"น้ำมะพร้าว" กับ "น้ำกะทิ" ต่างกันอย่างไร แบบไหนประโยชน์มากกว่า
น้ำมะพร้าว และ กะทิ เป็นของเหลวที่มาจากมะพร้าวทั้งคู่ แต่หลายคนยังสับสนและสงสัยว่าทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และอันไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน
น้ำมะพร้าว ต่างจาก น้ำกะทิอย่างไร
น้ำมะพร้าว คือน้ำใสๆ ที่อยู่ภายในลูกมะพร้าว ซึ่งเป็นแหล่งของน้ำตาลธรรมชาติ วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และโซเดียม ทำให้น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหายและให้พลังงานได้อย่างรวดเร็ว
กะทิ เกิดจากการนำเนื้อมะพร้าวมาคั้นกับน้ำ จึงมีเนื้อสัมผัสข้นและมีไขมันสูงกว่าน้ำมะพร้าว กะทิให้รสชาติหอมมันและมักถูกนำไปใช้ในการปรุงอาหารและขนมหวานต่างๆ
น้ำมะพร้าว กับ น้ำกะทิ แบบไหนประโยชน์มากกว่า
น้ำมะพร้าว มีประโยชน์หลากหลายด้านดังนี้
1. ดับกระหายและบำรุงร่างกาย:
- เติมเต็มพลังงาน: น้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายสดชื่นและมีพลัง
- ฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกาย: น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มกีฬาจากธรรมชาติ ช่วยทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไประหว่างออกกำลังกาย
- บรรเทาอาการขาดน้ำ: ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัว คลื่นไส้ หรือเวียนหัว น้ำมะพร้าวก็ช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว
2. ดูแลผิวพรรณให้สวยใส:
- เพิ่มความชุ่มชื้น: น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และเปล่งปลั่ง
- ลดเลือนริ้วรอย: คอลลาเจนและอิลาสตินในน้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวเต่งตึงและลดเลือนริ้วรอย
- ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมะพร้าวช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว
3. บำรุงสุขภาพภายใน:
- ช่วยระบบย่อยอาหาร: น้ำมะพร้าวช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยและกรดไหลย้อน
- บำรุงไต: ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
4. อื่นๆ:
- ช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- บรรเทาอาการเมาค้าง
กะทิ มีปริมาณแคลอรี่ค่อนข้างสูง โดยไขมันอิ่มตัวคิดเป็นสัดส่วนถึง 93% ของแคลอรี่ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCT) ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย กะทิสดที่คั้นเองใหม่ๆ จะมีวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วนกว่ากะทิสำเร็จรูปที่ผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน ทำให้สูญเสียคุณค่าทางอาหารไปบ้าง แม้กะทิสำเร็จรูปบางชนิดจะเสริมวิตามินเข้าไปก็ตาม การเลือกใช้กะทิสดจึงเป็นการรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติและได้คุณค่าทางอาหารสูงสุด
นอกจากนี้กรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCT) ในกะทิมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น เมื่อเรารับประทานกะทิ MCT จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและส่งตรงไปยังตับเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานทันที ทำให้ร่างกายไม่นำไขมันที่สะสมมาใช้เป็นพลังงาน ส่งผลให้ไขมันสะสมลดลง และช่วยในการลดน้ำหนักได้ในระยะยาว
ถึงแม้จะมีงานวิจัยบางส่วนที่ชี้ให้เห็นว่ากรดไขมันอิ่มตัวสายกลางในกะทิอาจมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักและเพิ่มอัตราการเผาผลาญ แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของกะทิในการลดน้ำหนักอย่างชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น
คุณกำลังดู: "น้ำมะพร้าว" กับ "น้ำกะทิ" ต่างกันอย่างไร แบบไหนประโยชน์มากกว่า
หมวดหมู่: ผู้หญิง