ชีวิตติดสปีดของ “บิวกิ้น-พุฒิพงศ์” เป็นอะไรก็ได้!! สำคัญสุดคือต้องมีความสุข

“บิวกิ้น" ศิลปินไอดอลขวัญใจคนรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรงที่สุด ใครจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มใสเอ๊าะคนนี้จะกลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว ตั้งแต่อายุแค่ 23 ปี โดยเปิดค่าย “บิวกิ้น เอนเตอร์เทนเมนต์”

ชีวิตติดสปีดของ “บิวกิ้น-พุฒิพงศ์” เป็นอะไรก็ได้!! สำคัญสุดคือต้องมีความสุข

ได้ยินเสียงร่ำลือมาเยอะถึงความมีกึ๋นและเป็นผู้ใหญ่เกินตัวของ “บิวกิ้น–พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” (Billkin) ศิลปินไอดอลขวัญใจคนรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรงที่สุด ใครจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มใสเอ๊าะคนนี้จะกลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว ตั้งแต่อายุแค่ 23 ปี โดยเปิดค่าย “บิวกิ้น เอนเตอร์เทนเมนต์” และบริษัททำวิตามินอาหารเสริมของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ “WITAL” แถมยังมีแผนอีกสารพัด แพลนชีวิตไว้ยาวไปถึงวันเกษียณโน่นแล้ว...เรียกว่าถ้าไม่รวยติดทำเนียบเศรษฐีฟอร์บส์ อย่ามาเรียกผมว่า “บิวกิ้น” เนอะๆๆ

“เป้าหมายผมไม่ได้อยากรวยเป็นไพรออริตี้แรก แต่ผมเป็นคนคิดวางแผนตลอดเวลา เช่น พรุ่งนี้จะไปทำอะไร ผมจะวางแผนแล้วว่าจะแต่งตัวยังไง จะออกจากบ้านกี่โมง เวลาเราคบใครก็จะคิดไปถึงวันที่สร้างรากฐานให้กับชีวิต หรือการเข้ามหาวิทยาลัยก็จะคิดว่าเรียนสิ่งนี้แล้วเราจะเข้าเมเจอร์อะไร เราจะวางแผนชีวิตยังไง เรียนจบแล้วจะไปทำอะไรต่อ เหมือนเราคิดไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดกับทุกอย่างในชีวิต คิดไปเรื่อยถึงเกษียณเลยครับ!! ผมรู้สึกว่าในคนอายุเท่ากัน เราได้ใช้ชีวิตคุ้มมาก เราได้ทำงานเราได้เจอคนมากมาย เจอคนเก่งๆเยอะแยะ เราได้ลองทำอะไรหลายอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้ลองทำในอายุเท่านี้ เราได้เริ่มสร้างรากฐานหลายอย่างให้กับชีวิต”

เข้าวงการมาหลายปี “บิวกิ้น” เปลี่ยนไปเยอะไหม

ก็เปลี่ยนไปเยอะนะ แต่ตัวตนเราไม่ได้เปลี่ยนครับ พอเราเริ่มทำอะไรแล้วเรามีประสบการณ์มากขึ้น บวกกับมีปัจจัยภายนอกที่มันเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราทำและเติบโตมากกว่าที่มันเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายแล้วเราก็เป็นคนเดิม ใช้ชีวิตคล้ายๆเดิม แค่เราอาจได้รับโอกาสมากขึ้น ได้ทำอะไรใหม่ๆมากขึ้น ผมว่าแก่นของความเป็นตัวตนเรามันเหมือนเดิม แต่การใช้ชีวิตมันเปลี่ยนไปด้วยสถานการณ์ บริบทต่างๆ มันก็เข้ามาและออกไปตลอดทาง สำหรับผมตั้งแต่เริ่มทำงานมาถึงวันนี้มันก็เปลี่ยนไปมาก

หน้าใสๆแบบนี้ ตัวจริงแสบเอาเรื่องจริงไหม

เด็กๆผมขี้แยและเอาแต่ใจตัวเองมาก ด้วยความเป็นลูกชายคนเล็กคืออยากได้อะไรต้องได้ ถ้าไม่ได้จะร้องไห้จนกว่าจะได้ แล้วมันก็จะได้ทุกครั้ง เลยเหมือนว่าการร้องไห้เป็นโซลูชันเวลาที่เราอยากจะได้อะไรบางอย่าง ตอนเด็กๆถูกเรียกผู้ปกครองบ่อย ผมรู้สึกว่าการทรีตของครูหลายเรื่องมันไม่ถูกต้อง แล้วผมก็พยายามจะอธิบาย มันกลายเป็นว่าเราไปต่อต้านระบบ เหมือนเราเป็นนักเรียนขบถ เขาก็เรียกเราไปคุยไปปรับทัศนคติ ผมเป็นหนูน้อยจำไมตั้งแต่เด็ก

เป็นกับทุกอย่างและทุกคน จุดเริ่มต้นมาจากตอนเด็กๆเราเป็นเด็กดื้อมาก ไม่ว่าเราจะทำอะไรมามันจะจบปัญหาด้วยการโดนพ่อตี ซึ่งเรารู้สึกว่าเราไม่ชอบเลย ยิ่งโดนตีเรายิ่งต่อต้าน แล้วมีอยู่วันหนึ่งพ่อเดินมาคุยกับเราด้วยเหตุผล รู้ไหมทำแบบนี้ผิดนะมันไม่ดีเพราะอะไร และสุดท้ายเขาไม่ได้ตีผม เรารู้สึกว่าเราชอบวิธีนี้มากเลย ทำให้เข้าใจถึงเหตุผล นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราก็ใช้ชีวิตด้วยเหตุผล ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนี้ และทำไมเราถึงจะไม่ทำสิ่งนี้

กับเรื่องความรัก ใช้เหตุผลด้วยหรือเปล่า

ผมว่าถ้าเป็นเรื่องความรักมันจริงหมด ไม่ใช่แค่ความรักของ LGBTQ+ หรือความรักของใคร ทุกอย่างมันคือความเป็นมนุษย์ คือความรู้สึก คือความชอบ คือความสุขที่จะได้รักได้ชอบ หรือมีความสุขที่จะทำอะไรต่ออะไร ซึ่งความจริงแล้ว เราไม่ควรแบ่งแยกว่าอันไหนผิดอันไหนถูก ความรักสำหรับผมคือความสุขที่เราจะได้รักสิ่งนั้น

ฉะนั้นถ้าเรามีความสุขที่จะได้ทำมัน ผมว่ามันคือความรักทั้งหมด ไม่ใช่ระหว่าง LGBTQ+ ด้วยกัน หรือระหว่างชายหญิง กระทั่งเรารักสัตว์เลี้ยงของเรา รักบ้านรักรถของเรา ผมว่านี่คือความรักหมดเลยนะ แล้วทำไมความรักของ LGBTQ+ จะไม่มีจริง ผมว่าความรักทุกชนิดมันจริงหมดแหละ ถ้าเรามีความสุขที่จะได้รักมันจริงๆ ส่วนจะจีรังไหม ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับเพศ

วันนี้เราอาจรักสิ่งนี้ แต่พอเราเติบโตได้เรียนรู้ ได้เจออะไรใหม่ๆ ความรู้สึกนี้ของเราอาจเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าการที่เราจะมาแบ่งแยกว่าคนเพศนี้มีความรักที่ไม่ยั่งยืนนั้นไม่จริง เพราะถ้ามองในมุมผมทีแรก ผมว่าความจริงคือความสุข ถ้าเรายังมีความสุขกับการที่ได้รักสิ่งนั้นอยู่ ทำไมมันจะไม่ยั่งยืนล่ะ

วินาทีนี้อะไรคือความสุขในชีวิตของ “บิวกิ้น”

ผมมีความสุขกับหลายอย่างเลย มีความสุขกับการได้ทำงานตรงนี้ มีความสุขกับการได้ทำเพลง มีความสุขกับการได้เรียน มีความสุขกับการชงกาแฟ มีความสุขกับการได้อยู่บ้านอยู่กับครอบครัว แต่หลักๆช่วงนี้ผมโฟกัสเรื่องงาน อยากเอาความรู้ในมุมของธุรกิจที่เรียนมาประยุกต์ใช้ ผมค่อนข้างจะหลงใหลกับเสน่ห์ของการทำธุรกิจมาก

หายากที่ศิลปินรุ่นใหม่จะมีหัวเรื่องธุรกิจและการลงทุน?

หลายอย่างที่ทำไม่ได้มองว่าอยากได้เงิน มันอยากสนุก อยากทำความคิดนี้หรือไอเดียนี้ให้เป็นจริงมากกว่า อยากสนุกมากกว่าในวันนี้ พอเราไม่ได้เป็นห่วงเรื่องอะไร ชีวิตเราไดรฟ์ด้วยแพสชั่น ถ้าเราทำอย่างเต็มที่ด้วยใจด้วยเซนส์ของเราจริงๆก็มั่นใจว่าอยู่รอดได้ ทำแล้วขาดทุนคงไม่ทำ แต่กำไรหรือเงินไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด กำไรมากกำไรน้อย รู้สึกว่าสนุก ได้ทำ ได้ท้าทายตัวเอง และได้มีประโยชน์ต่อคนอื่นๆด้วย ก็ถือว่าโอเคครับ บรรลุเป้าหมายเราแล้ว เวลาเราทำงานทำธุรกิจ กำไรอาจเป็นส่วนหนึ่งของ KPI แต่จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญกว่าคือการที่เราได้ลงไปทำด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นความภูมิใจ

ชีวิตเราได้เจออะไรใหม่ๆมากมาย ก็ทำให้มีแรงจูงใจที่อยากจะทำอะไรใหม่อยู่เรื่อยๆ สำหรับผมมองธุรกิจเป็นงานศิลปินของผมอันหนึ่ง สิ่งที่ผมจะลงไปทำ สิ่งที่ผมจะลงไปคิด สิ่งแรกคือเราต้องเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ว่ามันคือสิ่งที่ดีและมีประโยชน์จริงๆ และมันต้องเป็นตัวตนของเรา ในฐานะเจ้าของหรือคนที่จะลงไปพรีเซนต์สิ่งนี้ให้คนเชื่อ “Vision และ Mission” ต้องตรงกับความเป็นตัวตนของเราจริงๆ ช่วงโควิดระบาดหนักผมยังเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น เรียนดูกราฟเทคนิคบ้าง แต่เอาจริงๆเป็นนักลงทุน VI ที่เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นคุณค่าพื้นฐานดี ธุรกิจมีโอกาสเติบโตแต่ราคายังไม่แพง แต่มีบางครั้งที่อยากสนุก ก็เล่นเก็งกำไรหุ้นซิ่งบ้างแต่ไม่มาก

คนรุ่น “บิวกิ้น” ปรับตัวยังไงให้อยู่รอดในยุคที่โลกเต็มไปด้วยสถานการณ์ไม่แน่นอน

เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนถ่ายค่อนข้างเยอะ ถ้าเราตัดเรื่องโควิดออกไปก่อน ผมว่าเรื่องเทคโนโลยีที่มาในยุคนี้ก็ค่อนข้างส่งผลหนักอยู่แล้ว ทำให้การเป็นอยู่และการหางานอะไรต่างๆยากขึ้น การหาเงินและเศรษฐกิจก็ยากขึ้นไปอีก สิ่งสำคัญที่จะทำให้อยู่รอดได้สำหรับคนยุคนี้คือ “เราต้องพิเศษ” หมายความว่าถ้าเราเป็นคนธรรมดา ทำงานรูทีน เราก็อาจถูกเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ได้ แต่ถ้าเรามีพื้นฐานวิธีคิด หรือความชำนาญเฉพาะตัว ไม่สามารถให้ใครมาแทนเราได้ อย่างผมเป็นศิลปิน ใครก็ไม่สามารถมาแทนผมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องหาความพิเศษในตัวเราให้เจอ ถึงจะอยู่รอดได้ในยุคนี้ สำหรับผมเราต้องมองที่เป้าหมายว่าอยากจะได้อะไร ไม่ว่าวิธีไหนที่เราสามารถไปถึงเป้าหมายได้ เราต้องทำโดยที่มีข้อแม้ให้น้อยที่สุด

ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยๆยังมีอะไรท้าทายที่ต้องทำ

คนเราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา และการเรียนรู้ทุกครั้งจะกระทบต่อความคิดของเราตลอดเวลา ในหัวผมตอนนี้อยากทำหลายอย่างมาก ผมอินกับเรื่อง Sustainability การทำธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน อยากลงไปจับตรงนี้ เพราะเป็นเทรนด์ของโลกที่ต้องให้ความสำคัญ ผมอินกับเรื่องนี้คิดว่าเราอยากจะเปลี่ยนอะไรเยอะเลย ทุกวันนี้มันมีเพนพอยต์อะไร สิ่งที่ยากคือเราจะเปลี่ยนมันยังไง ก็ต้องมีวิธีนำเสนอ ทำให้คนเชื่อว่า มันสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริงๆ นอกจากนี้ ยังอยากกลับไปดูธุรกิจครอบครัว ที่ทำส่งออกประติมากรรมทองเหลือง อยากจะรีแบรนด์และเพิ่มมูลค่าเข้าไปในสินค้า ปรับรูปแบบธุรกิจให้ดีขึ้นและพัฒนาขึ้น

อีก 5-10 ปีข้างหน้า ทำเนียบเศรษฐีฟอร์บส์จะได้ต้อนรับ “บิวกิ้น” ไหม

เป้าหมายผมไม่ได้อยากรวยเป็นไพรออริตี้แรกครับ ผมรู้สึกว่าความสุขของคนเรามันก็เบี่ยงเบนตลอดเวลา วันหนึ่งเราอาจรู้สึกว่าเราจะต้องรวยที่สุด เราอาจจะรู้สึกว่าต้องดังที่สุด หรือเราอาจจะรู้สึกว่าต้องประสบความสำเร็จที่สุดในมุมนั้นมุมนี้ แต่จริงๆแล้วเราเติบโต เรียนรู้ และมองเห็นสิ่งต่างๆเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของผมเมื่อ 2-3 ปีก่อนกับตอนนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว ผมไม่รู้ว่าเมื่อผมโตขึ้นผมจะได้เจออะไรอีก และมันจะกระทบอะไรต่อทัศนคติของผม หรือทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นอะไรสิ่งสำคัญที่สุดคือการมีความสุขในชีวิตครับ.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

คุณกำลังดู: ชีวิตติดสปีดของ “บิวกิ้น-พุฒิพงศ์” เป็นอะไรก็ได้!! สำคัญสุดคือต้องมีความสุข

หมวดหมู่: ความบันเทิง

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด