ทำไม “การมูฟออน” จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับบางคน

ทำไม “การมูฟออน” จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับบางคน

เมื่อความรักเดินทางมาจนถึงโค้งสุดท้าย สัญญาณแห่งการเลิกราจบลง เพราะมันเข้าสู่ช่วงสิ้นสุดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ความผิดหวังในความรักแทบทุกคนมีเหมือนกันหมด แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ความยากง่ายในการ move on เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างรวดเร็ว กลับไปยิ้ม หัวเราะ และมีความสุขได้อีกครั้ง ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนกลับตรงกันข้าม จมอยู่กับอดีต ยิ่งพยายามจะลืมก็ยิ่งจำ move on เป็นวงกลมอยู่หลายครั้ง ใช้เวลานานหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปี ๆ กว่าที่จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง

เพราะการเลิกรามันมีอะไรที่มากกว่าการสูญเสียใครสักคนที่มีสถานะเป็นคนพิเศษไป ด้วยคนคนเดียวกันนี้ถูกเชื่อมโยงกับความฝัน ความหวัง และแผนการอะไรหลาย ๆ อย่างที่เคยคิดเคยทำร่วมกัน รวมไปถึงความรู้สึกคุ้นเคย ที่ในวันนี้เราจะไม่ได้ทำเรื่องคุ้นเคยนั่นอีกต่อไป เพราะเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว มันจึงทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่าการก้าวข้ามความทุกข์ทรมานเป็นเรื่องยาก ยังลืมไม่ได้และเริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่ได้เสียที ทั้งที่ลบและลืมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขาไปแล้ว ก็ยังห่างไกลจากคำว่า move on แล้วแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่แล้วทำไม “การ move on” ถึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ สำหรับใครบางคนถึงขนาดนี้

1. เพราะยังไม่ยอมรับความจริง

จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก การยอมรับความจริงน่ะ เพราะมันฝืนสัญชาตญาณของมนุษย์ ธรรมชาติของคนเราเมื่อเจอเข้ากับเรื่องผิดหวัง เสียใจ เราจะมีขั้นตอนในการจัดการกับมันแบบค่อยเป็นค่อยไป และขั้นแรกสุดของการรับมือกับความผิดหวังหรือความเสียใจ ก็คือการปฏิเสธและหลีกหนีจากความจริง มันเป็นกระบวนการในการป้องกันตนเองเวลาเจอเข้ากับเรื่องผิดหวังแบบไม่ทันตั้งตัว เราจะปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยอมรับความจริง พยายามไม่รับรู้ (ทั้งที่จริง ๆ รู้อยู่เต็มอก) ตอบสนองด้วยการต่อต้านความจริง ด้วยความที่ยังรับมือไม่ไหว ยังไม่พร้อมจะแบกรับอะไร

ซึ่งการไม่ยอมรับความจริง ก็คือการหลอกตัวเองว่าความสัมพันธ์นี้ยังไม่จบลง ยังคงหวังว่าสักวันทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ยังมองหาวิธีที่จะกลับไปแก้ไขเรื่องทุกอย่าง ทั้งที่จริง ๆ มันจบไปตั้งนานแล้ว พ่วงมาด้วยความคิดฟุ้งซ่านที่ถามตัวเองวกไปวนมาว่า “ถ้าวันนั้นเราไม่ทำแบบนั้น สถานการณ์มันจะเปลี่ยนไปไหมนะ” หรือ “เรื่องในวันนั้นมันเป็นความผิดของใครกันนะ” ยิ่งพยายามคิดหาคำตอบ ความล้มเหลวก็ยิ่งพุ่งใส่ และผูกใจตัวเองเข้ากับอดีตแน่นกว่าเดิม และมีแนวโน้มว่าเราจะไม่ให้อภัยตัวเองในเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันก็เลยยิ่ง move on ยากกว่าเดิม

2. เพราะความคาดหวังที่ว่าความรักต้องเป็นดั่งเทพนิยาย

โลกของความเป็นจริงกับเทพนิยายมันแตกต่างกัน นิยายไม่ใช่ความจริง และความจริงมักจะโหดร้ายเสมอ ถ้าจะพูดให้ชัดเจนที่สุดก็คงต้องบอกว่านิยายหรือนิทายมันเป็น “เรื่องแต่ง” พล็อตความรักสวยงามมันเป็นไปตามที่คนแต่งกำหนด คนแต่งอาจเขียนเรื่องให้คนสองคนเจออุปสรรคมากมายในตอนแรก และจบแบบ happy ending ให้ประทับใจ แต่ชีวิตจริงคนเรามันไม่ได้ถูกพล็อตไว้แบบนั้น คนสองคนที่ต่างที่มาต้องมาปรับตัวกันหลายอย่างกว่าจะรักกันได้ และระหว่างทางก็ยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เราจะไปคาดหวังตอนจบล่วงหน้าไม่ได้

ความรักที่ประสบความสำเร็จ แค่ความรักมันไม่พอ เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็เป็นเหตุของการเลิกราได้หมด และการที่เราทุ่มเทก็ไม่อาจการันตีได้เช่นกันว่าเรื่องจะจบแบบ happy ending ความทุ่มเทของคนสองคนอาจจะไม่เท่ากันก็ได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันต้องใช้ความเข้าใจ การปรับตัว มีปัญหาอีกสารพัดที่ต้องแก้ไขและรับมือ ดังนั้น ความรักสวยงามแบบในเทพนิยาย จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งเมื่อความสัมพันธ์จบลง คนที่คาดหวังสูงมักมองไม่เห็นปัญหาที่แท้จริงว่าคืออะไร แต่จะสาละวนอยู่แค่ว่าทำไมมันถึงไม่เป็นในแบบที่คาดหวังไว้มากกว่า

3. เพราะยังตามส่องโซเชียลมีเดียของเขาไม่เลิก

ในเมื่อยังไม่ยอมรับความจริงว่าความรักครั้งนี้มันจบไปแล้ว และยังคาดหวังว่าสักวันเขาจะกลับมา มันเลยมีอาการแบบคนที่ตัดใครสักคนไม่ขาด (หรือยังไม่อยากตัด) ยังอยากรู้ความเป็นไปของเขา ยังอยากให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา ด้วยการรับรู้เรื่องเขา “แค่นิดเดียว” แค่ดูว่าสบายดีไหม แค่ดูว่าวันนี้ทำอะไรจะลงโพสต์หรือเปล่า แค่อยากรู้ว่ายังอาลัยอาวรณ์เหมือนกันบ้างไหม แค่อยากรู้ว่าแฟนใหม่เขาหน้าตาเป็นยังไง “แค่นิดเดียว” ไม่เคยมีอยู่จริงหรอก กับคนที่เรายังเก็บทุกความทรงจำของเขาเอาไว้ในใจ ไม่ยอมปล่อยเขาให้จากไปแบบตัวตนของเขา

การที่เราพยายามจะรับรู้ความเคลื่อนไหวในชีวิตของเขาคนนั้นตลอดทั้งที่ไม่มีสถานะอะไรที่ต้องทำแบบนั้น เขาไปที่ไหน ทำอะไร กับใคร รู้หมด เลิกกันไปแล้วแต่ไม่เลิกกดติดตามเขา (แล้วอ้างว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องเลิกติดตาม เพราะยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ใจจริงแค่รอมันเด้งแจ้งเตือน) หรืออาจโดนเขาบล็อกไปแล้วก็ยังจะยืมของเพื่อนไปคอยส่องเขาอีก จะเอาอะไรไป move on การที่เรายังคงตามดูคนรักเก่าเสมอ มันก็ทำให้เรายังวนเวียนอยู่กับเรื่องเก่า ๆ ความคิดความทรงจำเก่า ๆ ที่ทำให้เรายังจมกับความรู้สึกด้านลบ ก็ยากที่จะกลับมาใช้ชีวิตของตัวเองให้มีความสุข

4. เพราะเชื่อว่าคนคนนี้คือคนที่ดีที่สุด

คนจำนวนไม่น้อยยึดติดกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว และไม่ยอมรับความจริงด้วยว่าปัจจุบันไม่มีอะไรเหมือนเดิมสักอย่าง ก็อาจจะยังยึดติดอยู่กับความรักครั้งก่อน มีความเชื่อว่าคนที่เพิ่งเลิกรากันไปคือคนที่ดีที่สุด ซึ่งมันจะมาพร้อมกับชุดความคิดที่ว่า “เราจะไม่มีทางหาคนที่ดีกว่านี้ได้อีก” จึงยังรออย่างมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คนรักเก่ากลับมา แต่เดี๋ยวก่อน…จำนวนคนที่ผ่านไปผ่านมาในชีวิตของเรา มันยังไม่ได้เศษเสี้ยวของประชากรทั้งโลกเลยด้วยซ้ำ ทำไมถึงรีบตัดสินนักล่ะว่าคนนั้นดีที่สุด และจะไม่มีใครอื่นที่ดีกว่าคนคนนั้นอีกแล้ว

หรือบางทีมันก็อาจเป็นไปได้ว่าเราแค่รู้สึก “เสียดายเวลา” เพราะกว่าจะเกิดความสัมพันธ์ขึ้นมาได้ มันต้องใช้เวลาในการศึกษาดูใจ การใช้เวลาร่วมกันทำให้เกิดความผูกพัน ยิ่งเราเชื่อว่าเขาคนนั้นเติมเต็มชีวิตเราได้ดีที่สุดด้วยแล้ว เราจึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เสียดายที่เรื่องราวดี ๆ ทั้งหมดกับคนคนนี้ต้องจบลง จึงทำให้เราลืมรักครั้งนั้นไม่ได้ ด้วยความที่เราขาดความสมบูรณ์ที่เคยมีไป ชีวิตก็จะขาดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกต่อไป พอถึงวันหนึ่งที่มันจะต้องจบลง เราจึงทำใจยอมรับได้ยากว่าเสียคนดี ๆ คนนี้ไปแล้ว

5. เพราะเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกติดไว้กับอดีตคนรัก

สำหรับใครหลาย ๆ คน การเลิกรามันไม่ใช่แค่การต้องยุติวันเวลาที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้น มันไม่ใช่แค่การเสียคนคนนั้นไป แต่มันคือการสูญเสียความสมบูรณ์บางอย่างในชีวิต และยังสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปด้วย เพราะที่ผ่านมาเราเอาคุณค่าและความเป็นตัวเองไปผูกติดกับอดีตคนรัก เราอาจจะพึ่งพาเขามาตลอด และภาคภูมิใจกับภาพลักษณ์ในการเป็นคนรักของเขาที่เขาเคยทำนั่นทำนี่ให้ มันเลยกลายเป็นปัญหาเมื่อความสัมพันธ์จบลง เนื่องจากไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์เท่านั้นที่จบลง แต่ตัวตน หน้าตา และคุณค่าในตัวเองที่ผูกติดอยู่กับเขาก็จะหายไปด้วย

คุณค่าของตัวเราจึงไม่ควรที่จะนำไปผูกไว้กับคนอื่นตั้งแต่แรก พยายามอย่าพึ่งพาเขามากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ ร่างกาย ไปจนถึงจิตวิญญาณ แม้ว่าจะมีคนรักที่พึ่งพาได้ แล้วเขาก็รักเรามาก ดีกับเรามาก แต่เราต้องนับถือตัวเองให้เป็น และยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้ได้ ทำตัวให้เป็นอิสระเข้าไว้ เผื่อใจในวันที่เราต้องกลับมายืนด้วยตัวเองด้วย มิเช่นนั้นเราจะเผชิญกับสถานการณ์ “ขาดเขาไม่ได้ เหมือนขาดใจ รู้สึกไร้ค่า” หลังการเลิกรา บางคนจึงแทบจะทนอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะเคยมีความสุขแค่ในตอนที่ตัวเองเป็นที่ต้องการสำหรับใครเท่านั้น

6. เพราะพื้นฐานภายในใจไม่มั่นคงพอ

จริง ๆ แล้ว ความรู้สึกไม่มั่นคงในใจนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับการเลิกรา เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังสูญเสียสิ่งที่มีค่าและมีความหมายไป และก็สูญเสียการเป็นคนสำคัญของใครสักคนไปด้วย การที่ต้องสูญเสียคนสำคัญและการเป็นคนสำคัญไปในเวลาพร้อม ๆ กัน มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจยอมรับกันได้ง่าย ๆ และไม่ง่ายที่จะ move on ด้วย เพราะเราได้สร้างเกราะปกป้องตัวเองจากความผิดหวังและความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น ด้วยการไม่ยอมรับความจริงนั่นเอง

บางคนอาจเคยมีประสบการณ์ที่ไร้ค่าไร้ตัวตนมาก่อน เคยถูกปล่อยปละละเลย เมื่อมีใครสักคนที่มาเติมเต็มตรงส่วนนี้ให้ได้ ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวอีกต่อไป มันจึงกลายเป็นความสุขที่ไม่ต้องการจะสูญเสียมันไปอีกครั้ง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนหลายคนจึงยอมที่จะอดทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ไม่ยอมเลิกรา ก็ด้วยกลัวว่าถ้าเลิกกันไปจะต้องวนกลับไปมีชีวิตตามลำพังอีกครั้ง กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวเหงา กลัวความโดดเดี่ยว กลัวการอยู่คนเดียว ฉะนั้น เมื่อถึงคราวเลิกราจริง ๆ คนเหล่านี้จะไม่สามารถ move on ได้ เพราะไม่ชินที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียว

คุณกำลังดู: ทำไม “การมูฟออน” จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับบางคน

หมวดหมู่: ผู้หญิง

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด