จากความสดใสหลังภัยสงคราม สู่เสื้อผ้าของปัญญาชน Marimekko แบรนด์ผ้าพิมพ์จากฟินแลนด์
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้แบรนด์ผ้าพิมพ์ขนาดเล็กในเมืองเฮลซิงกิกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ถึงขนาดที่คนดังมากมายยังเป็นแฟนคลับ นี่คือเรื่องราวของ Marimekko
Marimekko คือแบรนด์สัญชาติฟินแลนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักจากลวดลายผ้าพิมพ์ของ ดอกอูนิกโกะ (unikko) สีสันสดใสที่มักจะปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ ตาม tote bag เดรส และไอเทมอื่นๆ ของแบรนด์ ไม่แปลกที่หลายคนจะจดจำและตกหลุมรัก Marimekko จากลวดลายดอกไม้ที่สดใสนี้
แต่ประวัติศาสตร์แบบไหนกันล่ะที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังความสดใสนี้ แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้แบรนด์ผ้าพิมพ์ขนาดเล็กในเมืองเฮลซิงกิกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ถึงขนาดที่คนดังอย่าง Jacqueline Kennedy และ Georgia O’Keeffe ยังเป็นแฟนคลับ นี่คือเรื่องราวของ Marimekko แบรนด์ผ้าจากฟินแลนด์ที่กลายเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก
เดรสของแมรี่
ย้อนกลับไปในปี 1912 Armi Airaksinen
ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกที่คาเลเรีย จังหวัดเล็กๆ
ในฟินแลนด์ที่ในเวลาต่อมาจะถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต
ในสายตาของเพื่อนๆ อาร์มีเป็นเด็กมีไหวพริบและรู้จักเอาตัวรอด
อย่างที่เธอเคยเล่าว่า
“ฉันเอาชีวิตรอดจากช่วงเวลาของการผนวกรวมกับสหภาพโซเวียตมาได้ด้วยเสื้อกันฝนหนึ่งตัวและหน้ากากกันแก๊สพิษรั่วๆ
หนึ่งอัน”
ชีวิตในวัยเด็กของอาร์มีไม่ได้สวยสดงดงามนัก ภายใต้สภาวะสงครามและความรุนแรงรอบตัว ครอบครัวของอาร์มีตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดและอพยพมาอยู่ที่เฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ในปัจจุบัน
อาร์มีตัดสินใจเรียนต่อด้านการออกแบบสิ่งทอที่ Central School of Applied Arts ในเมืองเฮลซิงกิ เป็นที่นี่เองที่อาร์มีได้รู้จักกับศิลปะสไตล์ Bauhaus ที่ได้กลายเป็นอิทธิพลสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นต่างๆ ของเธอ อาร์มีเรียนจบในปี 1935 โดยที่ในปีเดียวกันนั้นเธอก็ได้แต่งงานกับ Viljo Ratia นายทหารหนุ่มผู้ไม่เพียงจะเปลี่ยนสถานะไปเป็นคู่ชีวิตเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจคนสำคัญในเวลาต่อมา
ชีวิตคู่ของอาร์มีและวิลิโยเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน
โลกก็ผันผ่านเข้าสู่สงครามโลกอีกครั้ง
ซึ่งก็เป็นสงครามโลกครั้งที่สองนี่เองที่ได้สร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับอาร์มีอย่างรุนแรงจากการสูญเสียพี่น้องสองคนไปในระหว่างการปะทะกันระหว่างฟินแลนด์และรัสเซีย
สงครามโลกครั้งที่สองยังส่งผลให้อาร์มีหันมาให้คุณค่ากับสิ่งง่ายๆ
เล็กๆ รอบตัว แทนที่จะไปสนใจสิ่งหรูๆ แพงๆ
หลังจากที่สงครามสิ้นสุด วิลิโยตัดสินใจลาออกจากกองทัพและนำเงินที่มีมาซื้อโรงงานผ้าน้ำมัน Printex ก่อนที่ในปี 1949 อาร์มีจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทและเปลี่ยนชื่อเป็น Marimekko ในอีกสองปีให้หลัง ชื่อที่ความหมายของมันคือ ‘เดรสของแมรี่’ (Mary’s dress)
ความรักในรากเหง้า
บรรยากาศของฟินแลนด์ในช่วงหลังสงครามนั้นอบอวลไปด้วยความปรารถนาต่อความหวังและนวัตกรรมใหม่ๆ
ที่จะช่วยนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่สดใส ซึ่ง Marimekko
เองก็ถือเป็นตัวละครสำคัญที่มุ่งมั่นจะพลิกฟื้นฟินแลนด์ให้กลับมามีความสุขได้อีกครั้ง
เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้ง Marimekko
ก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกสดใสจากโปรดักต์ของแบรนด์
อย่างไรก็ตาม
ด้วยความที่ฟินแลนด์ยังคงมีชนักปักหลังจากสงครามเป็นการต้องจ่ายค่าปฏิกรรมให้กับสหภาพโซเวียต
อัตคัดทางทรัพยากรของประเทศสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนผ่านผลิตภัณฑ์ของ
Marimekko ณ ตอนนั้นที่มักจะใช้วัตถุดิบราคาประหยัด
และผ้าฝ้ายราคาถูกเป็นส่วนใหญ่
ต่อมาในปี 1953 อาร์มีก็ได้จ้างศิลปินรุ่นใหม่มาร่วมทีม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Vuokko Eskolin-Nurmesniemi ศิลปินผู้ที่จะถูกจดจำในฐานะผู้ออกแบบลวดลายคลาสสิคสารพัดลายให้กับแบรนด์ รวมถึง Jokapoika ผ้าพิมพ์ลายทางที่ส่งให้ชื่อของ Marimekko เป็นที่รู้จักในเวลาต่อมา
laird borrelli-persson บรรณาธิการแห่งนิตยสาร Vogue เล่าว่า
“ลวดลายผ้าพิมพ์ของ Marimekko
สะท้อนให้เห็นความเป็นชนบทและวิถีชีวิตแบบชาวสลาฟที่อาร์มีเติบโตขึ้นมา
อาร์มีให้ความสำคัญกับรากเหง้าของเธอเป็นอย่างมาก” กล่าวได้ว่า
ธรรมชาติและความมีอิสรเสรีคือหัวใจของแบรนด์
โดยที่แม้ว่าลวดลายเหล่านี้จะอบอวลด้วยกลิ่นอายแบบชนบทเพียงใด
หากแบรนด์ก็ได้ผสานวิธีดีไซน์แบบสมัยใหม่ซึ่งช่วยส่งให้ลวดลายของ
Marimekko โดดเด่นขึ้นมา
เพียงไม่กี่ปีหลังจากก่อตั้งบริษัท Marimekko ก็กลายเป็นแบรนด์ที่โด่งดังสุดๆ ในฟินแลนด์ ก่อนจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศอื่นๆ ในยุโรป และสหรัฐอเมริกาในท้ายที่สุด
ยูนิฟอร์มสำหรับปัญญาชน
Marimekko เดินทางมาถึงสหรัฐอเมริกาในปี 1959 ผ่านร้าน Design
Research ของ Benjamin Thompson สถาปนิกชาวอเมริกัน หนึ่งปีก่อนหน้า
เบนจามินได้เดินทางไปงาน Brussels World’s Fair
นิทรรศการแสดงสินค้าครั้งใหญ่ในกรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยียม
ซึ่งเป็นที่นี่เองที่ทอมป์สันก็ได้รู้จักกับเสื้อผ้าของ Marimekko
เป็นครั้งแรกและรู้สึกถูกชะตาในทันที
ทอมป์สันตัดสินใจสั่งเสื้อผ้าของ Marimekko ไปขายในห้างสรรพสินค้าของเขาในรัฐแมสซาชูเซตส์ และแนะนำให้ลูกค้าชาวอเมริกันได้รู้จักแบรนด์ภายใต้นิยาม ‘เสื้อผ้าที่จะช่วยปลดปล่อยร่างกายและจิตใจ’ ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า นักศึกษาหญิงจากวิทยาลัยแรดคลิฟฟ์ (ซึ่งถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในภายหลัง) ได้พากันคลั่งไคล้เสื้อผ้าของ Marimekko เป็นอย่างมาก
Eugenia Sheppard นักเขียนสายแฟชั่นได้บันทึกไว้ว่า
“มีนักศึกษาหญิงวิทยาลัยแรดคลิฟฟ์กว่าร้อยๆ คนจับจ่ายเสื้อผ้าของ
Marimekko และพากลับไปให้บรรดาแม่ๆ ที่บ้านดูกัน”
ซึ่งก็เป็นนักเขียนคนเดียวกันนี้เองที่ได้นิยาม Marimekko ว่าเป็น
‘ยูนิฟอร์มสำหรับเหล่าปัญญาชน’ (a uniform for intellectuals)
“เพราะเสื้อผ้าของ Marimekko
นั้นเหมาะสำหรับผู้หญิงที่อยากจะลืมไปว่ากำลังสวมใส่เสื้อผ้าอะไรอยู่”
ยูจีเนียเล่าเสริม
ในสหรัฐอเมริกา Marimekko ถูกรับรู้ในฐานะเสื้อผ้าที่ออกแบบเพื่อการใช้งานและความคล่องแคล่ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Marimekko ถึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักศึกษาหญิงในวิทยาลัยชั้นนำ และเหล่าปัญญาชนในสังคมที่กำลังท้าทายกับค่านิยมอเมริกันที่กดทับผู้หญิงเสมอมา “เสื้อผ้าควรจะถูกออกแบบเพื่อที่ผู้สวมใส่จะสามารถเคลื่อนที่ วิ่ง กระโดด หรือนั่งได้อย่างอิสระ” Annika Rimala หนึ่งในดีไซเนอร์คนสำคัญของแบรนด์กล่าว
เป็นการท้าทายกับค่านิยมของเสื้อผ้าผู้หญิงรัดรูปแบบเดิมๆ ที่คอยแต่จะสร้างความอึดอัดให้กับผู้สวมใส่อยู่เสมอนี่เอง ที่ส่งผลให้ผู้หญิงหัวก้าวหน้าในสังคมอย่างนักเคลื่อนไหวเรื่องผังเมืองอย่าง Jane Jacobs และศิลปินเฟมินิสต์อย่างจอร์เจีย โอคีฟต่างก็ชื่นชอบเสื้อผ้าของ Marimekko เช่นเดียวกับสตรีหมายเลขหนึ่งอย่างแจ็กเกอลีน เคนเนดี้
จากดอกอูนิกโกะถึงการส่งต่อเสื้อผ้าแบบชาวฟินแลนด์
ถึงตรงนี้บางคนอาจกำลังสงสัยว่า
แล้วลายดอกอูนิกโกะอันเป็นภาพจำของแบรนด์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันล่ะ
เป็นในปี 1964 ที่ Maija Isola หนึ่งในดีไซเนอร์คนสำคัญของแบรนด์ได้ออกแบบลวดลายนี้ขึ้นมา โดยไม่สนใจว่า เจ้าของบริษัทอย่างอาร์มีจะไม่ได้ชื่นชอบลวดลายดอกไม้สักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ไมยาเลือกจะใช้สีที่ร้อนแรงอย่างฮอตพิงค์ และส้มแทนเจอรีน ที่ไม่เพียงจะขับเน้นความสดใสให้กับลวดลายนี้ แต่ยังเข้ากับรสนิยมทางศิลปะของช่วงเวลานั้นที่โน้มเอียงไปในทางป็อปอาร์ตได้เป็นอย่างดี ซึ่งพออาร์มีได้เห็นลวดลายที่ไมยาออกแบบมา แม้ว่ามันจะเป็นลายดอกไม้ แต่อาร์มีก็ไม่ได้มีปัญหา กลับยินดีและนำลวดลายของดอกอูนิกโกะไปพิมพ์บนผืนผ้าทันที
“สำหรับผู้หญิงในยุค 1960s น่ะ ผืนผ้าของ Marimekko
ได้ช่วยนำแสงสว่างและความเรียบง่ายมาสู่ชีวิต” Sarah Campbell
หนึ่งในดีไซเนอร์ชาวอังกฤษย้อนเล่าความทรงจำในอดีต
“ความมีชีวิตชีวาของลวดลายต่างๆ
ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับลวดลายแบนเรียบที่ดีไซเนอร์ออกแบบขึ้นมา
ซึ่งเมื่อมันไปปรากฏบนเสื้อผ้า
ก็คล้ายว่าเราจะมองเห็นได้ถึงปลายนิ้วที่กำลังเคลื่อนไหวของศิลปินขณะกำลังวาดลวดลายเหล่านี้”
Marimekko ไม่ได้ร่วมงานแค่กับศิลปินชาวฟินแลนด์เพียงอย่างเดียว เพราะในเวลาต่อมา แบรนด์ก็ได้ไปร่วมงานกับศิลปินชาวญี่ปุ่นอย่าง Katsuji Wakisaka จนออกมาเป็นอีกหนึ่งลวดลายคลาสสิกอย่าง Kalikka ซึ่งก็สะท้อนความสนุกและขี้เล่นได้เป็นอย่างดี หรือกระทั่งในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ที่เราได้เห็น Marimekko กระโดดไปร่วมงานกับแบรนด์ร่วมสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Uniqlo, Converse หรือล่าสุดกับแบรนด์กีฬาอย่าง Adidas
เสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้แบรนด์ยังคงเป็นที่รักอยู่เสมอคือ
ความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม
เพราะไม่เพียงแค่แบรนด์จะพยายามให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายธรรมชาติ
และหันมาใช้ใยผ้าที่ย่อยสลายได้มากขึ้นเท่านั้น
ในวาระที่แบรนด์มีอายุครบ 70 ปี Marimekko ก็ได้ปล่อยแคมเปญอย่าง
‘Pre-loved’
ซึ่งคือการหยิบเอาเสื้อผ้าของแบรนด์ในอดีตกลับมาขายอีกครั้ง
โดยหัวใจสำคัญของแคมเปญนี้คือการตอกย้ำวัฒนธรรมของชาวฟินแลนด์ที่คนรุ่นแม่จะส่งต่อเสื้อผ้าอันเป็นที่รักให้กับรุ่นลูก
นอกจาก Pre-loved
จะสะท้อนให้เห็นค่านิยมชาวฟินแลนด์ในการดูแลรักษาเสื้อผ้าเป็นอย่างดีเพื่อจะส่งต่อให้กับคนอีกรุ่นหนึ่งแล้ว
แคมเปญนี้ยังสื่อสารว่า แม้ว่าแบรนด์จะก่อตั้งมาแล้วกว่า 70 ปี
แต่ก็ไม่เคยลืมประวัติศาสตร์ของตัวเอง
เช่นเดียวกับที่อาร์มีเองก็ไม่เคยลืมรากเหง้าสลาวิชในตัวเธอเลย
ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับชาวฟินแลนด์หลังสิ้นสุดสงคราม
ไปจนถึงการเป็นเสื้อผ้าที่นิยามความเป็นปัญญาชน ปฏิเสธไม่ได้ว่า
Marimekko คือหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่มีเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Marimekko
จะกลายเป็นแบรนด์ที่ต้องตาโดนใจผู้คนนับล้านๆ ทั่วโลก
คุณกำลังดู: จากความสดใสหลังภัยสงคราม สู่เสื้อผ้าของปัญญาชน Marimekko แบรนด์ผ้าพิมพ์จากฟินแลนด์
หมวดหมู่: ผู้หญิง