่อว่ารถแปลกหายาก หลายคนจะยี้เพราะกลัวหาอะไหล่มาซ่อมระยะยาวได้ยาก แต่นี่คือรถของ Toyota ที่ทางไทยพร้อมสต๊อกอะไหล่ให้ และกลไกขับเคลื่อนหลายส่วนใช้ร่วมกับ Cross จะเข้าศูนย์ก็มีให้เลือกหลายที่ หรือจะไปอู่นอก ก็ยังได้ เพราะ Toyota ก็จัดงานอบรมเทคนิคให้ช่างอู่นอกมีความรู้ความชำนาญในการซ่อมรถไฮบริดของ Toyota เมื่ออู่นอกซ่อมเป็น คนก็กล้าซื้อรถมือสองใช้ ส่งผลให้ราคารถไฮบริด Toyota ยุคหลังๆ แข็งขึ้น

พูดถึงขุมพลังขับเคลื่อน C-HR มีสองแบบ คือเครื่องเบนซิน 1.8 ลิตร 140 แรงม้า เกียร์ CVT ซึ่งก็แชร์กันใช้กับ Corolla Altis และ Corolla Cross กับเครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 ลิตร บวกมอเตอร์ขับเคลื่อน พลังรวม 122 แรงม้า ซึ่งก็แชร์กันใช้กับรถอีกสองรุ่นเช่นเดียวกัน รถรุ่นเบนซิน มีพลังขับเคลื่อนที่มาในแนวกดเบาไปเบา กดหนักไปหนัก อัตราเร่งแซงเวลาออกทางไกลพึ่งพาได้ ทำความเร็วไปเกือบแตะ 200 กม./ชม.ได้ อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 10-16 กม./ลิตร ทว่าน่าเสียดายอยู่สองอย่างคือ รถเบนซิน จะมีแค่รุ่น ENTRY ที่อุปกรณ์น้อยสุด กับรุ่น MID ที่หรูปานกลาง และมีสีให้เลือกน้อยกว่า คือ ขาว เทาเมทัลลิก และดำเท่านั้น

ส่วนรุ่นไฮบริด อุปนิสัยต่างกัน ด้วยความที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเล็กๆ ช่วยส่งแรงขับ ทำให้เวลาแตะคันเร่งเบาๆ รถทะยานออกตัวได้ดีกว่ารุ่นเบนซิน แต่เมื่อกดคันเร่งมิดเท้า รุ่นเบนซินจะไต่ความเร็วได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่โดยรวมยังเพียงพอสำหรับการใช้ขับในเมืองและเดินทางไกล สิ่งที่ได้เป็นข้อแลกเปลี่ยนคือความประหยัดเชื้อเพลิงอันขึ้นชื่อ ในกรณีแย่ที่สุด รถติดนานมากแบบไม่ค่อยเขยื้อน เครื่องยนต์ติดเพื่อชาร์จกลับบ่อยๆ ก็อาจมี 13 กม./ลิตร แต่ถ้ารถวิ่งบ้าง แม้จะใช้ในเมืองก็มีสิทธิ์ได้ตัวเลข 18 กม./ลิตร ส่วนการขับทางไกลนั้น หากไม่กดคันเร่งแซงบ่อยๆ พยายามเนียนเท้าไว้ วิ่งภายใต้ความเร็วกดหมายกำหนด เจ้าของหลายคนก็ทำตัวเลขระดับ 20 กม./ลิตรได้ ทำให้น้ำมันถังหนึ่งสามารถวิ่งรวดเดียวจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ได้สบาย แต่ถ้าคุณมองหารถมือสองแล้วสามารถลองขับสักนิดได้ ให้ลองจับความรู้สึกแป้นเบรกดู เพราะเบรกสไตล์รถไฮบริดจะมีบางจังหวะหน่วง บางจังหวะลื่นบ้าง ไม่สนองบาทเสถียรบทแบบรุ่นเบนซิน

แต่ในแง่การขับขี่ด้านอื่น ขอบอกเลยว่า C-HR เป็น Toyota ยุคใหม่ที่ช่วงล่างเซตมาดีมาก คำว่าดีนี้คือ บนถนนสภาพแย่ๆ คุณก็ไม่รู้สึกสะเทือนไส้มากไปกว่าพวก Toyota ยุคช่วงล่างย้วยมากนัก มันยังปรานีต่ออวัยวะของผู้สูงอายุ และถ้าคุณเป็นคนใช้รถแต่งซิ่งมาก่อน C-HR จะถือว่านุ่มเลยล่ะ แต่เมื่อใช้ความเร็วสูง แล้วต้องโยกหลบพวกเปลี่ยนเลนไม่สนโลก ช่วงล่างของ C-HR นั้นเกาะมั่นแน่นหนึบ ให้ความมั่นใจได้ชนิดที่ผมกล้าใช้คำว่ายกมาตรฐานไปกัดกับยุโรปได้สบาย พวงมาลัยก็ไม่ยาวยานเหนื่อยจิตแบบ Toyota ยุคเก่า ที่เป็นแบบนี้เพราะ C-HR เกิดในยุคของท่านประธาน Akio Toyoda ซึ่งเป็นคนชอบขับรถ และยังเลือกหัวหน้าทีมวิศวกรช่วงล่างของ C-HR ที่บ้ารถ และมีงานอดิเรกขับรถซิ่งเล่นในสนาม คนพวกนี้จะจุกจิกมากเรื่องการบังคับควบคุมแบบที่คนทั่วไปไม่มีใครสนกัน นี่ก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ C-HR ได้ช่วงล่างหลังแบบอิสระปีกนกสองชั้น ในขณะที่ Cross ซึ่งทำมาขายคนทั่วไป ใช้คานบิดแบบธรรมดา

ภายในห้องโดยสาร มีพื้นที่กว้างขวางพอสำหรับคนโสดหรือคนเพื่อนเยอะ หลายคนมักคิดว่าเบาะหลังของ C-HR นั้นแคบ ความจริงนั่งสบายแทบไม่ต่างจาก Corolla Cross ครับ แต่เพราะกระจกประตูบานหลังนั้นเล็กมาก และแนวหลังคาที่เตี้ยกว่าทำให้เวลานั่งแล้วรู้สึกอึดอัดไม่มีที่ทางให้มองออกไป สิ่งที่ Cross ได้เปรียบกว่า C-HR คือมันมีฝาท้ายไฟฟ้า และพื้นที่เก็บของด้านหลังก็ใหญ่โตกว่ามาก ดังนั้นบางท่านพอเริ่มมีครอบครัว มีสรรพสิ่งของสำหรับเจ้าตัวเล็กรวมถึงรถเข็นเด็กแบบพับได้ ก็จะเหมาะที่จะไปใช้ Cross มากกว่าเพราะมีที่เหลือให้ใส่ของมากกว่าเยอะ

การออกแบบภายในห้องโดยสาร ให้บรรยากาศผสมระหว่างเส้นสายฉวัดเฉวียนที่พยายามแหวกความเป็น Toyota ให้ได้มากที่สุด แต่ความที่ยังต้องใช้พาร์ตร่วมกับรถรุ่นอื่นของค่าย ก็จะทำให้มีบางจุดที่ดูทะแม่ง เช่นจอระบบ Infotainment ตรงกลางที่ตั้งกรอบมาดูล้ำยุคแต่ชุดเครื่องเสียงยังเป็นแบบ 2 DIN ที่ไม่ค่อยทันสมัยนัก แลกกับข้อดีคือ ถ้าเครื่องเสียงพังก็หาเสียบใหม่ใส่ได้ง่าย หน้าปัดยังเป็นแบบเข็ม มีจอ MID ขนาดเล็กแทรกตรงกลาง เพราะ C-HR เกิดในยุคที่ความเป็นอนาล็อกยังหลงเหลืออยู่

ส่วนเรื่องจะหรูแค่ไหนนั้น แล้วแต่งบประมาณกับความอยากของคุณ เพราะ C-HR รุ่นแรกๆ มีแค่ 4 รุ่นย่อย สำหรับคนที่อยากจ่ายสดซื้อรถในแบบราคาดีโดยไม่สนเรื่องอุปกรณ์มาก รุ่น 1.8 เบนซิน ENTRY จะตอบโจทย์ เพราะแม้เป็นรุ่นเริ่มต้น ก็ยังมีลูกเล่นติดตัวพอสมควร แอร์ออโต้แบ่งปรับอุณหภูมิซ้าย/ขวาได้ มี Cruise Control ให้ใช้เวลาวิ่งทางไกล มีระบบเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Brake Hold แบบรถสมัยใหม่ แต่ถ้าใครอยากได้เบาะหนัง ก็ต้องมองหารุ่นเบนซิน 1.8 MID แล้วคุณจะได้สิ่งนั้น แล้วเพิ่มไฟตัดหมอก สมาร์ทคีย์และปุ่มกดสตาร์ต นอกจากนี้พวกรุ่น MID จะได้ภายในสีทูโทนน้ำตาลดำ และคิ้วแต่งกระจกประตูบ้านข้างโครเมียม พร้อมเสากลางรถเปลี่ยนจากสีดำด้านเป็นดำเงา รถเบนซินทั้งหมด จะได้ไฟหน้าฮาโลเจนหลอดเหลืองนวลกับไฟ DRL LED และไฟท้าย LED สเปกปกติ

ขยับขึ้นมาเป็นรุ่น Hybrid MID อุปกรณ์จะคล้ายตัวเบนซิน MID แต่เปลี่ยนไฟหน้าเป็น LED ครบทุกหลอด พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Sequential เปลี่ยนไฟท้ายเป็น LED สเปกสูงซึ่งจะมีแถบไฟ LED โค้งสวยหรูกว่า เพิ่มไฟตกแต่งบรรยากาศที่ประตูหน้าและจุดวางแก้วน้ำ และระบบเชื่อมต่อมือถือ T-CONNECT Telematics ส่วนรุ่นท็อปอย่าง Hybrid HIGH ก็จะเน้นหนักไปทางด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย ไฟสูงแบบปรับลำแสงหลบรถสวนโดยอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง ระบบเตือนก่อนชนด้านหน้าพร้อมเบรกอัตโนมัติ ระบบเตือนรถเป๋ออกนอกเลนพร้อมประคองพวงมาลัยกลับ ระบบเตือนเวลาถอยออกจากซองแล้วมีรถวิ่งตัด รวมถึงระบบ Radar Cruise Control ซึ่งเป็นเจเนอเรชันแรกๆ ยังไม่สามารถทำงานจนความเร็วเหลือศูนย์ได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มไฟส่องลงพื้นเป็นโลโก้ C-HR ที่กระจกมองข้าง ไฟแต่งหน้า และลูกเล่นอื่นๆ จนพูดได้ว่า ขาดอีกนิดเดียวก็ดีเท่ารถตัวท็อปล้านต้นในปี พ.ศ. นี้แล้ว

แต่ถ้าคุณไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้นัก C-HR ทุกรุ่นก็ยังมีถุงลมนิรภัย 7 ใบ เบรก ABS ระบบช่วยรักษาการทรงตัว VSC ระบบแจ้งเตือนลมยางอ่อน และกล้องมองถอยหลังมาให้ ซึ่งก็เรียกได้ว่ามากพอให้สมกับราคารถตอนป้ายแดงที่เริ่มกันเก้าแสนปลายนั่นล่ะครับ

รุ่นไฮบริดน่าเล่นไหม? หลายคนต้องถามแน่ๆ ถ้ามองในแง่เศรษฐศาสตร์ คุณสามารถคำนวณได้จากอัตราสิ้นเปลืองและราคาน้ำมันครับ สมมติว่าคุณใช้รถแบบคนปกติทั่วไปที่วิ่งปีละประมาณ 20,000 กิโลเมตร รุ่นไฮบริดจะเซฟเงินค่าเชื้อเพลิงให้คุณได้ปีละประมาณ 8,000-10,000 บาท ซึ่งภายใน 5 ปี ส่วนต่างที่คุณจ่ายเพิ่มตอนซื้อรถ (มือสอง) ก็น่าจะคืนทุนหมด แต่ก็ต้องเผื่อใจเรื่องจุดบำรุงรักษาเอาไว้บ้างในระยะยาว แบตเตอรี่ไฮบริดนั้นไม่ค่อยเท่าไร เพราะ Toyota รับประกัน 10 ปี แล้ว C-HR ที่ออกจากโรงงานไทยคันแรกก็เพิ่งจะอายุ 5 ปีนิดๆ แต่ถ้าพ้นวารันตีไป ค่าแบตเตอรี่ไฮบริด ก็ตกประมาณ 60,000 บาท ส่วนแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นแบตเตอรี่ธรรมดาๆ ลูกละสองพันกลางถึงปลายครับ ปั๊มเบรกไฮบริดประมาณ 70,000 บาท คอมเพรสเซอร์แอร์ไฮบริด ประมาณ 45,000 บาท ชุด Inverter 80,000 บาท

หลายคนอาจจะเห็นราคาแล้วขนลุกซู่ แต่เท่าที่ดูจากระบบไฮบริดเจเนอเรชันเก่าใน Prius คุณจะไม่โดนรายการซ่อมของเหล่านี้ในช่วงเวลาใกล้ๆ กันนัก ระบบไฮบริดของ C-HR และ Cross พัฒนามาให้ทนทานขึ้นกว่าระบบเก่าใน Prius กับ Camry Hybrid ตัวแรก ดังนั้น ถ้าแผนของคุณคือจับ C-HR มาขับโก้เล่นสัก 5 ปีค่อยขาย อย่างมากคุณก็โดนแค่ 1 จาก 4 ไอเทมที่แพงหูฉีกตรงนั้น หรืออาจจะไม่โดนเลย แต่ก็ต้องแจ้งกันตามตรงว่าถ้าเป้าหมายของคุณคือเซฟเงินและไม่ใช่เซฟค่าน้ำมัน รุ่นเบนซินดูจะมีภาษีดีกว่าระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณอยากได้รถสีแปลกๆ เช่น สีน้ำเงิน สีแดง สีเขียวสดใส หรืออยากได้อุปกรณ์ครบๆ อลังการ เสียใจด้วยครับ มันมีแต่รุ่นไฮบริดล่ะ ที่สามารถตอบโจทย์คุณได้ แต่ถ้ามองแบบปลอบใจก็คือ ไฮบริดของ Toyota รุ่นนี้ เทียบกับไฮบริดรุ่นอื่นในตลาด ก็เป็นแบบที่นับว่าทนทานที่สุด ไว้ใจได้มากที่สุด และมีคนซ่อมเป็นนอกศูนย์เยอะที่สุดแล้ว ถ้ารับไม่ได้จริงๆ ไม่ต้องไปมองไฮบริดยี่ห้ออื่นให้เสียเวลาครับ

สำหรับท่านที่สงสัยว่ารุ่นไฮบริด จอดใส่เกียร์ว่างเข็นได้หรือไม่ ยืนยันว่าทำได้ครับ แค่ดึงกุญแจออกมาจากตัวสมาร์ทคีย์ แยงไปตรงช่อง Shift Lock แล้วดึงเกียร์มา N ได้ หรือยิ่งง่ายไปกว่านั้น ก่อนดับเครื่องตอนที่ยังอยู่เกียร์ R หรือ D คุณเอามือกำปุ่มหัวเกียร์คาไว้ ดึงมาที่ P เอามืออีกข้างปลดเบรกมือไฟฟ้า (ไฟรูปตัว P บนหน้าปัดต้องดับ) แล้วกดปุ่มดับรถ แล้วค่อยดึงเกียร์กลับมา N แล้วค่อยปล่อยมือจากปุ่มหัวเกียร์ แบบนี้ก็ไม่ต้องแกะกุญแจออกมาแยง สะดวกสำหรับท่านที่พกกุญแจในกระเป๋าถือหรือชอบใส่เคสกุญแจ นี่คือจุดหนึ่งที่ Toyota พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานแบบคนไทยครับ สมัย Prius น่ะยังใส่เกียร์ N กับรถแบบนี้ไม่ได้

ส่วนเรื่องที่ควรทราบเพิ่ม ก็ยังมีอีกนะครับ ผมไม่ได้มาเพื่ออวยชัยให้ Toyota ดังนั้นก็จะเรียนตามตรงว่า อย่าเพิ่งเห็นโลโก้สามห่วงแล้วตีความว่า ทน ถึก ถูกไปทุกอย่าง C-HR ก็มีบางจุดที่ผู้ใช้ตัวจริงเขารายงานมาให้ผมทราบ และคุณก็ควรได้รู้ก่อนตกลงใจซื้อ

ข้อแรก ถึงแม้วารันตีตัวรถจะนาน 5 ปี แต่มักจะเป็นเรื่องของระบบไฮบริดและระบบขับเคลื่อนครับ ถ้าเป็นอวัยวะอื่นๆ อาจไม่ครอบคลุม ลูกค้าบางท่านต้องการเคลมยางขอบประตูที่เสื่อมก่อนกำหนด แต่ได้รับการปฏิเสธเคลมก็มี แผ่นปิดสัมภาระด้านท้ายรถ หักได้ถ้าคุณเอาของหนักๆ วางหรือไปล้มใส่มันโดยบังเอิญ แผ่นเจ้ากรรมนี่ถ้าหัก ไม่มีทางเคลมได้ และราคาของมันก็เกือบหมื่นบาท ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ถอดเก็บไว้ดีๆ เถอะ นอกจากนี้ เซนเซอร์ลมยางก็ชำรุดง่ายถ้าเจอช่างร้านยางที่ถอดใส่ไม่ระวัง ส่วนนี้เคลมไม่ได้ครับเพราะถือว่าไม่ได้พังเองด้วยตัวอุปกรณ์

ส่วนไฟหน้าที่มักมีคราบละลายในเลนส์ และไฟท้ายแตกลายงา พบได้ในรถที่มักจอดโดนแดดประจำเช่นรถมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานบริษัทขี้เหนียวไม่มีตึกจอดดีๆ ให้ ของพวกนี้หากวารันตี 5 ปียังไม่หมด ก็ลองยื่นเคลมได้ครับ ลองถามเพื่อนๆ ในคลับคนใช้ C-HR ว่าที่ไหนบ้างที่ไปแจ้งแล้วศูนย์ใจดีเคลมให้ เราก็ไปที่นั่น ถึงไกลบ้านหน่อยแต่ถ้าชัวร์กว่า ก็สมควรไปเพื่อกันไม่ให้เสียเวลาเปล่า

ข้อต่อมา รุ่น 1.8 เบนซิน เวลาซื้อให้ดูคราบน้ำมันรั่วตามเครื่องและเกียร์สักหน่อย เพราะรถลอตแรกๆ หลายคันจะมีปัญหาซีลรั่วซึม ซึ่งถ้าหากเจ้าของเก่าพบและทำเรื่องเคลม ก็จะสามารถเคลมได้ไม่มีปัญหา เช่นเดียวกับแร็คพวงมาลัยดัง ซึ่งพบในบางคันรวมถึงรุ่นไฮบริด

ส่วนช่วงล่างนั้น โดยปกติ C-HR ถือว่าค่อนข้างทนชนิดที่ถ้าไม่ผ่านแสนโลมักไม่ค่อยมีปัญหา แต่ช่วงล่างหลังของ C-HR จะมีจุดต่อจุดยึดที่ทำให้ต้องใช้ลูกหมากหลายลูกเหมือน Honda ในยุค 90s ทำให้ค่าซ่อมช่วงล่างแพงกว่ารถที่ใช้ช่วงล่างคานบิดอย่าง Corolla Cross

เรื่องการเก็บเสียงของ C-HR นั้น ปกติครับ...คือดังจนเป็นเรื่องปกติ แม้จะโฆษณาว่ามีกระจกบานหน้าแบบลดเสียงรบกวนแล้วก็ตาม แต่เสียงลมด้านข้างจะดังจนบางทีคุณงงว่านี่รถราคาล้านบาทแน่หรือ โดยเฉพาะถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงเกิน 110 ขึ้นไป รถ Toyota ยุค TNGA มักมีปัญหานี้เช่นเดียวกับ Corolla Altis TNGA และ Camry TNGA ครับ เหมือนกับเขาเอาเงินทุนไปลงกับช่วงล่าง แล้วมาตัดงบเอากับเรื่องการเก็บเสียง แต่ถ้าคุณรับได้ หรือคุณมักวิ่งไปมาในเมืองที่ความเร็วต่ำ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร

ถ้าคุณรับเรื่องเหล่านี้ได้ C-HR ก็จัดว่าเป็นรถที่ขับสนุก คล่องมือ มีความทันสมัยในรูปทรงเพราะตัวที่ขายอยู่ปัจจุบันก็ไม่ได้ดูต่างจากนี้มาก อายุรถยังไม่เยอะ ไม่ต้องมานั่งเก็บงานชำรุดตามจุดต่างๆ แบบพวกรถที่อายุ 10-15 ปี อุปกรณ์ความปลอดภัยก็เป็นไปตามมาตรฐานของรถยุคใหม่ ได้รถรูปทรงแปลกแต่ไม่ซ่อมยากเย็น หาอะไหล่วุ่นวายแบบรถทรงแปลกของค่ายอื่นๆ คุณขับไปเทียบกับครอสโอเวอร์ป้ายแดงราคาล้านบาทแล้วดูมีสไตล์ (และมีกะตังค์) ไม่แพ้กัน แต่น้อยคนจะรู้ว่าคุณขับรถอายุ 4-5 ปี แถมยังช่วงล่างดี ขับทางไกล ซัดโค้ง ขึ้นลงเขาสนุกอุรา

รถปี 2018 ลอตแรกๆ ราคาจะถูกมาก เพราะความที่วารันตี 5 ปีใกล้หมดเต็มทน ในขณะที่รถปี 2019 ที่มีการอัปเดตเปลี่ยนลายล้อใหม่ไฉไลขึ้นและเพิ่มเบาะหนังในตัว ENTRY ราคาจะถีบไปอีกเป็นแสน เทคนิคเซฟแบบบาลานซ์ตัว ก็คือ เราเลือกรถปี 2018 ที่เจ้าของเก็บประวัติการซ่อมบำรุงเอาไว้ครบที่สุด ถ้าไฟหน้าไฟท้ายขึ้นคราบขึ้นลายงา ก็มีการแจ้งเคลมไปแล้วโดยเจ้าของคนเดิมบันทึกไว้ในประวัติรถหรือมีใบเสร็จ ลองไล่ดูจุดอ่อนตามที่ผมเขียนไว้ข้างบนได้ หากรายการเหล่านั้นมีการเคลมไปแล้วและของที่เคลมมายังสภาพดีอยู่ คุณก็จะได้ใช้ของดีโดยประหยัดเงินตอนซื้อด้วย แต่รถที่วารันตีหมดไปแล้ว และยังไม่ได้แก้ไขปัญหาในจุดดังกล่าว ก็อาจเจรจาต่อรองราคากันตามความเหมาะสม

พยายามใจเย็น ดูรถคันจริงให้ได้หลายๆ คัน เพราะหลายท่านจะไม่มีประสบการณ์ในการดูรถมือสอง หากสังเกตรถจำนวนมากคัน คุณจะเริ่มพบความต่างในเรื่องของสภาพ ช่วยให้เลือกรถได้ดีขึ้น หรือเล่นทางลัดก็จ้างหรือชวนเพื่อนที่ดูรถมือสองเก่งๆ ไปช่วยกันหา แบบนั้น ก็มีโอกาสมากกว่า ที่เราจะได้รถดี ขับครอสโอเวอร์ปียังใหม่ ได้คุณสมบัติแบบรถล้านบาทโดยจ่ายเงินเท่ากับอีโคคาร์เครื่องเบนซินตัวท็อปป้ายแดง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ท่านได้พิจารณาครับ.

Pan Paitoonpong

คุณกำลังดู: ส่องรถมือสองน่าสน Toyota C-HR ทรงแปลกขับดีปียังใหม่ เริ่มที่ห้าแสนกลาง

หมวดหมู่: รถยนต์

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด