Paper Planes พา ‘ทรงอย่างแบด’ สู่ขวัญใจวัยรุ่นฟันน้ำนม วงร็อกผู้ปรับตัวเพื่อแฟนคลับ

Paper Planes พา 'ทรงอย่างแบด' สู่ขวัญใจวัยรุ่นฟันน้ำนม วงร็อกผู้ปรับตัวเพื่อแฟนคลับ ใครจะคาดคิดว่าวันหนึ่งเด็กๆ วัยอนุบาล (หรืออาจเด็กกว่านั้น) รวมทั้งประถม จะโก่งคอว้าก "แบดบอย" แล้วอินไปกับบทเพลง ท...

Paper Planes พา ‘ทรงอย่างแบด’ สู่ขวัญใจวัยรุ่นฟันน้ำนม วงร็อกผู้ปรับตัวเพื่อแฟนคลับ

Paper Planes พา ‘ทรงอย่างแบด’ สู่ขวัญใจวัยรุ่นฟันน้ำนม วงร็อกผู้ปรับตัวเพื่อแฟนคลับ

ใครจะคาดคิดว่าวันหนึ่งเด็กๆ วัยอนุบาล (หรืออาจเด็กกว่านั้น) รวมทั้งประถม จะโก่งคอว้าก “แบดบอย” แล้วอินไปกับบทเพลง ทรงอย่างแบด (Bad Boy) ของ 2 หนุ่ม Paper Planes (เปเปอร์เพลนส์)

กระทั่งวันเวลาพาความนิยมของ Paper Planes สูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่ “วัยรุ่นฟันน้ำนม” ขนานนาม ฮาย-ธันวา เกตุสุวรรณ (นักร้องนำ) และ เซน-นครินทร์ ขุนภักดี (เบส) ว่า “พี่ทรงอย่างแบด”

จนถึงวันนี้ (7 มกราคม) มิวสิกวิดีโอ “ทรงอย่างแบด” มียอดวิวสูงถึง 41 ล้านครั้ง ในเวลาเพียง 2 เดือน ทำให้ ฮาย และ เซน ร่วมเปิดใจผ่านสื่อมวลชนถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

กลายเป็นขวัญใจฟันน้ำนม รู้สึกยังไงบ้าง

ฮาย : รู้สึกตั้งตัวไม่ทันครับ อย่างที่บอกคือพวกเราเป็นวงร็อกที่คีพคูลมาตลอด มีความแข็งกระด้าง มีเพอร์ฟอร์แมนซ์ดุดัน แต่อยู่ดีๆ ชีวิตมันพลิกเปลี่ยน วันหนึ่งต้องมาเป็น “หัวหน้าแก๊ง” ค่อนข้างตั้งตัวไม่ทัน เพราะเราไม่ได้คิดว่าจะมาทางนี้ แต่สิ่งหนึ่งก็คือรู้สึกว่าสนุก ตื่นเต้น อิ่มเอมหัวใจจากการที่เราได้ไปเจออะไรหลายๆ อย่างในช่วงนี้

ครั้งแรกที่ได้ยินว่าเพลงนี้ (ทรงอย่างแบด) ไปอยู่ในใจของน้องๆ เด็กๆ รู้สึกยังไงบ้าง

ฮาย : ช่วงแรกเหมือนเด็กๆ เริ่มร้อง เรารู้สึกว่ามันน่าจะจำง่าย สักพักเริ่มมีคลิปแบบน้องๆ ร้องในสวนสัตว์ นู่นนั่นนี่

เซน : ตอนที่เห็นครั้งแรกคือตอนนั้นร้องกันได้ดังแล้วครับ เลยไม่รู้ว่ามันเริ่มจากจุดไหน

ฮาย : ใช่ๆ ไม่รู้ว่าอะไรคือจุดเริ่มต้น ตอนนั้นเราก็เหมือนตลกๆ กันว่าแบบ เอ้ย เด็กร้องได้ไง เพลงมันค่อนข้างแบบโหวกเหวกโวยวาย เลยคิดว่าไม่น่าจะเข้ากับเด็กๆ แต่กลายเป็นว่าเด็กๆ ชอบ

เห็นว่าเริ่มติดตามดูคลิปต่างๆ ที่น้องร้อง

ฮาย : ใช่ๆ ก็เริ่มๆ ดูจากคลิปนั้น แล้วก็เหมือนพวกเราชอบวิเคราะห์ด้วย ดูสนุกไปด้วย เราก็เหมือนกับวิเคราะห์ไปด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ เด็กๆ เขาไปชอบตรงไหน อะไรที่ทำให้มันเข้าไปอยู่ในใจเขา

สรุปแล้วทราบไหมว่ามันเกิดจากอะไร

ฮาย : ได้มาบ้าง แต่อย่างที่บอกว่าพวกผมทำงานเบื้องหลังกันมานาน สิ่งที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างแปลก เราเลยรู้สึกว่าการวิเคราะห์ไม่รู้ว่ามันตรงจริงๆ หรือเปล่า แต่พอมานั่งวิเคราะห์จริงๆ มันเป็นเรื่องเมโลดี้ครับ เมโลดี้ส่วนหนึ่งมันเป็นเมโลดี้ง่ายๆ ย้ำอยู่สองสามเมโลดี้

เซน : เหมือนเป็นเพลงของพวกเด็กที่แบบกล่อมนอน เพลงที่ใช้โน้ตง่ายๆ ครับ

ตอนแรกที่ทำเมโลดี้อย่างนี้คิดไหมว่าจะเป็นเพลงที่เด็กชอบ

ฮาย : เราคิดว่ามันไหลลื่นครับ ณ ตอนนั้น เราคิดแค่ว่าเรามีประโยคนี้มาจะใช้จังหวะประมาณไหน เราคิดในเวย์ของคนทำเพลง

เซน : คิดแค่ว่าคำนี้มันเป็นวลีที่ติดหู ให้คนฟังติดหูเฉยๆ แต่เราไม่ได้คิดถึงว่ามันเป็นโน้ตที่เด็กจะจำได้

ฮาย : เอาอย่างนี้ดีกว่า ไม่ได้คิดถึงหน้าเด็กๆ เลย อันนี้พี่ขอโทษน้องๆ นะ (หัวเราะ) แต่พอเรานั่งวิเคราะห์กันจริงๆ หนึ่งคือจังหวะมันง่าย เป็นจังหวะตกหมดเลยที่ใครๆ ก็ร้องได้ แล้วก็โน้ตคล้ายๆ กับพวกเพลงกล่อมเด็ก มีจังหวะให้แอบดื้อได้บ้าง แล้วก็เนื้อหา พยัญชนะนู่นนั่นนี่

ตอนนี้ก็เป็นเพลงชาติของเด็กน้อยเลย

ฮาย : ก็ขอบคุณมากๆ เลยครับ แอบรู้สึกว่ามันก็ดีต่อคนทำเพลง เหมือนกับว่ามีคนชอบเยอะ แค่เหมือนกับว่าเปลี่ยนกลุ่มทาร์เก็ตเฉยๆ

ก่อนหน้านี้เป็นทาร์เก็ตกลุ่มไหน

ฮาย : จริงๆ เราไม่ได้ตั้งขนาดนั้น แต่ว่าเรารู้ว่าผู้ชมของเราอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ เป็นช่วงวัยรุ่น มัธยม มัธยมปลายๆ ไปจนถึงมหาวิทยาลัย คือเราก็จะรู้ตามงานของเรา แต่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นกับเด็กที่เพิ่งเกิด หรือว่าเด็กสามขวบเพิ่งอนุบาล (ยิ้ม) อะไรแบบนี้ เราไม่คิดตรงนั้นเลย เราไม่แน่ใจว่าเด็กๆ ในยุคนี้เขาฟังเพลงแบบไหนกันแล้ว และเขาชอบเพลงแบบไหนกัน เราไม่ได้ไปคิดถึงตรงนั้น

พอเพลงดังแล้วเคยไปถามน้องๆ ไหมว่าทำไมถึงชอบ

เซน : เคยครับ เคยถาม แต่พอคุยแล้วไม่รู้เรื่อง

ฮาย : เคยถามแล้วก็อ๊า (เสียงร้อง) คือไม่ได้ถามแบบจริงจังเพราะน้องๆ เขาก็จะมีความรู้สึกแบบน่ารักๆ เต็มที่ก็จะมีเข้ามากอดเข้ามาอะไรเรา เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าจะไปถามเด็กว่าน้องทำไมถึงชอบเมโลดี้ชุดนี้มันก็แปลกๆ ใช่ไหมครับ (หัวเราะ) ก็เลยให้เป็นความรู้สึกธรรมชาติไป

เรื่องงานจ้างจะมีสถานที่แปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาบ้างไหม เกี่ยวกับเด็ก

ฮาย : วันเด็กมีงานครับ (หัวเราะ) จริงๆ ณ ตอนนี้ พี่ผู้จัดการเพิ่งอัพเดต ล่าสุดก็มีคุณครู หมอฟัน

เซน : จริงๆ มีพวกโรงเรียนหลังไมค์มาบ้างครับ อยากให้ไปเล่นตามอีเวนต์ของวันเด็กอะไรงี้

เห็นอีเวนต์หนึ่งมีน้องขึ้นไปนั่งหน้าเวที ตอนที่ไปโชว์แล้วเห็นคนที่มาดูเราเป็นเด็กน้อยรู้สึกยังไง

ฮาย : คือมันค่อยๆ เริ่มมาตอนช่วงนี้ครับ มันจะเริ่มมีกระแสหลังๆ เพราะสถานที่ที่เราไปเล่นใกล้เคียงกับแบบเดิม แต่เหมือนพ่อแม่เริ่มอยากพาเด็กมา ถ้าเกิดตรงไหนเป็นบาร์เขาก็จะพาเด็กมา เราก็เริ่มละว่าชีวิตมันเปลี่ยนไป ปกติจะมีแบบ “พี่ขอถ่ายรูปหน่อย” แต่ตอนนี้จะเข้ามาโอบเรา มากอดเรา เราก็แบบมันเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว สักพักหนึ่งหน้าเวทีเริ่มมีเด็ก เป็นกลุ่มแบบสมัยเด็กที่เราไปดูลิเกเลยอะไรอย่างนี้

เซน : งานนั้นเหมือนเขาตั้งแท่นให้เด็กยืนเลยครับ ผมเห็นป้ายก่อนเล่นว่า “อายุมากกว่า 12 ปีห้ามเข้า”

ฮาย : แปลกนะ ผมเล่นดนตรีมาก็ไม่เคยเจอแบบนี้ เราก็เลยกลายเป็นว่าโอเค มันเปลี่ยนไป แต่มันเป็นไปในเวย์ที่มีความสุขมากขึ้น

ต้องเปลี่ยนรูปแบบการโชว์ไหม

ฮาย : สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผมต้องจับมือเด็กบ่อยขึ้น เพราะว่าเดี๋ยวหลับก่อน เพราะมัน 4-5 ทุ่มแล้วครับ เด็กพวกนี้คือใกล้แล้ว ถ้าเราไม่จับมือน้องไว้หน่อย ดูเหมือนปลุกเขาตลอดเวลา เขาจะได้รู้สึกว่ายังตื่นอยู่ พอจบโชว์จะได้ดื่มนมแปรงฟันเลย อะไรอย่างนี้

ที่บอกให้แปรงฟันด้วยมันมีที่มายังไง

ฮาย : จริงๆ มันไม่มีที่มาเลยครับ เหมือนกับว่าเราจะพูดกับเด็ก เลยพยายามหาเรื่องที่รีเลตกับเด็ก ผมรู้สึกว่าเด็กน่าจะนอนดึกแล้วไม่ค่อยแปรงฟันกันแน่เลย น่าจะหลอกพ่อแม่ ผมเลยคิดว่าคุยกับเขาประมาณว่าถ้าเกิดจบคอนเสิร์ตแล้วอย่าลืมนะ อย่าลืมแปรงฟันกันนะ เหมือนพูดกันแบบปกติ เหมือนที่เราคุยกับเด็กอะไรแบบนี้ครับ แต่เหมือนมีแฟนเพลงถ่ายไว้แล้วเอาไปลง TikTok พอดี มันเลยเหมือนเป็นวลีฮิต

เวลาไปทัวร์ไปเล่นคอนเสิร์ตต้องหาเรื่องราวไปคุยกับเด็กไหม

ฮาย : ใช่ครับ อย่างล่าสุดตอนผมคุยกับแฟนเพลงที่เป็นโตๆ หน่อย ระหว่างนั้นเซนก็เป่ายิงฉุบกับเด็กไปด้วย ช่วยกัน เหมือนถ้าผมอยู่กับเด็ก เซนก็อาจจะอยู่กับผู้ใหญ่หน่อย อะไรอย่างนี้ครับ สลับกันไป มันเป็นวิธีการแฮนเดิลที่มากขึ้น แต่ก็สนุกขึ้น

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ไว้หน้าเพจเปเปอร์เพลนส์

เห็นมีผู้ปกครอบมาถามว่ารับงานเช้าบ้างไหม

ฮาย : ใช่ (หัวเราะ) เหมือนเขาคงอยากพาเด็กไปดู

เซน : โดยปกติงานมันเป็นพวกในผับกลางคืน เด็กอาจจะเข้าไม่ได้

ฮาย : โดยส่วนใหญ่พวกเราเล่น 4-5 ทุ่ม บางสถานที่เป็นผับ เด็กๆ อาจจะเข้าไม่ได้ เขาเลยคิดว่าจะทำยังไงถึงจะให้ลูกเข้ามาดูได้ แต่พี่ๆ ยังไม่ตื่นกันเลย เพราะว่าเล่นดึก (หัวเราะ)

ต่อไปแนวเพลงจะเปลี่ยนไหม จะว้ากเหมือนเดิมไหม

ฮาย : เราไม่ได้คิดถึงเรื่องเปลี่ยน แต่น่าจะไม่เปลี่ยน เพราะสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือการเป็นตัวตนเราในวันนี้

เซน : แล้วเด็กที่เขาชอบ เขาชอบในเพลงที่เป็นตัวตนเราจริงๆ

ฮาย : ใช่ครับ ผมเลยรู้สึกว่าเราอาจจะไม่ได้เปลี่ยนขนาดนั้น แต่อาจจะเป็นแง่การเล่นสดเฉยๆ อาจจะมีสัมพันธ์ร่วมกับเด็กมากขึ้น ปฏิสัมพันธ์มากขึ้น ผมคิดว่าเพลงเรายังคงเหมือนเดิม ดีที่เราเขียนเพลงไม่ค่อยมีคำหยาบ โดยปกติอยู่แล้ว ผมก็กลับมาเช็กนะว่ามันมีคำสบถเล็กๆ บ้างไหม จริงๆ ก็ไม่มีเลย เลยเป็นความโชคดีไป ผมคิดว่าในอัลบั้มคงจะพยายามทำเพลงที่มันไม่มีคำหยาบให้ได้มากที่สุด ผมมองว่าเด็กโตขึ้นก็คงต้องพูดคำหยาบแหละ แต่ผมมองว่าในวัยที่เขายังไม่สามารถแยกแยะได้ หรืออะไรได้ ถ้าเราเป็นส่วนเล็กๆ ได้ผมว่ามันน่าจะดี ผมเลยจะปรับแค่เรื่องการเขียนเฉยๆ และระวังเรื่องคำหยาบเล็กๆ น้อยๆ

ทั้งสองคนรักเด็กไหม

ฮาย : จริงๆ ผมรักเด็กมากเลยนะ เซนกับผมค่อนข้างเลย เวลาเด็กมาแล้วผมชอบกอด ชอบลูบหัว ชอบอุ้มครับ

เซน : ล่าสุดเด็กเดินมาหาผมและมากอดขา เขามาสองคนครับ น้องอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้กอดชี้มาที่ผมและบอกนี่พ่อเธอใช่ไหม

เซนอธิบายว่า เด็กคนหนึ่งชี้มาที่ตัวเองแล้วบอกว่า “นี่พ่อเธอใช่ไหม”

มีของขวัญแปลกๆ จากเด็กบ้างไหม

ฮาย : ล่าสุดมีเป็นทิป พ่อแม่ยื่นทิปให้ เวลาน้องๆ ให้เขาก็ให้ด้วยความรู้สึกของเขา คือให้ทีเดียวหมดเลย พ่อแม่ก็อุตส่าห์เตรียมไว้เป็นปึกๆ แต่ยังไม่มีของขวัญแปลกๆ ขนาดนั้น แต่มีช็อตหนึ่งที่ผมตราตรึงใจอยู่ คือโดยปกติเวลาผมไปเล่น ผมเจอคนเมา คนเมาจะชอบล็อกคอแล้วถ่ายรูปลงสตอรี่ไอจี แบบรุนแรงนิดหนึ่ง แต่ว่าเข้าใจได้ แต่รอบล่าสุดผมเจอเด็ก น่าจะประมาณ 2-3 ขวบ พ่อแม่อุ้มมา พอพ่อเด็กนับสาม สอง หนึ่ง เด็กดึงคอผม ผมแบบนี่คือเด็ก 2-3 ขวบเหรอ คือถ้าเกิดวันนั้นถ่ายคลิปไว้ได้จะตลกมากๆ เลยครับ เด็กผู้หญิงนะครับ

ด้วยลุคเราแบบนี้ เด็กตกใจหรืออะไรไหม เช่น เห็นรอยสัก

ฮาย : เขาเขินครับ โดยส่วนใหญ่จะเขิน ถ้าเกิดคนที่ชอบมากๆ จะร้องไห้เลย มากอดเรา เด็กบางคนก็คือ “ผมรักพี่มากเลยครับ” กลายเป็นว่าเราก็รู้สึกแก่ขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ประมาณนั้นน่ะครับ มีหลายๆ แบบ มีแบบเขินไปเลย ไม่แสดงออกทางสีหน้า

แสดงว่าลุคที่เราเป็นไม่ได้ทำให้เด็กรู้สึกกลัว

ฮาย : ผมว่าเด็กที่เขาโตมาในเจนนี้ มันคือลุค หรืออะไรแบบผมมันน่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา เขาไม่ได้ทรีตเราว่าคนสักน่ากลัว แต่เหมือนกับว่ามันเป็นอะไรก็ตามที่เป็นธรรมชาติ เขาเคยชิน เขาไม่น่าจะรู้สึกว่ามันแตกต่าง เลยเหมือนกับว่าแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แบบเขารักเรา ไม่ว่าจะด้วยผลงานหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับเพลงของเรา

กลายเป็นต้นแบบของเด็กไปแล้ว ยากไหมกับการวางตัว

ฮาย : สำหรับผมก็มีคิดเรื่องนี้ คือผมอยู่ในวัยที่แยกแยะได้แล้ว บางเรื่องมันก็ไม่ได้ดีมาก บางเรื่องมันก็มีดีบ้าง แต่ผมก็รู้สึกว่าอาจจะวางตัวให้สุ่มเสี่ยงน้อยลง เพราะเวลาเราอยู่ตรงกลาง ผมคิดว่าบางเรื่องเด็กๆ ยังไม่สามารถวิเคราะห์หรือแยกแยะเองได้ อย่างที่บอกคือถ้าเกิดสมมุติว่าเรื่องไหนที่มันสุ่มเสี่ยงต่อการที่เด็กจะตีความไปในทางที่ไม่ดีได้ผมอาจจะเลี่ยง แต่เราไม่ได้จะเลิกทำนะ เช่น การดื่มกาแฟ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ หรือการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา การใช้บุหรี่ หรืออะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าโอเค มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้ใหญ่ที่โตแล้ว จะดีกว่าไหมถ้าเรายังทำอยู่ แต่ไม่ได้ทำให้เด็กเห็น มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเลย แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรให้เด็กตัดสินในตอนนี้ เพราะว่าเด็กที่อินในตัวเราเพราะเขาอาจไม่ได้คิดว่าพี่เขาโตแล้วเขาเลยดื่มเหล้าได้ เขาอาจจะคิดว่าพี่เขาก็ทำ เราก็อยากทำบ้าง ผมเลยรู้สึกว่าเราอาจจะวางตัวให้เซฟมากขึ้น เพื่อให้ถึงวัยที่น้องสามารถตัดสินใจได้เอง ผมว่าวันหนึ่งเขาอาจจะไปตัดสินใจของเขาได้เอง อาจจะไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้

เด็กยื่นทิปให้

ผู้ปกครองมีฟีดแบ๊กยังบ้าง

ฮาย : ยังไม่เชิงกับวิจารณ์ หรืออะไรขนาดนั้น แต่มันเป็นฟีลแบบพูดตั้งนานนะ ไม่ยอมแปรงฟันเลย พี่ฮายมาพูดรอบเดียวแปรงฟันเลย หรือทันตแพทย์บอกว่ารณรงค์มาตั้งนาน เขาก็ขอบคุณที่ออกมาพูดเรื่องนี้ แต่เราก็พูดด้วยความตลกๆ ของเรา แต่ว่าก็ดีครับที่ให้น้องๆ ได้แปรงฟันก่อนนอน มันก็เป็นเรื่องที่ดี

เคยเจอแฟนเพลงเด็กสุดเท่าไหร่

ฮาย : เดาว่าน่าจะสักประมาณ 2 ขวบ ยังอุ้มอยู่เลย มีจังหวะหนึ่งที่ร้องเรื่อยๆ แล้วผมหันไปเจอแม่เขากำลังป้อนนมอยู่ พกขวดนมมาด้วยนะ ผมก็แบบมันขนาดนี้แล้วเหรอ จริงๆ อยากฝากไว้นิดหนึ่งครับ ถ้าพาเด็กมาอาจจะหาเฮดโฟนที่เซฟหูของเขา จะได้ดูคอนเสิร์ตไปด้วยกันได้

กดดันสำหรับผลงานเพลงต่อไปไหม เพราะเพลงนี้น้องๆ ชอบมาก

ฮาย : เราอาจจะไม่เปลี่ยนไดเร็กชั่นมาก อย่างที่บอกคือน้องๆ ชอบในตัวเรา ผมแค่รู้สึกว่าจะระวังเรื่องคำหยาบ หรืออะไรที่มันไม่จำเป็น อย่างเราเขียนเพลงก็ไม่ได้เขียนคำหยาบมากมายอยู่แล้ว เราอาจระวังให้มากขึ้น และเรื่องของวิธีคิดผมว่าสำคัญมาก เวลาเด็กฟังเพลงของเราถ้าเกิดเราให้วิธีคิดที่ไม่ดีไป ผมคิดว่ามันจะแอบฝังเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี ผมคิดว่ามีโอกาสอาจจะทำเพลงเพิ่มที่มันมีประโยชน์ให้กับเด็กๆ ได้มากขึ้น ฝากอะไรให้กับเด็กรุ่นนี้ได้มากขึ้น เผื่อในอนาคตอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาไปเป็นในสิ่งที่เขาชอบ หรือเป็นคนที่มีวิธีคิดดีขึ้น

มีน้องๆ มาพูดว่าผมอยากเป็นนักร้องแบบพี่มีไหม

ฮาย : ผมเริ่มสังเกตเล็กๆ ว่าเหมือนกับเขาเริ่มแต่งตัวให้มีความคล้ายเรา มีการเอาชุดนั้นมาใส่ มีการทำเสื้อใส่แบบเป็นเลเยอร์ ใส่รองเท้ายี่ห้อเดียวกับเรา คุณพ่อคุณแม่น่าจะซัพพอร์ต ผมคิดว่าสุดท้ายแล้วต่อให้เขาอยากเป็นนักร้องแบบเราหรือไม่ก็ตาม แต่ในช่วงเวลานี้ผมว่าจะเก็บเกี่ยวโมเมนต์ดีๆ ไว้ ถ้าเกิดว่ามันมีบางอย่างที่คืนกลับไปให้น้องได้ในเรื่องของวิธีคิด พวกเราก็คิดว่าจะพยายามทำตรงนี้

แต่ก็แปลกเพราะนักร้องพร้อมจะปรับตัวเพื่อแฟนคลับ ปกติจะมีแต่แฟนคลับต้องปรับตัว

ฮาย : ผมรู้สึกว่าพอมันมีเด็ก ในโลกของผมที่มันเป็นโลกสีเทาๆ พอมันมีความสดใสเข้ามา มันเลยสะท้อนให้เราเห็นว่าการที่รับอะไรเข้ามาแบบนี้ทำให้เราดีขึ้นในบางมุม ดีเหมือนกันนะ ผมรู้สึกว่าเราไม่ได้ต้องการเป็นคนที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่บางมุมเราก็ต้องการพลังสะอาดๆ เข้ามาในชีวิต

เซน : การที่น้องๆ เข้ามามันเป็นพลังที่บริสุทธิ์มาก มันคือความชอบที่ชอบจริงๆ มันจะมีท่าประจำของเอ็มวีเรา เวลาน้องเขาเขินและนิ่งอยู่ แต่ถ้าเราเดินออกไปน้องเขาก็ทำ

วันเด็กฝากอะไรถึงน้องๆ หน่อย

ฮาย : อยากให้น้องๆ ใช้ชีวิตช่วงนี้ให้มีความสุขที่สุด รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองในตอนนี้ให้ดี เช่น แปรงฟัน กินอาหารให้ดี นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หาสิ่งที่ตัวเองชอบทำ และอย่างที่บอกคือใช้ชีวิตให้มีความสุข ยังไม่ต้องรีบค้นหาตัวเอง เพราะเราพูดถึงหลายๆ ช่วงวัย สำหรับคนที่เจอตัวเองแล้วก็สนุกกับมัน ทำด้วยความจริงใจไปเรื่อยๆ สำหรับคนที่ยังไม่ได้เจอสิ่งที่ตัวเองชอบก็ไม่ต้องกดดันตัวเอง ใช้เวลากับมัน ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด เพราะมันเป็นช่วงวัยที่เหมือนกับความรับผิดชอบมันยังไม่ได้เยอะมาก การเก็บเกี่ยวอะไรในช่วงนี้ก็ใช้ชีวิตและเก็บช่วงนี้ไปให้มากๆ น่าจะดี ในวันที่เราโตขึ้นเราอาจจะไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานี้อีกแล้ว เหมือนพวกเราที่โตขึ้นแล้วก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง

คำขวัญวันเด็กของวง

ฮาย : สร้างสรรค์ความคิด ผูกมิตรซื่อตรง ก้าวอย่างมั่นคง ฟังทรงอย่างแบด คิดแบบค่อนข้างเร็ว เหมือนเขาขอมานานแล้ว เราก็คิดไม่ออก พอมันเป็นการคิดคำขวัญเหมือนกับพอมันถึงเด็กๆ แน่นอน เด็กๆ รับมันเข้าไปแล้วผมเลยรู้สึกว่าต้องละเมียดละไมกับมันหน่อย

ผมรู้สึกว่า สร้างสรรค์ความคิด ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนที่รู้สึกว่าคนที่มีความคิดสร้างสรรค์จะสามารถเอาตัวรอดในสังคมได้ เขาเรียกว่าดิ้นรนและสามารถพลิกแพลงได้เสมอ ทำให้เรามีอารมณ์ที่ดีเสมอ และยิ่งเราทำงานในงานอาร์ตด้วย ผมคิดว่าการมีความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งจำเป็น

ผูกมิตรซื่อตรง คือพยายามคบมิตรที่มีความซื่อตรง หรือเราเองก็ต้องซื่อตรงกับเขา การที่เราจะใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้ไม่ได้มีแค่การอยู่คนเดียว เราอาจจะต้องมีเพื่อนพ้อง คอนเน็กชั่นในการสนับสนุน เลยคิดว่าการคบมิตรไว้อาจจะไม่ต้องเยอะ แค่มีมิตรที่เป็นมิตรและซื่อตรงมันก็จะดีกับเรา

ก้าวอย่างมั่นคง ผมรู้สึกว่าการก้าวอย่างรวดเร็วจริงๆ มันดี ตื่นเต้น สนุกสนาน แต่สุดท้ายแล้ววันหนึ่งเราต้องการก้าวไปอย่างมั่นคง คือค่อยๆ ก้าวไป หรืออาจจะวางแผนเตรียมทุกอย่างให้มันดีในอนาคต เพื่อที่จะรู้สึกว่าไม่ต้องไปเร็วเท่ากับคนอื่นก็ได้ ไม่ต้องอยู่ในมาตรฐานของคนอื่น แต่เราต้องก้าวอย่างมั่นคงในแบบของเรา

และ ฟังทรงอย่างแบด ผมพยายามด้นกลับมาที่เพลงของตัวเอง เพราะผมจะฝากเพลงของตัวเอง แต่ผมรู้สึกว่าพอมันป็นความไม่จริงจัง นั่นหมายความว่าชีวิตเรามันต้องอยู่ในความสนุก ไม่ว่าทั้งหมดทั้งมวลมันจะเป็นความซีเรียสขนาดไหน กลับมาแล้วมันจะต้องอยู่ในความสนุก เราจะต้องสนุกกับชีวิต เพราะว่าเรามีชีวิตแค่ครั้งเดียว เราไม่รู้ว่าต่อไปจะได้มีชีวิตในชาติหน้าอีกไหม ก็คือใช้ชีวิตให้มีความสุขมากที่สุดครับ

คุณกำลังดู: Paper Planes พา ‘ทรงอย่างแบด’ สู่ขวัญใจวัยรุ่นฟันน้ำนม วงร็อกผู้ปรับตัวเพื่อแฟนคลับ

หมวดหมู่: ความบันเทิง

แชร์ข่าว

โพสต์ล่าสุด