รีวิวร้านตามกาล ประวัติศาสตร์ของอาหารไทย ที่ถูกดึงมานำเสนอได้อย่างตื่นตาตื่นใจ
รีวิวคอร์สอาหารไทยจากร้านตามกาล อาหารไทยในตำราโบราณที่ถูกนำมานำเสนอใหม่ในยุคปัจจุบัน
ถ้าหากพูดถึงอาหารประเภทไฟน์ไดนิง โดยปกติแล้วเรามักจะจะนึกถึงอาหารสไตล์ Western กันเป็นส่วนมาก หรือจะเป็นโอมากาเสะสไตล์ญี่ปุ่น แต่ในวันนี้ Sanook Travel จะขอพาคุณเปลี่ยนแนวเปิดประสบการณ์ใหม่กับคอร์สอาหารไทยแบบไฟน์ไดนิง จากร้าน Time Kaan Restaurant (ร้านตามกาล) ร้านอาหารไทยที่มีคอนเซปต์ให้การรวบรวมและดึงเอาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของอาหารไทยตั้งแต่ยุคโบราณมานำเสนอในรูปแบบใหม่ให้เกิดความน่าสนใจ และที่สำคัญคุณจะได้ลองชิมเมนูโบราณ วัตถุดิบเก่าแก่ ที่หาทานไม่ได้ทีไ่หนอีกด้วย บางเมนูมีอายุถึง 1,200 ปีเลยทีเดียว! ได้ยินแบบนี้แล้วเราก็ไม่รอช้าที่จะไปลองชิมคอร์สอาหารของที่นี่ด้วยตัวเอง
บรรยากาศของทางร้านตามกาลนั้น จะตกแต่งเป็น Glass House พร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ทรงคลาสสิค ให้บรรยากาศที่เรียบง่ายสบายๆ ละผ่านคลาย ในการมาทานอาหารและพักผ่อนในวันสบายๆ
โดยคอร์สเมนูของเราในวันนี้จะมีอาหารทั้งหมด 15 เมนู รวมทั้งอาหารคาวและของหวานในคอร์สนี้ด้วย ไปดูกันว่าในแต่ละเมนูนั้นจะมีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจบ้าง
1.คุ๊กกี้หน้าปัดนาฬิกา
เริ่มต้นด้วยขนมต้อนรับมื้ออาหารเป็นคุ๊กกี้ที่ใช้ธัญพืช ตีพิมพ์รูปหน้าปัดนาฬิกาเลขโบราณ ครีเอทมากๆ กรอบ หอม อร่อย
2.เปาหลิงโก๊ะ
เมนูเครื่องดื่มเปิดต่อมรับรส เครื่องดื่มนี้มีชื่อว่า "เปาหลิงโก๊ะ" น้ำหมักที่เป็นหนึ่งในกรรมวิธีการทำสุราในสมัยก่อนของดินแดนเขมร ทำจากข้าวเหนียวเขี้ยวงู พร้อมใส่พริกจินดาแดงลงไปด้วย มีรสชาติเปรี้ยวอมเผ็ดนิดๆ เปิดต่อมรับรสได้เป็นอย่างดี
3.เครื่องกรอบชาววัง
เมนูนี้ถูกค้นพบเมื่อ 150 ปีมาแล้วในยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นอาหารทานเล่นในสมัยนั้น ทางร้านเสิร์ฟหมี่กรอบมาพร้อมกับกรรเชียงปูชิ้นโต เนื้อปูหวานฉ่ำ ส่วนหมี่กรอบก็ราดมาด้วยซอสที่มีรสหวานเค็มและหอมน้ำซอสมากๆ ทานคู่กับเจลลี่ดอกดาหลาเข้ากันได้ดี
4.มัสยาส้มใบ
จานนี้เป็นลาบปลากะพงแดงที่เสิร์ฟมาแบบโบราณ คือตัวลาบปลาจะไม่ใส่น้ำมะนาวเลย แต่จะใช้ความเปรี้ยวจากใบชะมวงที่เสิร์ฟมาแทน เวลาทานให้ทานลาบกับใบชะมวงพร้อมกันจะได้รสชาติที่อร่อยพอดี เป็นการให้ความเปรี้ยวตามตำรับอาหารไทยในสมัยก่อนในยุคที่ยังไม่มีการใช้มะนาวนั่นเอง
5.ร้อนรสโอชเอม
ข้าวคลุกน้ำพริกสูตรโบราณ ที่ไม่ใช่คลุกน้ำพริกปลาย่างเช่นทั่วๆ ไป แต่เป็นข้าวคลุกน้ำพริกไทยอ่อนจากตำราของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เสิร์ฟมาพร้อมไก่ย่างตะนาวศรี เนื้อนุ่มหอมเครื่องเทศ ทานกับข้าวคลุกน้ำพริกไทยอ่อนที่มีรสชาติเผ็ดจัดจ้านแล้วอร่อยมากๆ
6.มัจฉาซ่อนรส
เมนูนี้ทางร้านเสิร์ฟงบเนื้อปลาบู่ ซึ่งเป็นอาหารที่รับแรงบันดาลใจจากชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานทางภาคใต้ของประเทศไทย ตัวเนื้อปลาบู่นั้นสดและอร่อยมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลองทานเนื้อปลาบู่ก็ประทับใจเลย ส่วนเครื่องแกงก็เข้มข้น แต่จะมีความเผ็ดไปนิดหนึ่ง หากใครไม่ชอบทานเผ็ดอาจจะต้องระวังหน่อยครับ
7.อัมพิละนางรม
ต่อกันที่จานหอยนางรม ที่ทางร้านเสิร์ฟหอยนางรมจากสุราษฎร์ธานีตัวใหญ่คับฝา ออนท็อปด้วยกรานิต้าส้มซ่าและขิง ตัดความคาวและดึงความหวานของตัวเนื้อหอยออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยม
8.เครื่องแกงแฝงพวงร้อย
ใครที่ชอบทานฉู่ฉี่จะต้องรักจานนี้แน่นอน โดยทางร้านใช้วัตถุดิบที่แปลกใหม่มาทำฉู่ฉี่ในจานนี้กับไข่ปลาช่อน ตัวไข่ปลาเนื้อแน่นๆ มันๆ ตัดกับรสชาติเผ็ดร้อนของเครื่องแกงฉู่ฉี่ได้แบบเพอร์เฟ็คเลยอร่อยมากๆ
9.กระยาหารส่งถวาย
เมนูซุปที่มีความซับซ้อนในหนึ่งถ้วยเป็นอย่างมาก ทางร้านใช้ไก่ดำและรังนกมาเป็นพื้นฐานในการทำซุป กลิ่นหอมนุ่มละมุน ซดคล่องคอ สดชื่น
10.เลิศรสลงสรง
มาถึงเมนูเมนูกุ้งแม่น้ำย่าง ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตคนไทยกับสายน้ำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบุัน และทีเด็ดของเมนูนี้ที่เรายกให้เป็นเดอะเบสท์เลยก็คือตัวซอสน้ำปลา ที่ทางร้านทำมาจากมะกอกและน้ำบูดู คือทานกับตัวเนื้อกุ้งแล้วอร่อยสุดๆ เลย อยากให้ทุกคนได้ลองครับเมนูนี้
11.หมากชื่นกลิ่น
คั่นกลางคอร์สก่อนจะเข้าสู่เมนูเนื้อที่เป็นเมนคอร์สในวันนี้ หมากชื่นกลิ่นคือกรานิต้ามะเม่า ผลไม้พื้นถิ่นจากภาคอีสาน ที่หาทานได้ยาก มาทำเป็นเกร็ดน้ำแข็งสดชื่น พร้อมกับแทรกใบมิ้นท์มาเพิ่มความสดชื่นให้กับเมนูนี้ด้วย
12.การะเกตุถือดาบ
มาถึงเมนคอร์สของเราในวันนี้กับเมนูการะเกตุถือดาบ ทางร้านจะเสิร์ฟมาเป็นสเต็กเนื้อแกะออสเตรเลีย ย่างมากับซอสขมิ้นสไตล์ไทย รวมถึงมีน้ำอาจาดสองสี ที่ทานคู่กับเนื้อแล้วอร่อยมาก ตัวเนื้อมีความนุ่มละมุน และไม่มีกลิ่นสาบมากนัก คนที่ไม่เคยทานแกะมาก่อนบอกเลยว่าทานได้แบบสบายๆ
13.ทวิรสสดชื่น
เข้าสู่ช่วงของหวานในคอร์สอาหารกันแล้ว เริ่มต้นด้วยเมนู ปลาแห้งแตงโม ที่ปกติแล้วจะถูกนำมาเสนอในรูปแบบอาหารคาว แต่ทางร้านได้ดัดแปลงทำให้เมนูกลายเป็นของหวาน โดยนำเนื้อแตงโมสีแดงและสีเหลืองไปบ่มกับไวน์จนมีรสชาติที่แตกต่าง ทานแล้วหวานฉ่ำมากๆ
14.หินฝนทอง
เมนูต่อมาจะเป็นขนมโบราณที่หาทานได้ยากมาก มีรูปทรงคล้ายๆ กับคุ๊กกี้แต่มีสีดำสนิท แปะทองคำเปลวด้านบนมองดูคล้ายวัตถุมงคลเลย แต่รสชาตินั้นต้องบอกเลยว่ามีความแปลกใหม่แบบที่อาจจะไม่เคยเจอทีไ่หนมาก่อนเลย ต้องมาลองที่นี่ครับ
15.สัมปันนีแคนเบอร์รี่
ปิดท้ายคอร์สเมนูในวันนี้ด้วยสัมปันนีแคนเบอร์รี่ หรือบิสกิตแคนเบอร์รี่นั่นเอง บิสกิตนี้จะมีรสเปรี้ยวหอม รสชาติแบบแคนเบอร์รี่ชัดเจน เป็นการล้างปากปิดท้ายคอร์สเมนูได้อย่างสมบูรณ์
โดยรวมแล้วคอร์สเมนูอาหารของทางร้านตามกาลนี้ ถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ ทางร้านมีความกล้าที่จะนำคอนเซปต์ของอาหารในประวัติศาสตร์มาประยุกต์และนำเสนอในรูปแบบใหม่ได้อย่างสร้างสรรค์ ทำให้ตลอดการทานอาหารนั้น เหมือนเราได้สนุกกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ทางร้านใส่มาในทุกจานไปด้วย ในส่วนของรสชาติก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดีในทุกจาน ไม่น่าเชื่อว่าการนำวัตถุดิบสมัยโบราณ ของหาทานยาก หรือบางวัตถุดิบที่แทบจะไม่มีคนใช้ จะนำออกมาทำคอร์สเมนูอาหารได้อร่อยขนาดนี้ ใครที่อยากจะลองคอร์สอาหารไทยดีๆ สักร้าน แนะนำร้านนี้ไม่ผิดหวังครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม
ที่ตั้ง : กินรี อเวนิว ซ.สุขุมวิท 8 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
พิกัด : https://goo.gl/maps/2nhq6gtM8w5o9uCN9
ติดต่อ : 08 2646 1664
Facebook : Time Kaan Restaurant ร้านตามกาล
เวลาเปิด - ปิด : 17.30-23.00 น.
อัลบั้มภาพ 31 ภาพ ของ รีวิวร้านตามกาล ประวัติศาสตร์ของอาหารไทย ที่ถูกดึงมานำเสนอได้อย่างตื่นตาตื่นใจ
คุณกำลังดู: รีวิวร้านตามกาล ประวัติศาสตร์ของอาหารไทย ที่ถูกดึงมานำเสนอได้อย่างตื่นตาตื่นใจ
หมวดหมู่: อาหาร - ร้านอาหาร