4 สัญญาณอันตรายที่เสี่ยง "หัวใจวายเฉียบพลัน"
แม้ว่าโรคมะเร็ง เบาหวาน ตับ ไต จะน่ากลัวมากก็จริง แต่ถ้าเทียบกับโรค “หัวใจวายเฉียบพลัน” แล้ว ที่เทียบกันไม่ติดเลยคือ ระยะเวลาที่แสดงอาการของโรค เพราะส่วนใหญ่คนมักไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคหัวใจอยู่ เลยไม่ทราบว่ากำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ดังนั้นจึงไม่มีการเตรียมตัวอะไรทั้งสิ้น และมีเวลาแค่ไม่กี่นาทีก่อนถึงมือหมอ ทำให้โอกาสรอดชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลันมีน้อยมากเหลือเกิน
ดังนั้น Sanook Health ขอแนะนำวิธีสังเกตง่ายๆ ว่าตัวคุณเอง หรือคนรอบข้างของคุณกำลังอยู่ในภาวะหัวใจวายเฉียบพลันหรือไม่ เพราะไม่ว่าคุณ หรือใครก็ตาม มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ทั้งนั้น
หลักการจำง่ายๆ นึกถึงคำว่า F A S T เข้าไว้
F = Face
มุมปากข้างใดข้างหนึ่งตกลงมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่สามารถบังคับให้มุมปากกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
A = Arms
ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้พร้อมกันทั้งสองข้าง หรือไม่สามารถยกแขนข้างใดข้างหนึ่งได้
S = Speech
วิธีการพูด การออกเสียงเปลี่ยนไป จู่ๆ ก็เริ่มพูดไม่ขัด พูดจายานคราง ไม่คล่องปาก ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
T = Tongue
ลิ้นพันกัน ลิ้นคับปาก ลิ้นอาจจจะพลิก หรือบิด โดยที่ร่างกายไม่สามารถบังคับทิศทางของลิ้นได้เอง
พฤติกรรมแบบไหนที่เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันได้
- อ้วน : บางครั้ง
การปล่อยให้ตัวเองมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐาน หรือจะเรียกให้เข้าใจว่า
อ้วน นั้นแหละ
ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ
และเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการทำงานของหัวใจ มีสารพัดโรค ไม่ว่าจะเป็น
โรคความดันโลหิตสูง , ไขมันในเลือดสูง , โรคเบาหวาน , โรคหัวใจ
เป็นต้น มีสาเหตุมาจากการมีไขมันในเลือดสูง
ส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตติดขัด
จนกระทั่งหัวใจขาดเลือดและเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
- รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง : อาหารจำพวก
เบเกอรี่ เค้ก เนื้อสัตว์ติดมัน ชีส อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารสำเร็จรูป
หรืออาหารจำพวกปิ้งย่างทำให้เกิดการสะสมของไขมันในเลือดสูง
เรียกว่า คอเลสเตอรอล
ซึ่งเจ้าไขมันชนิดนี้หากมีการสะสมมากก็จะไปอุดตันอยู่ในหลอดเลือดหัวใจ
จนทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากจนเกินไป :
หากร่างกายได้รับคาเฟอีนในจำนวนที่มากจนเกินไป
อาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลของสารเกลือแร่
เสี่ยงต่อการเกิดอาการชักเกร็ง , หลังแอ่น , ปอดแฟบ ,
ความดันโลหิตพุ่งสูงอย่างเฉียบพลัน ทำให้หัวใจถูกบีบรัดมากเกินไป
อาจส่งผลให้เกิดภาวะหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวจนถึงแก่ชีวิตได้
เพิ่มเติม ปริมาณคาเฟอีนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายจะอยู่ที่ราว 100
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 5,000 - 10,000
มิลลิกรัมในผู้ใหญ่
แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ความสามารถในการขับคาเฟอีนจากร่างกายของแต่ละคนด้วย
- ขาดการออกกำลังกาย : เมื่อไม่ออกกำลังกาย
ก็จะเป็นที่มาของความอ้วน ซึ่งพออ้วนก็จะเสี่ยงต่อโรคไขมันในเลือดสูง
โรคความดันโลหิต และโรคเรื้อรังอื่นๆ อีกมาก หากไม่ออกกำลังกายเลย
การทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตก็อาจไม่คล่องตัว
เกิดเป็นตะกรันไขมันขึ้นมาเกาะตามผนังหลอดเลือด
ส่งผลให้เลือดเดินทางไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ไม่ดี
ซ้ำร้ายกว่านั้น อาจเกิดภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด
ทำให้หัวใจขาดเลือดได้
- ออกกำลังกายมากเกินไป :
ไม่ออกกำลังกายเลยก็ไม่ดี ออกกำลังกายมากไปก็ยิ่งไม่ดี
เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นโรคหัวใจทั้งแบบรู้ตัว
หรือไม่รู้ตัวก็ได้ หากออกกำลังกายมากจนเกินความพอดี
ก็จะเป็นการไปเพิ่มภาระให้กับระบบหัวใจและปอดให้ต้องทำงานอย่างหนัก
ไปจนกระทั่งสูญเสียความสามารถในการทำงาน
และกล้ามเนื้อหัวใจก็ตายลงไปในที่สุด ฉะนั้น
หากออกกำลังกายแล้วรู้สึกเหนื่อย
เหนื่อยมากจนหอบและพูดคุยไม่ได้แม้จะเป็นคำสั้นๆ
แนะนำว่าให้ลดการออกกำลังกายลง (Cool Down) และหยุด จากนั้นให้นอนพัก
อย่าฝืนออกกำลังกายต่อ ที่สำคัญมากๆ คือ อย่าหยุดออกกำลังกายกะทันหัน
เพราะจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
- ใช้สารเสพติด : พฤติกรรมที่ชอบเสพยาเสพติด อาทิ
โคเคน แอมเฟตามิน อิฟีดริน หรือได้รับยาบางชนิดเกินขนาด
ก็อาจส่งผลให้หลอดเลือดมีการหดตัวอย่างรุนแรง
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้เช่นกัน
- ช็อก : การเกิดภาวะช็อก
มีสาเหตุมาจากการสูญเสียเลือดในปริมาณมากๆ เช่น
ผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุแล้วเสียเลือดมาก
ส่งผลให้หัวใจไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง
หรือเกิดภาวะที่หัวใจขาดเลือด
- สูบบุหรี่ : บุหรี่
เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดหัวใจเกิดการหดตัว
มีการจับตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
ทำให้หลอดเลือดหัวใจตับลงจนเกิดเป็นภาวะหัวใจขาดออกซิเจน
เส้นเลือดหัวใจตีบจนทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้
เมื่อเป็นอย่างนั้นก็จะมีอาการจุกเสียด เจ็บหน้าอก
อาการจะชัดเจนเมื่อออกกำลังกาย
เกิดโอกาสเสี่ยงที่จะมีภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้อย่างไม่รู้ตัว
- เสียใจอย่างหนัก สะเทือนใจอย่างรุนแรง :
ความรู้สึกที่รุนแรงก็อาจส่งผลให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน
ซึ่งลักษณะเช่นนี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า
ภาวะหัวใจสลาย หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติทาโคสึโบะ
โดยที่ภายในร่างกายของผู้ป่วยจะมีการหลังของฮอร์โมนความเครียดออกมามากกว่าปกติและเฉียบพลัน
อีกทั้งยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อหัวใจและหลอดเลือด
ที่อาจเกี่ยวกับภาวะที่หัวใจด้านซ้ายไม่สามารถทำงานได้อย่างปกตินอกจากนี้
อาการที่เกิดขึ้นก็ยังอาจมีส่วนเกี่ยวข้องมาจากสมองที่มีการหลังสารแคทีโคลามีน
หรือสารสื่อประสาท อาทิ อีพินีฟริน , นอร์อีพิเนฟริน และโดพามีน
ในขณะที่ผู้ป่วยมีความเครียดสูง
หรือมีสิ่งที่มาทำให้เกิดความสะเทือนใจอย่างรุนแรง เหตุการณ์ตัวอย่าง
เช่น สูญเสียคนรักอย่างกะทันหัน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ , แม่
หรือญาติที่สนิท เหตุการณ์ต่อมา คือ
เจอกับความผิดหวังที่ทำให้เสียใจอย่างหนัก
ทำให้หลอดเลือดหัวใจเกร็งและแข็งตัว
เลือดจึงไม่สามารถที่จะผ่านไปเลี้ยงหัวใจได้
และยิ่งหากเกิดเป็นเวลานาน หัวใจจะไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ตามปกติ
เป็นสาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
และอาจร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
- เครียดง่าย : ผู้ที่ต้องทำงานหนักๆ และมีความเครียดสูง นับเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติมากที่สุด เนื่องจากความเครียดจะเข้าไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ตลอดจนเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว ซึ่งเป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงมีไขมัน เกิดการอักเสบต่างๆ ตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดง เสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือดได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเครียดมากๆ และมีความเครียดอยู่เป็นประจำ
8 อาการที่เข้าข่ายเสี่ยงเป็น "หัวใจวายเฉียบพลัน"
- ใจสั่น : หัวใจเต้นเร็ว ไม่สม่ำเสมอ ใจสั่น บางครั้งอาจมีอาการเหนื่อยหอบจะเป็นลม
- เหนื่อยง่าย : ในความเป็นจริงแล้วอาการเหนื่อยง่ายก็มีอยู่หลายสาเหตุ แต่ก็เป็นหนึ่งในอาการของโรคหัวใจด้วยเช่นกัน จะเป็นอาการเหนื่อยในลักษณะเหนื่อยง่าย หายใจเร็ว บางครั้งหอบจนแทบจะพูดไม่ได้ ต้องสังเกตด้วยว่ามีเสียงขณะที่หายใจด้วยหรือไม่ ถ้ามีอาการเหนื่อยง่ายอยู่เป็นประจำก็เข้าข่ายเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและหาทางแก้กันต่อไป
- ขาบวม : เมื่อการสูบฉีดเลือดของหัวใจทำได้ไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดอาการขาบวมผิดปกติ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก : อาการเจ็บหน้าอก หรือแน่หน้าอกนี้ หลายคนอาจจำสับสนกับโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากบางครั้งก็อาจจะรู้สึกเจ็บ หรือแน่นร้าวไปถึงแขนได้ ลักษณะของการจุกจะเหมือนกับโดนกดทับที่หน้าอก ต้องลองสังเกตและแยกอาการให้ถูกต้อง
- หน้ามืด วูบ เป็นลมบ่อย : เนื่องจากหัวใจมีการหยุดเต้น จึงทำให้หมดสติไปชั่วคราวได้ หากเกิดอาการเช่นนี้บ่อยๆ ไม่ควรปล่อยไว้ ต้องรีบเดินทางไปพบแพทย์ในทันที
- ตื่นกลางดึกเพราะหายใจลำบาก : บางครั้งเราก็ต้องการอากาศหายใจที่มากกว่าปกติ จึงทำให้นอนไม่ได้ เป็นเหตุให้ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อหายใจ หรือไอให้รู้สึกโล่ง
- เมื่อนอนหงายแล้วหายใจลำบาก : ทุกครั้งที่ลงนอบราบ หรือนอนหงาย มักจะหายใจลำบาก หรือรู้สึกแน่นจนหายใจไม่เป็นปกติ
- ชอบเข้าห้องน้ำกลางดึก : หากตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกที่ไม่ใช่แค่ไปปัสสาวะ แต่ยังมีอาการอื่นเกิดร่วมด้วย ก็ต้องรีบเดินทางไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยแล้วล่ะ
วิธีช่วยเหลือผู้ที่อาจอยู่ในภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ “ความเร็ว” จึงเป็นสิ่งสำคัญ เบื้องต้นคุณควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล หรือหน่วยแพทย์ฉุกเฉินที่เบอร์ 1669 หรือหากสะดวก และโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกล สามารถขับรถพาผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลเองได้ (แต่ก็ต้องโทรไปแจ้งทีมแพทย์เพื่อเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมเมื่อผู้ป่วยไปถึงทันทีเช่นกัน) ระหว่างที่กำลังรอการช่วยเหลือควรให้ผู้ป่วยนอนหงาย เอียงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง และสังเกตอาการเป็นระยะๆ หากเริ่มมีอาการหัวใจหยุดเต้น ควรรีบทำ CPR โดยด่วน
- CPR ปั๊มหัวใจ ทำตอนไหน? ทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง?
วิธีป้องกันภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
หลายคนมีความประมาทในชีวิต ไม่เข้ารับการตรวจร่างกายประจำปี ด้วยเข้าใจว่าร่างกายแข็งแรงดีไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร และยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย แต่โรคนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยส่งสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้ามาก่อน เพราะหากคุณเคยรู้สึกเจ็บ หรือแน่นหน้าอกขณะออกกำลังกาย เดินหรือวิ่งขึ้นบันไดหลายชั้น เต้น หรือเริ่มทำกิจกรรมอะไรหนักๆ นั่นหมายความว่าคุณเริ่มมีสุขภาพหัวใจที่ไม่แข็งแรง ดังนั้นควรรีบเข้ารับการตรวจหัวใจโดยด่วน
- โรคหัวใจวายเฉียบพลัน ตรวจร่างกายปกติอาจไม่พบ ต้องใช้วิธี EST
นอกจากนี้ เรื่องของอาหารการกินก็สำคัญ เพราะหากทานอาหารที่ก่อให้เกิดไขมันอุดตันเส้นเลือดมากเกินไป เช่น เนื้อติดมัน อาหารปิ้งย่าง รวมไปถึงเบเกอรี่ ขนมหวานน้ำตาลสูงต่างๆ ก็เป็นสาเหตุที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจวายได้เช่นกัน
คุณกำลังดู: 4 สัญญาณอันตรายที่เสี่ยง "หัวใจวายเฉียบพลัน"
หมวดหมู่: รู้ทันโรค